ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 478 สถานการณ์(กลาง)
“เดิมทีอยากจะอาศัยโอกาสนี้พูดคุยกับพี่ใหญ่ แต่ปรากฏว่าพี่ใหญ่เอาแต่สนใจเรื่องเฉวียนโจว” หลานถิงก้มหน้าหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหางตา “แล้วยังหาว่าข้าเรื่องเยอะ…”
“สุดท้ายแล้วชีวิตนี้อย่างไรก็ต้องพึ่งพาตัวเอง” สืออีเหนียงจับมือหลานถิงแน่น “เจ้าเขียนจดหมายไปปลอบโยนเฉาเอ๋อร์ดีหรือไม่ ถ้าหากสามารถช่วยนางคิดหาวิธีได้ก็จะเป็นการดี”
หลานถิงพยักหน้า พออารมณ์เริ่มดีขึ้นแล้วจึงได้ไปที่เรือนหลักพร้อมกับสืออีเหนียง
กานฮูหยินกำลังพูดคุยอยู่กับคุณนายสามสกุลเหลียง คุณนายสองสกุลเหลียง และสตรีที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีฟ้าขอบทอง เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวสตรีผู้นั้นก็หันมา เป็นคนที่สืออีเหนียงคุ้นเคย คุณนายสี่จวนจงซานโหว
“วันนี้ช่างบังเอิญเสียจริง” คุณนายสี่สกุลถังรีบทักทายสืออีเหนียง “นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้า” ท่าทางดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงยิ้มพลางคำนับกลับ
คุณนายสี่สกุลถังเอ่ยเชิญสืออีเหนียงมานั่งข้างตัวเอง จับมือนางอย่างสนิทสนม “คราวที่แล้วไปดื่มสุราฉลองครบรอบหนึ่งเดือนจิ่นเกอ ได้ยินว่าเจ้าร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นจึงไม่กล้าไปรบกวน” วันนั้นนางมาดูละครงิ้วอยู่ที่ห้องโถงบุปผา พูดพลางสำรวจดูสืออีเหนียง “ดูท่าทางเจ้าแล้ว ดูดีกว่าคราวที่แล้วมาก” หากดูจากความสัมพันธ์ของทั้งสองแล้ว การกระทำของนางค่อนข้างดูสนิทสนมมากเกินไป
สืออีเหนียงดึงมือออกอย่างใจเย็น ยกมือขึ้นแตะที่ขมับของตัวเองเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณคุณนายสี่ที่เป็นห่วง ทักษะวิชาแพทย์ของหมอหลวงหลิวนั้นยอดเยี่ยม ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
คุณนายสี่สกุลถังได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุข “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี พอเจ้าป่วยเรื่องทั้งหมดในเรือนก็ตกเป็นหน้าที่ของไท่ฮูหยิน ท่านก็อายุมากแล้ว บางเรื่องเจ้าก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ” จากนั้นก็ชี้ไปที่สร้อยข้อมือทับทิมที่นางสวมอยู่ “ฮูหยินสี่สกุลสวีนั้นเป็นคนหัวดีและฉลาดหลักแหลม ในกล่องของข้าก็มีทับทิมเช่นนี้อยู่เหมือนกัน จะเก็บไว้ทำเครื่องประดับดอกไม้ก็ดูเม็ดเล็กไป จะเอาไปติดประดับเสื้อผ้าก็มีน้อยไปหน่อย…แต่นึกไม่ถึงว่าการที่เจ้านำมาใส่เป็นสร้อยข้อมือเช่นนี้ก็ทั้งสวยและสดใสไปอีกแบบ ไม่แปลกใจเลยที่มีคนบอกว่าฮูหยินของหย่งผิงโหวเป็นคนที่แต่งตัวได้งดงามที่สุดในเยี่ยนจิง”
ทับทิมที่สืออีเหนียงนำมาสวมเป็นกำไลข้อมือมีทั้งขนาดเท่าเม็ดข้าวและขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง ซ้ำยังไม่ค่อยได้มาตรฐาน ปกติแล้วจะนำมาใช้ประดับรองเท้า เพียงแค่จู่ๆ นางก็คิดขึ้นมาได้จึงนำมาทำเป็นกำไลข้อมือ ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่คุณนายสี่สกุลถังพูด อย่างไรก็ตามคุณนายสี่สกุลถังก็มีชื่อเสียงเรื่องการมีไหวพริบ เก่งเรื่องกลอุบาย ไม่ว่าเรื่องอันใดนางก็มักจะชมเกินจริง
