ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 483 ถวายพระพร(ต้น)
สืออีเหนียงลองคิดดูก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลจึงพยักหน้าเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางลูบศีรษะนาง “นี่ก็ดึกแล้ว รีบนอนเถิด! พรุ่งนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า จะต้องอยู่เฝ้าตอนกลางคืน”
สืออีเหนียงยิ้มพลางมอบจดหมายให้ชิวอวี่ ให้นางนำไปให้พ่อบ้านไป๋คิดหาวิธีส่งไปอวี๋หัง จากนั้นก็กลับเรือนไปพักผ่อนกับสวีลิ่งอี๋
วันต่อมาเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ประตูหลักของจวนสวีเปิดออก ภาพเทพเจ้าประจำประตู บทกลอนคู่และป้ายได้ตกแต่งเรียบร้อยหมดแล้ว
พอทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็ไปยังตรอกซื่อเซี่ยง กว่าจะกลับมาก็ยามซื่อ
“ข้าไปคุยกับเฉียนหมิงมาแล้ว” เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปหาไท่ฮูหยิน “ดูท่าทางของเฉียนหมิงแล้วเหมือนว่าจะไม่รู้จริงๆ เรื่องนี้ให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวดีแล้ว อย่าให้ต้องลามไปถึงสกุลหวังทำให้คุณหนูสิบสองไม่สบายใจ”
สืออีเหนียงประหลาดใจมาก
ในใจของนาง เหตุผลที่อู่เหนียงกลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นเพราะแต่งงานกับเฉียนหมิง
การคิดเช่นนี้ก็นับว่านางลำเอียงเล็กน้อย…
ในหัวของสืออีเหนียงปรากฏภาพที่อู่เหนียงอยู่ในห้องหนังสือที่อวี๋หัง ในห้องขนาดใหญ่มีเพียงโต๊ะเคลือบสีดำขลับเพียงโต๊ะเดียว บนโต๊ะมีบทความคัดลอกจากผู้มีชื่อเสียง เตียงไม้สีดำปูด้วยเบาะรองนั่งที่ยังใหม่อยู่…
******
หลังจากรับประทานอาหารคืนวันตรุษจีนแล้ว ไท่ฮูหยินก็พาทุกคนไปบูชาบรรพบุรุษที่ศาลบรรพชน จิ่นเกอยังเล็กอยู่แม่นมกู้จึงอุ้มกลับไปที่เรือนหลัก สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ สวีซื่อเจี่ยน สวีซื่อจุน และสวีซื่อเจี้ยมีสวีลิ่งควนพาไปจุดดอกไม้ไฟอยู่ที่ลาน ซินเจี่ยเอ๋อร์กับเจินเจี่ยเอ๋อร์ทานเกี๊ยวและอยู่โต้รุ่งในคืนส่งท้ายปีเก่ากับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว ฝืนทนจนถึงยามจื่อแล้วกลับไปพักผ่อนที่เรือน ฮูหยินสองกลับเรือนเสาหวา ฮูหยินห้าส่งซินเจี่ยเอ๋อร์ที่หลับสนิทให้ป้าสือ แล้วพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปดูสวีลิ่งควนและคนอื่นๆ จุดดอกไม้ไฟ สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋เป็นห่วงจิ่นเกอจึงกลับเรือนไปก่อน
“พรุ่งนี้จะทำอย่างไรเจ้าคะ” สืออีเหนียงปรึกษาสวีลิ่งอี๋เกี่ยวกับการเดินทางสำหรับวันพรุ่งนี้ “จะให้ลูกไปกับท่านหรือว่าไปกับข้า”
