ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 480 พี่น้อง(ต้น)
“จิ่นเกอ!” สืออีเหนียงทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินบุตรชายพูด รีบชี้ไปที่ของเล่นในมือสวีซื่อจุน “สนุกหรือไม่”
จิ่นเกอกำหมัดเล็กๆ ของเขา จ้องของเล่นอย่างตั้งใจด้วยดวงตาสีดำขลับ
“ท่านแม่ ท่านแม่” สวีซื่อจุนเองก็ดีใจเช่นกัน “น้องหกชอบไก่จิกข้าว!”
“อืม!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า
สวีซื่อจุนดึงด้ายเชิดไก่ด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
หัวไก่น้อยเอาแต่จิกเมล็ดข้าวไม่หยุด
แต่ไม่นานความสนใจของจิ่นเกอก็เปลี่ยนไป สายตาของเขาจับจ้องไปที่สวีซื่ออวี้
สืออีเหนียงชี้ไปยังสวีซื่ออวี้ “นั่นคือพี่สองของเจ้า!” น้ำเสียงนุ่มนวลผสมความเอ็นดู
สวีซื่ออวี้เดินเข้าไปหา
เขามองใบหน้าเล็กๆ สีอมชมพูของจิ่นเกอ ยื่นมือออกไปอยากจะจับมืออันอวบอ้วนของจิ่นเกอ แต่ก็หยุดชะงักแล้วดึงมือกลับคืนมา
เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ สืออีเหนียงไม่รู้ว่าทำไมสวีซื่ออวี้ถึงยังต้องกังวล
หรือว่าเคยเกิดอะไรบางอย่างขึ้นกับเขา!
สืออีเหนียงไม่เคยคิดที่จะแบกรับความขมขื่นในอดีต นางหวังว่าเด็กๆ จะมีจิตใจที่หวังดีต่อกันและกัน
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นจิ่นเกอให้สวีซื่ออวี้ “อยากอุ้มหรือไม่”
สวีซื่ออวี้มองสืออีเหนียงด้วยความประหลาดใจ จากนั้นดวงตาของเขาก็ค่อยๆ จ้องมองไปที่จิ่นเกอ “ให้ข้าอุ้มหรือ” เขาเบิกตากว้าง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ท่าทางเหมือนเด็กน้อย
หรือว่าตนถามคำถามซับซ้อนเกินไป?
ถึงอย่างไรสวีซื่ออวี้ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุแค่สิบสามปี สังคมนี้สนับสนุนให้สุภาพบุรุษอยู่ห่างจากห้องครัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอุ้มเด็ก
สืออีเหนียงหัวเราะ “คาดว่าเจ้าคงจะอุ้มไม่เป็น!” พูดพลางประคองศีรษะจิ่นเกอมาซบบนไหล่ของตัวเอง การกระทำของนางอ่อนโยนและสงบนิ่งราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
สวีซื่ออวี้ใจสั่นไหวเล็กน้อย ในส่วนลึกของความทรงจำของเขามีเสียงที่เคร่งขรึมแฝงไว้ด้วยความน่ารำคาญก้องอยู่ในหู ‘อย่าให้อวี้เกอเข้าใกล้จุนเกอ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะนอกคอกมากแค่ไหน ระวังจะไปเอาสิ่งไม่ดีเข้ามาทำให้แปดเปื้อน จุนเกอเป็นถึงบุตรชายภรรยาเอก ร่างกายเปรียบดั่งทองคำ ไม่ใช่พวกหมาพวกแมวที่พอไม่มีแล้วจะไปหามาเลี้ยงใหม่ได้…’
เมื่อความคิดนั้นดังขึ้นในหัวราวกับมีคนคอยบงการ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป “ต้องอุ้มอย่างไรขอรับ”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นท่าทางของสวีซื่ออวี้ก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย กลับลังเลขึ้นมา
แต่ในสายตาของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ท่าทางของพี่สองดูอึดอัดเล็กน้อย
เป็นเพราะท่านแม่อยากให้เขาอุ้มน้องหก แต่พี่สองก็ไม่รู้ว่าควรอุ้มอย่างไรกระมัง!
นางครุ่นคิดพลางยิ้มแล้วเดินเข้าไป “พี่สอง ข้าจะบอกท่านเองว่าจะต้องอุ้มน้องหกอย่างไร!” พูดพลางเดินไปอุ้มจิ่นเกอ
ตัวเองก็อยู่ข้างๆ จิ่นเกอก็สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ค่อนข้างหนา
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็ยิ้มพลางส่งบุตรชายให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์ทำท่าทางให้สวีซื่ออวี้ดู “พี่สอง ท่านดู ต้องอุ้มแบบนี้ โดยเฉพาะศีรษะ ท่านจะต้องประคองเอาไว้ คอของน้องหกยังไม่แข็งแรง!”