“คำชมนี้ข้าไม่กล้ารับไว้หรอก” สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ก็แค่ชอบทำอะไรแปลกๆ เท่านั้น” ขณะที่พูดนางก็กวาดสายตามองคนในห้องอย่างรวดเร็ว สังเกตเห็นว่ากานฮูหยินปักปิ่นดอกไม้ผ้าไหม จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าว่าปิ่นดอกไม้ผ้าไหมของกานฮูหยินดูแปลกใหม่ไม่น้อย เป็นรูปแบบใหม่ของในวังหรือ”
กานฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่รูปแบบใหม่ในวังหรอก ข้าซื้อมาจากถนนตงต้า คนขายบอกว่าเป็นรูปแบบใหม่ของซูโจวในปีนี้”
คุณนายสี่สกุลถังได้ยินเช่นนั้นก็พูดคุยกับกานฮูหยินเรื่องปิ่นดอกไม้ผ้าไหม “…ตอนนี้ในกรมพระราชวังไม่มีอาจารย์ดีๆ แล้ว ไม่เหมือนตอนที่พวกเรายังเด็ก เมื่อพูดถึงกรมพระราชวัง จะต้องเป็นของดีแน่ๆ ”
จากนั้นก็ดึงคุณนายสองสกุลเหลียงเข้าสู่วงสนทนา “เจ้าพึ่งมาจากทางใต้ ตอนนี้ทางใต้นิยมสวมอะไรหรือ”
คุณนายสองสกุลเหลียงยิ้มแล้วพูดว่า “พูดถึงความนิยม ต้นปีอีกอย่าง ปลายปีอีกอย่าง พูดไม่ถูกเลยจริงๆ แต่ว่าปีที่ข้าแต่งเข้ามาอยู่ที่เยี่ยนจิง ตอนนั้นนิยมสวมกระโปรงผ้าไหมหูหนานแปดกลีบ ตอนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ พี่สะใภ้สกุลข้าได้นำกระโปรงผ้าไหมหูหนานมาฝากสองตัว เป็นแบบยี่สิบสี่กลีบทั้งสองตัว บอกว่าเป็นแบบใหม่ของฤดูใบไม้ร่วงปีนี้”
คุณนายสี่สกุลถังอุทาน “ไอ๊หยา” ด้วยความสงสัย สายตาจับจ้องไปที่สืออีเหนียง “แสดงว่าพวกเราเป็นคนรุ่นก่อน แต่ว่าฮูหยินสี่สกุลสวียังถือว่าตามความนิยมได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่กระโปรงผ้าไหมหูหนานสิบสองกลีบของสืออีเหนียง
“กระโปรงนี้อาจารย์เจี่ยนที่ร้านมงคลสมรสของพวกเราช่วยทำให้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้”
“แต่ก็เป็นบุคคลอันดับต้นๆ ในวงการเย็บปัก” คุณนายสี่สกุลถังยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ไม่เหมือนพวกเรา หากไม่จ้องสิ่งของในวังก็จ้องช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่ถนนตงต้า ใส่ไปใส่มา ถึงแม้ว่าจะบอกว่าเปลี่ยนรูปแบบใหม่แต่สุดท้ายรูปลักษณ์ก็ยังเหมือนเดิม” แล้วหันไปถามหลานถิงว่า “ชุดของเจ้าทำได้ดีเลยทีเดียว เป็นฝีมือของช่างตัดเสื้อซูหรือฝีมือของช่างตัดเสื้อหูหรือ”
คุยไปคุยมาก็ไม่ได้สนใจคุณนายสามสกุลเหลียงแม้แต่น้อย
คุณนายสามสกุลเหลียงนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ออก
สืออีเหนียงอาศัยจังหวะที่คุณนายสี่สกุลถังหันไปคุยกับกานฮูหยิน ส่งสายตาให้หลานถิง
หลานถิงเข้าใจทันที พยักหน้าเล็กน้อยแล้วยืนขึ้น “นี่ก็ล่วงเลยเวลามามากแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราต้องขอตัวก่อน พวกเราจะมาอีกทีตอนที่เสียนเจี่ยเอ๋อร์ส่งมอบสินสอดทองหมั้น”
คุณนายสามสกุลเหลียงกับคุณนายสองสกุลเหลียงได้ยินดังนั้นก็พากันลุกขึ้นตาม
กานฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “ยากนักที่คุณหนูเจ็ดจะกลับมาสักครั้ง อยู่ทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับเถิด!”