“ให้ไปกับเจ้าเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “พวกเราอยู่ที่ลานหน้าพระตำหนัก ถ้าหากลูกหิวหรืออยากขับถ่าย แม้แต่สถานที่จะป้อนนมหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมก็ไม่มี พวกเจ้าอยู่ที่พระตำหนักรอง และทั้งหมดล้วนเป็นสตรี” แล้วพูดต่ออีกว่า “ในวังข้าได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากฮองเฮาเรียกพบพวกเจ้าก่อนที่จะเข้าไปถวายพระพรที่พระตำหนักหลวง เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่เกรงว่าวันนั้นฮองเฮาจะยุ่งมากและเรียกเจ้าเข้าเฝ้าหลังจากไปถวายพระพรที่พระตำหนักหลวงแล้ว คนที่สามารถเข้าพระตำหนักหลวงได้ล้วนเป็นคนมีบรรดาศักดิ์ แน่นอนว่าแม่นมกู้ไม่สามารถเข้าไปได้ เมื่อถึงเวลานั้นย่อมมีขันทีมาพาแม่นมกู้และลูกไปพักผ่อนที่พระตำหนักหน่วนเก๋อ หลังจากออกมาจากพระตำหนักหลวงแล้วก็ไปพักผ่อนรออยู่กับลูกที่พระตำหนักหน่วนเก๋อก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงรับคำ วันรุ่งขึ้นก็ลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่แล้วอุ้มจิ่นเกอไปด้วย เหลือป้าตู้ไว้คอยดูแลเรือน กลุ่มคนเดินขบวนเข้าวังอย่างยิ่งใหญ่
เหลยกงกง ขันทีที่อยู่ข้างกายฮองเฮามารออยู่ที่ประตูวังนานแล้ว
“…บอกว่าอากาศเย็น กลัวว่าคุณชายน้อยหกจะหนาว ให้ไท่ฮูหยินและหย่งผิงโหวฮูหยินเข้าวังพาบุตรไปเข้าเฝ้าฮองเฮาที่พระตำหนักคุนหนิง”
ตรงตามความต้องการของทั้งสองคนพอดี
แม่นมกู้อุ้มเด็กน้อย สืออีเหนียงพยุงไท่ฮูหยินไปเข้าเฝ้าฮองเฮา
บรรดาสตรีในวังอยู่ด้านนอกพระตำหนักรอถวายพระพรฮองเฮา สืออีเหนียงพาบุตรชายเข้ามา บรรดาพระสนมต่างก็มองไปทางนาง มีคนกระซิบว่า “เห็นหรือไม่ คนที่สวมเสื้อคลุมลายเมฆสีชมพูคือหย่งผิงโหวฮูหยิน”
ในวังมีกฎมากมาย สืออีเหนียงไม่กล้าหันกลับไป ให้แม่นมกู้รออยู่ด้านนอก อุ้มลูกน้อยแล้วเดินเข้าพระตำหนักหน่วนเก๋อพร้อมกับไท่ฮูหยิน
ฮองเฮาสวมชุดทางการนั่งอยู่บนพระที่นั่ง ขันทีและนางกำนัลกำลังปรนนิบัตินางทานโจ๊กรังนก
เมื่อเห็นไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงเข้ามาก็ลุกขึ้นทันทีโดยไม่ได้รอให้ทั้งสองคนคำนับ
“รีบอุ้มเด็กมาให้ข้าดูหน่อย” พระตำหนักหน่วนเก๋อมีเสียงกระดิ่งหยกกระทบกันส่งเสียงดังกึกก้อง
หวงกูกูยิ้มแล้วเข้าไปอุ้มจิ่นเกอที่ถูกคลุมตัวด้วยเสื้อคลุมบุหนังกระรอก ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงอาศัยจังหวะนี้คำนับฮองเฮา มีขันทีที่อยู่ข้างๆ มาพยุงทั้งสองคนลุกขึ้นแล้วยกเก้าอี้จิ่นอู้มา
“เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนน้องสี่มากจริงๆ” ฮองเฮาลูบหัวที่ถูกโกนแล้วของจิ่นเกอเบาๆ เงยหน้ามองไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงพลางยิ้มแล้วพูดว่า “นับว่ากล้าไม่เบา เดินทางมาเช่นนี้กลับไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย หลับสนิทเชียว”
สืออีเหนียงเขินอายเล็กน้อย
เมื่อคืนนางกับสวีลิ่งอี๋พึ่งจะนอนลงจิ่นเกอก็ตื่นขึ้นมา นางทนง่วงไม่ไหวจึงหลับไป แต่สวีลิ่งอี๋เล่นกับเขาจนถึงยามอิ๋นถึงจะได้นอนพักผ่อน
“เด็กคนนี้ไม่รู้ประสา” นางพูดอย่างนอบน้อมว่า “กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กินเพคะ”
“นี่พึ่งจะครบหนึ่งเดือนเอง เป็นช่วงที่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน” ฮองเฮาหัวเราะ มีขันทีเข้ามากราบทูล “ไท่จื่อเฟยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบให้นางเข้ามา” ฮองเฮายิ้มพลางกำชับขันที จากนั้นก็พูดกับไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงว่า “ตอนนี้ฟังเจี่ยเอ๋อร์ตั้งครรภ์ได้หกเดือนกว่าแล้ว” ท่าทางปิติยินดีเป็นอย่างมาก
“นี่เป็นวาสนาของฮองเฮาเพคะ” ขณะที่ไท่ฮูหยินกำลังพูด ฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังตั้งครรภ์ท้องโตก็เดินเข้ามาโดยมีนางกำนัลคอยช่วยพยุง
นางสวมมงกุฎซื่อผิง สวมชุดปักลายนกสีฟ้า อาจเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์เลยทำให้นางดูอวบอั๋นไม่น้อย ใบหน้ากลม แววตาท่าทางดูสงบนิ่ง สง่างามเป็นอย่างมาก
ในหัวของสืออีเหนียงมีคำว่า ‘ใบหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง’ ปรากฎขึ้นมา
ฮองเฮาไม่ให้นางคำนับ ให้ขันทียกเก้าอี้จิ่นอู้มาปรนนิบัตินางนั่งลง นางมองไปที่สืออีเหนียงแล้วยิ้มด้วยแววตาที่เป็นประกาย แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์เหมือนในวันวาน
ไม่รู้ว่าทำไมสืออีเหนียงจึงได้รู้สึกโล่งใจที่เห็นเช่นนั้น
ฮองเฮาถามถึงอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มในช่วงนี้ของฟังเจี่ยเอ๋อร์ เมื่อรู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็ยิ้มพลางพยักหน้า กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง เหลยกงกงก็เข้ามาพอดี “ฮองเฮา ได้กฤษ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
สืออีเหนียงรู้ว่านี่เป็นการมาเร่งเร้าฮองเฮาให้ไปประทับ ณ พระที่นั่ง จึงลุกขึ้นพร้อมกันกับไท่ฮูหยินและฟังเจี่ยเอ๋อร์
ฮองเฮาลังเลเล็กน้อย พูดกับสืออีเหนียงว่า “ให้แม่นมมาอุ้มจิ่นเกอแล้วไปพักผ่อนที่พระตำหนักหน่วนเก๋อเถิด!”