“อ้อ!” สวีซื่ออวี้รับจิ่นเกอมาด้วยท่าทางเงอะงะเล็กน้อย
น้องชายตัวน้อยผิวขาวอมชมพูสวมเสื้อแขนยาวผ้าไหมหังโจวสีแดงนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ศีรษะหนักเล็กน้อย ร่างกายอ่อนนุ่ม เปลี่ยนท่าทางไปตามท่าที่เขาอุ้ม…นอนด้วยสีหน้านิ่งอยู่ในอ้อมแขนของเขา โบกมือน้อยๆ ไปมาอย่างมีความสุข…อย่างไม่กังวลและไม่หวาดกลัว…ท่าทางเชื่อว่าสวีซื่ออวี้จะไม่ทำร้ายเขา…ทันใดนั้นในใจของสวีซื่ออวี้ก็รู้สึกเศร้า มีหยดน้ำตาคลออยู่ในเบ้าตา…
เขาก้มหน้าแล้วกระพริบตา อยากจะทำให้โลกของตัวเองชัดขึ้นอีกครั้ง แต่จิ่นเกอที่อยู่ในอ้อมแขนกลับส่งเสียงร้องขึ้นมา “อุแว้”
“เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไป” สวีซื่ออวี้ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป มองสืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์เพื่อขอความช่วยเหลือ สีหน้าดูกระวนกระวายเล็กน้อย
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นสวีซื่ออวี้ท่าทางลำบากใจ จึงนึกถึงภาพครั้งแรกที่ตัวเองอุ้มจิ่นเกอ…นางกำลังจะก้าวเข้าไปช่วยสวีซื่ออวี้ สืออีเหนียงก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” พูดพลางเดินเข้าไปรับลูกน้อย “เขาไม่ชอบให้คนอุ้มแนวนอนเช่นนี้ เขาชอบให้อุ้มแนวตั้ง!”
สวีซื่ออวี้ไม่ได้ส่งเด็กน้อยให้สืออีเหนียง แต่กลับทำตามวิธีที่สืออีเหนียงอุ้มเด็กน้อยเมื่อครู่นี้ อุ้มจิ่นเกอตั้งขึ้น “อุ้มแบบนี้ใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย เหลือบมองสำรวจสวีซื่ออวี้ เห็นว่าเขามีท่าทางอ่อนโยน สีหน้าสงบนิ่ง ใจก็เริ่มสงบลง ยิ้มแล้วพูดว่า “อืม ใช่แล้ว” จากนั้นก็ตบหลังจิ่นเกอเบาๆ
จิ่นเกอหยุดร้องไห้ทันที
สวีซื่ออวี้ถอนหายใจยาว ร่างกายผ่อนคลายลง
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยไปนำผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ มาเช็ดหน้าให้จิ่นเกอ ทาน้ำมันมะกอกให้เขาพลางพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ทำไมอารมณ์ร้ายเช่นนี้ หากโตขึ้นจะเป็นอย่างไร!”
“น้องหกยังเล็กอยู่เลยขอรับ!” สวีซื่ออวี้ประคองศีรษะจิ่นเกออย่างระมัดระวัง พูดแย้งขึ้นว่า “พอเขาโตสักหน่อย ได้เรียนหนังสือ เข้าใจเหตุผล เขาก็จะรู้ความเอง”
“หากรอถึงตอนที่เขาได้เรียนหนังสือ เกรงว่าจะสายเกินไป!” สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้ม ไม่อยากคุยกับสวีซื่ออวี้เกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยของเด็ก เพราะว่าต่อให้นางพูดไปสวีซื่ออวี้ก็อาจจะไม่เข้าใจ ไม่แน่อาจจะคิดว่านางมีความคิดที่แปลกประหลาด
แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์ที่เห็นว่าสวีซื่ออวี้อุ้มจิ่นเกอยื่นนิ่งอยู่กับที่ จึงรีบเดินเข้าไปชี้แนะเขาว่า “ท่านต้องอุ้มเขาเดินไปรอบๆ…ยืนนิ่งอยู่กับที่เช่นนี้เดี๋ยวเขาจะร้องไห้ขึ้นมาอีก!”
สวีซื่ออวี้ตอบเพียงแค่ “อ้อ” แล้วอุ้มเจิ่นเกอเดินไปทั่วห้อง
จิ่นเกอซบไหล่ของเขาอย่างว่าง่าย
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็ดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ข้าก็อยากอุ้มน้องหก!”