สืออีเหนียงคุกเข่าขอบพระทัย พยุงไท่ฮูหยิน แล้วเดินตามฮองเฮาและฟังเจี่ยเอ๋อร์ไปที่พระตำหนักหลวง
อันดับแรกคือให้สตรีในวังถวายพระพรฮองเฮา จากนั้นจึงจะให้บรรดาสตรีนอกวังเข้าเฝ้า กว่าจะเสร็จพิธีก็ต้นยามอู่แล้ว ทุกคนต่างก็อ่อนล้าอยู่บ้าง ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว สืออีเหนียงก็ร่างกายอ่อนแอ ยิ่งรู้สึกว่าใช้พลังงานมาก ใบหน้าทั้งสองคนซีดเซียวเล็กน้อย แต่ก็ยังต้องไปอุ้มบุตรชายที่อยู่พระตำหนักหน่วนเก๋อ
ฮูหยินห้าเข้ามาพยุงไท่ฮูหยิน “ข้าจะไปส่งพวกท่านที่ประตูเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงมองฮูหยินห้าด้วยความซาบซึ้งใจ ทั้งสองคนพยุงซ้ายขวาของไท่ฮูหยินไปที่พระตำหนักหน่วนเก๋อ
จิ่นเกอพึ่งถูกเฮ่อกงกงอุ้มไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
ฮองเฮายิ้มแล้วพูดว่า “ใจร้อนยิ่งกว่าข้าเสียอีก” ประทานเครื่องดื่มและขนมให้ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง “อย่างน้อยก็มีอะไรรองท้อง”
ไท่ฮูหยินดื่มชาเข้าไปจึงได้รู้สึกดีขึ้น สืออีเหนียงทานขนมถั่วเหลืองสองชิ้นติดกันโดยไม่เกรงใจ
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็กลั้นหัวเราะ
องค์ชายสามกับองค์หญิงใหญ่มาคารวะฮองเฮา
“นี่คือไท่ฮูหยินจวนหย่งผิงโหว นี่คือฮูหยินจวนหย่งผิงโหว” ฮองเฮาอุ้มองค์หญิงแล้วชี้ไปที่ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง “ไท่ฮูหยินเป็นท่านยายของเจ้า ฮูหยินเป็นท่านน้าสะใภ้หญิงของเจ้า เจ้าจงจำไว้” น้ำเสียงนุ่มนวลเป็นอย่างมาก
องค์หญิงใหญ่ที่อายุเพียงสามขวบพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แล้วพูดทบทวนคำพูดของท่านแม่ด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม “ไท่ฮูหยินคือท่านยายของข้า ฮูหยินคือท่านน้าสะใภ้หญิงของข้า” จากนั้นก็กะพริบตามองฮองเฮา “เช่นนั้นพวกนางก็ต้องให้อั่งเปาข้าใช่หรือไม่”
ทุกคนพากันหัวเราะร่า
ฮองเฮายิ้มพลางหยิกแก้มบุตรสาวเบาๆ “เจ้าไปเรียนจากใครมา ช่างขี้งกเสียจริง เจ้าเป็นถึงองค์หญิงเชียวนะ!”
องค์หญิงใหญ่ทำท่าทางงอแง แต่ดวงตากลับเป็นประกาย ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กซุกซนและมีไหวพริบ
ไท่ฮูหยินรีบหยิบถุงเงินบรรจุก้อนทองที่เตรียมไว้แล้วมอบให้องค์หญิง “แน่นอนว่าต้องให้อั่งเปาเพคะ” แล้วให้องค์ชายสามที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ อีกคน “เป็นความตั้งใจเล็กๆ น้อยๆ ของหม่อมฉันเพคะ”
ปีนี้องค์ชายสามอายุสิบสี่ปีแล้ว ส่วนสูงไล่เลี่ยกันกับสวีซื่ออวี้ พวกเขาลูกพี่ลูกน้องหน้าตาคล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่ว่าสวีซื่ออวี้ดูอ่อนน้อมถ่อมตน ส่วนองค์ชายสามดูสง่าผ่าเผย
เขายิ้มพลางรับอั่งเปามา
สืออีเหนียงเองก็หยิบถุงเงินออกมา
องค์หญิงใหญ่ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ วิ่งไปข้างๆ ฟังเจี่ยเอ๋อร์ “พี่สะใภ้ แล้วของท่านล่ะ!”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มพลางลูบศีรษะนางแล้วหยิบอั่งเปาออกมาเช่นกัน
องค์หญิงใหญ่รับมาแล้วก็วิ่งไป “ข้าจะไปหาเสด็จพ่อ เสด็จพ่อยังไม่ได้ให้อั่งเปาข้าเลย!”
“ฝูหรง” ฮองเฮาตะโกนเรียกชื่อองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่หันกลับมายิ้มให้พระมารดาแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
“เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง” องค์ชายสามรีบคำนับแล้วตามองค์หญิงใหญ่ออกจากพระตำหนักหน่วนเก๋อไป “ข้าจะไปเป็นเพื่อนน้องหญิงเอง ไม่ให้นางก่อเรื่องแน่นอน”
ฮองเฮาถอนหายใจอย่างหมดปัญญา พูดกับไท่ฮูหยินว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ถูกตามใจจนเสียคน!” แต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความรักและเอ็นดู
องค์หญิงใหญ่ประสูติหลังจากที่องค์ชายห้าสิ้นพระชนม์ จึงได้รับความรู้สึกผิดที่ฮองเฮามีต่อองค์ชายห้า แน่นอนว่าย่อมถูกเอ็นดูเป็นพิเศษ
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิงใหญ่ฉลาดหลักแหลม ร่าเริงและน่ารัก ใครเห็นใครก็รัก การที่ฮองเฮารักและเอ็นดูเป็นพิเศษก็เป็นเรื่องปกติเพคะ”
ฮองเฮาพูดเรื่ององค์หญิงใหญ่กับไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง จากนั้นก็ถามเกี่ยวกับเรื่องของจิ่นเกออย่างละเอียด
พูดคุยกันอยู่นานก็ไม่เห็นว่าองค์หญิงใหญ่กับองค์ชายสามจะกลับมา แล้วก็ไม่เห็นว่าขันทีจะอุ้มจิ่นเกอกลับมา
ทุกคนอดกังวลไม่ได้
ฮองเฮาจึงได้กำชับหวงกูกู “เจ้าไปดูสักหน่อย ตอนนี้ก็ได้เวลาทานอาหารกลางวันแล้ว”
หวงกูกูรับคำแล้วถอยออกไป แล้วกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านโหวให้ขันทีข้างกายฮ่องเต้ นำความมาบอกว่าเขากับคุณชายน้อยหกรออยู่ที่นอกประตูตงเหมินแล้ว ให้ไท่ฮูหยินกับหย่งผิงโหวฮูหยินออกจากพระตำหนักคุนหนิงแล้วไปที่ประตูตงเหมินเพคะ”
ฮองเฮาตกตะลึงเล็กน้อย “ทำไมยังไม่ทันมาบอกกันก็อุ้มจิ่นเกอไปเช่นนี้เลยหรือ!” แล้วพูดต่ออีกว่า “ข้ายังไม่ได้ให้ของขวัญในการพบกันกับอั่งเปาเลย!”
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงมองหน้ากัน
สืออีเหนียงเดาว่าสวีลิ่งอี๋แยกกันกับฮ่องเต้เพราะไม่สบอารมณ์กัน แม้แต่ฮองเฮาก็ไม่อยากพบจึงอุ้มบุตรแล้วออกจากวังไปเลย
ไท่ฮูหยินเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางเพียงแค่อยากเจอบุตรชายเร็วๆ ได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นพูดว่า “หลังจากเทศกาลโคมไฟแล้ว ก็นับว่าผ่านตรุษจีนไปแล้ว อีกสองวันค่อยให้สืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอมาถวายพระพรฮองเฮากับไท่จื่อเฟยเพคะ”
ในวังมีพิธีการซับซ้อน จิ่นเกอก็ยังเล็ก การเข้าวังก็เหมือนกับการทรมาน ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น…
ฮองเฮาไม่อยากเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
นางยิ้มพลางกำชับหวงกูกู “นำของที่ข้าเตรียมไว้ให้จิ่นเกอไปมอบให้เถิด!” ความหมายก็คือไม่จำเป็นต้องเข้าวังมาอีกครั้ง
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงต่างก็โล่งใจ
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็กำชับคนข้างกายว่า “นำของที่ข้าเตรียมไว้ให้จิ่นเกอไปมอบให้ด้วย!”
นางในผู้นั้นตอบรับอย่างนอบน้อม “เพคะ”
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงเอ่ยขอบพระทัยฮองเฮาและไท่จื่อเฟย จากนั้นทั้งสองก็ออกจากพระตำหนักคุนหนิง