สวีซื่อเจี้ยเห็นดังนั้นก็ทำตาม “ท่านแม่ ข้าก็อยากอุ้มน้องหกเหมือนกัน!”
สืออีเหนียงมองเด็กน้อยทั้งสองคน คนหนึ่งร่างกายผอมบางคล้ายถั่วงอก อีกคนหนึ่งแขนเล็กขาเล็ก นางพูดด้วยรอยยิ้ม “รอให้พวกเจ้าโตเท่าพี่สองก่อนแล้วถึงจะอุ้มน้องหกได้!”
เด็กทั้งสองคนก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง
มีสาวใช้น้อยรายงานผ่านม่านว่า “ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
คนในห้องพากันตกตะลึง ม่านถูกเปิดออก จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ก้าวเข้ามาในห้อง
สืออีเหนียงกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ย่อเข่าคำนับ สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก้มหน้าโค้งคำนับ มีเพียงสวีซื่ออวี้ที่กำลังอุ้มจิ่นเกออยู่ เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จะคำนับก็ไม่ได้ ไม่คำนับก็ไม่ได้ ทุกอย่างดูกะทันหันไปหมด แต่สวีลิ่งอี๋ที่เห็นว่าสวีซื่ออวี้กลับมาแล้วซ้ำยังกำลังอุ้มจิ่นเกอก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่นานเขาก็เก็บสีหน้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “กลับมาแล้วหรือ!”
แม่นมกู้รีบเข้ามาอุ้มจิ่นเกอ
สวีซื่ออวี้คำนับบิดาอย่างนอบน้อม
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า มีสาวใช้น้อยมาปรนนิบัติเขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปนั่งที่เตียงนั่งริมหน้าต่าง
สืออีเหนียงรับถ้วยชามาจากสาวใช้ไปวางไว้ข้างหน้าเขาแล้วยืนหลบอยู่ข้างๆ
เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปยืนข้างๆ ท่านแม่ บรรดาบุตรชายยืนเรียงกันอยู่หน้าเตียงนั่ง ส่วนแม่นมกู้ก็อุ้มจิ่นเกอมายืนอยู่ข้างๆ เจินเจี่ยเอ๋อร์
สวีลิ่งอี๋จิบชาช้าๆ แล้วถามอย่างใจเย็นว่า “หลายวันมานี้ที่ลั่วเย่ว์ เจ้าเรียนหนังสือเล่มใดไปบ้าง” สีหน้าเคร่งขรึม
สวีซื่ออวี้ตอบอย่างนอบน้อม “ตามคำสั่งของอาจารย์เจียง ข้าได้เริ่มเรียนคัมภีร์วิจารณ์พจน์และคัมภีร์มหาบุรุษอีกครั้ง ตอนนี้เรียนถึงคัมภีร์ทางสายกลางแล้วขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย หันไปถามสวีซื่อจุน “การบ้านที่อาจารย์จ้าวให้ไว้ทำไปถึงไหนแล้ว”
เมื่อเทียบกับสวีซื่ออวี้ สวีซื่อจุนดูประหม่าเล็กน้อย “ส่วนใหญ่ทำเสร็จหมดแล้ว เหลือเพียงตัวอักษรหนึ่งร้อยแผ่นที่ยังไม่ได้เขียนขอรับ” ขณะที่พูดก็มีท่าทางเหมือนกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะตำหนิ จึงรีบพูดต่ออีกว่า “แต่ว่าอาจารย์จ้าวจะกลับมาหลังจากผ่านเทศกาลโคมไฟไปแล้ว ยังมีเวลาอีกกว่าครึ่งเดือน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะต้องทำเสร็จอย่างแน่นอน” แล้วพูดต่อไปว่า “แล้วยังมีกฎของอาจารย์ที่ต้องฝึกเป่าขลุ่ยเป็นเวลาครึ่งชั่วยามทุกวัน ข้ากับน้องห้าฝึกอยู่ทุกวันไม่เคยขี้เกียจขอรับ”
สวีซื่อเจี้ยเห็นว่าพี่ชายพูดถึงตัวเองก็รีบพยักหน้า
สวีลิ่งอี๋ไม่พอใจกับคำตอบของสวีซื่อจุน
ทำเสร็จแล้วก็บอกว่าทำเสร็จแล้ว ยังทำไม่เสร็จก็บอกว่ายังทำไม่เสร็จ การหาเหตุผลให้กับเรื่องที่ตัวเองยังทำไม่เสร็จนั้นไม่ถูกต้อง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
สืออีเหนียงที่คอยสังเกตท่าทางของสวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็กระแอมเบาๆ
สวีลิ่งอี๋นึกถึงตอนที่สืออีเหนียงพูดถึงสวีซื่อจุน ‘บางคนพอสอนก็ทำเป็นเลย บางคนต้องสอนหลายรอบจึงจะทำได้ หากคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราไม่มีความอดทนมากพอที่จะให้เวลาลูก แล้วจะมีใครเต็มใจที่จะให้เวลาเขา’ คิ้วจึงค่อยๆ คลายออก
“การที่เจ้าตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์จ้าวพูดนั้นถูกต้องแล้ว ต่อไปเมื่อเป็นผู้นำน้องชาย จะเอาแต่ห่วงเล่นไม่ได้ จะต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนที่อาจารย์จ้าวจะกลับมา”
สวีซื่อจุนผ่อนคลายลง ท่าทางไม่ได้แข็งทื่อเหมือนเมื่อครู่
เขาขานรับเสียงเบา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความร่าเริง
สวีลิ่งอี๋พยายามอดทนจึงไม่ได้ขมวดคิ้วอีกครั้ง
ก็ไม่ได้เป็นคำชมอะไร เหตุใดเขาจึงได้มีท่าทางดีใจเช่นนี้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกไม่เข้าใจ จากนั้นสายตาก็จ้องมองไปยังบุตรชายคนเล็ก
จิ่นเกอกำลังจ้องมองเขา
ดวงตาโตสดใสราวกับสายน้ำบนภูเขา
ท่าทางของเขาผ่อนคลายลง ถามขึ้นมาว่า “วันนี้จิ่นเกอเป็นอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หลับตั้งแต่เช้าจนถึงกลางวัน แม่นมกู้กลัวว่าเขาจะหย่านมจึงอุ้มเขาแล้วเดินอยู่ในห้อง ใครจะไปรู้ว่าเขาจะไม่หลับแล้วเล่นมาจนถึงตอนนี้!”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็มีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม
แม่นมกู้รีบอุ้มเด็กเดินเข้าไป
สวีซื่ออวี้กับสวีซื่อจุนเห็นว่าบิดาที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเวลามองตัวเองกลับอุ้มน้องชายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทางอ่อนโยน ยื่นนิ้วชี้ออกมาแตะที่กำปั้นเล็กๆ ของจิ่นเกอ จิ่นเกอแบมือทันทีแล้วกำนิ้วชี้ของบิดาเอาไว้แน่นในฝ่ามือของเขา
มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าสวีลิ่งอี๋
“มีชีวิตชีวาขนาดนี้เชียวหรือ” เขาถามสืออีเหนียง “เล่นตั้งแต่ตอนกลางวันมาจึงถึงตอนนี้ เล่นอะไรไปบ้างถึงได้ไม่ยอมหลับยอมนอน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ชาย พี่หญิงต่างก็มากันหมด เขาก็เลยมาร่วมสนุกด้วย!”
รอยยิ้มสวีลิ่งอี๋ลึกซึ้งกว่าเดิม ก้มหน้าพูดกับจิ่นเกอว่า “จิ่นเกอของพวกเรารู้จักมาร่วมสนุกด้วยหรือ!”
ทันใดนั้นจิ่นเกอก็อ้าปากหาว
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางส่งเด็กน้อยให้แม่นมกู้ “ดูเหมือนว่าจะง่วงแล้ว”
แม่นมกู้รีบไปอุ้มจิ่นเกอแล้วไปที่ห้องหน่วนเก๋อ
รอยยิ้มบนใบหน้าของสวีลิ่งอี๋ค่อยๆ จางหายไป
“ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ในจวนมีคนไปๆ มาๆ จะทิ้งการบ้านไว้ทีหลังไม่ได้” พูดพลางเหลือบมองสวีซื่ออวี้ สายตาหยุดที่รองเท้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นของสวีซื่ออวี้แล้วพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อกลับมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เจ้ากลับไปล้างหน้าเปลี่ยนชุดก่อนแล้วค่อยไปคารวะท่านย่า” พูดจบก็หันไปมองสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ย “นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกันกลับเรือนเถิด วันนี้พี่สองของเจ้ากลับมา อีกสักครู่พวกเราจะไปทานอาหารเย็นที่เรือนท่านย่ากัน”
บุตรชายทั้งสามคนโค้งคำนับแล้วเอ่ยตอบ “ขอรับ” จากนั้นก็ค่อยๆ พากันถอยออกไป