“ไม่ต้องหรอก!” หลานถิงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “พวกเราบรรดาสะใภ้ทั้งสามคนออกมากันหมด ไม่มีใครคอยปรนนิบัติแม่สามี…ไว้วันหลังค่อยมารบกวนพี่สะใภ้ใหม่!”
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าตอนที่หลานถิงพูดประโยคนี้ คุณนายสามสกุลเหลียงแสดงท่าทีดูถูกดูแคลน ในขณะที่ดวงตาของคุณนายสองสกุลเหลียงฉายแววเย้ยหยัน
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของหลานถิงก็ค่อนข้างลำบากเช่นกัน
นางคิดไตร่ตรองแล้วยืนขึ้น “ข้าเองก็ต้องขอตัวกลับก่อน บุตรชายยังรออยู่ที่เรือนเลยรู้สึกกระวนกระวายใจ”
ดูเหมือนว่าคุณนายสี่สกุลถังก็จะไปเช่นกัน
“พอแขกไปแล้วเจ้าภาพก็จะได้พักผ่อน” นางยิ้มพลางจับมือกานฮูหยิน “อีกอย่างหลายวันมานี้เจ้าก็ค่อนข้างยุ่ง รอให้เจ้าหายยุ่งก่อนพวกเราค่อยมาพูดคุยกันใหม่”
เมื่อกานฮูหยินเห็นว่าพวกนางตัดสินใจจะไปจึงพูดรั้งพวกนางไว้พลางไปส่งพวกนางที่ประตูฉุยฮวา
ระยะทางไกลเล็กน้อย ระเบียงทางเดินก็คดโค้ง ต่างคนต่างก้าวตามความเร็วฝีเท้าของตัวเอง ไม่นานก็ค่อยๆ เว้นระยะห่างจากกัน
คุณนายสี่สกุลถังพูดคุยกับกานฮูหยินอยู่ตลอด ทั้งสองคนเดินข้างกันอยู่ด้านหน้าสุด คุณนายสี่สกุลถังยังหันกลับมาพูดคุยกับคุณนายสองสกุลเหลียงเป็นครั้งคราว ด้วยเหตุนี้คุณนายสองสกุลเหลียงจึงเดินตามหลังพวกนางอย่างใกล้ชิด
สืออีเหนียงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อหลานถิงมากที่สุด ทั้งสองคนจึงเดินอยู่ด้วยกัน
มีเพียงคุณนายสามสกุลเหลียงที่พอจะเดินไปข้างหน้า คุณนายสองสกุลเหลียงก็เอาแต่สนใจฟังคุณนายสี่สกุลถังกับกานฮูหยินพูดคุยกัน พอจะเดินมาอยู่ข้างหลัง สืออีเหนียงกับหลานถิงก็กระซิบกระซาบพูดคุยกัน…คุณนายสามสกุลเหลียงเดินอยู่ตรงกลางด้วยสีหน้าแข็งทื่อโดยไม่รู้ว่าสืออีเหนียงกับหลานถิงกำลังพูดถึงเรื่องนาง
“เกิดอะไรขึ้น” สืออีเหนียงมองไปที่แผ่นหลังของคุณนายสามสกุลเหลียง “ข้ารู้สึกว่าคุณนายสี่สกุลถังเมินเฉยนางเล็กน้อย!”
คนอย่างนางเมื่อออกมาสังสรรค์ไม่น่าจะเป็นคนที่เมินเฉยใครหรือเลือกสนิทชิดเชื้อกับใครเพราะความชอบของตัวเอง!
“เจ้าไม่รู้หรือ!” หลานถิงกระซิบว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนมีเขื่อนกั้นน้ำแห่งหนึ่งในเจียงหลิงถูกฝนกระหน่ำจนถล่ม ตุลาการโจมตีว่าผู้ว่าการกรมทรัพยากรน้ำโลภมาก เกี่ยวข้องไปถึงเจี้ยนหนิงโหว…ฮ่องเต้ทรงพิโรธมากจึงให้ฝ่ายตุลาการของสำนักตรวจการสืบเรื่องนี้อย่างละเอียด”
สืออีเหนียงพูดพึมพำว่า “เจ้าหมายความว่าฝ่าบาทต้องการจัดการเจี้ยนหนิงโหว…”
หลานถิงพยักหน้า “พ่อสามีข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้ แล้วยังเคยถามเรื่องความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าอย่างอ้อมค้อม” แล้วพูดต่อไปว่า “ได้ยินมาว่าจงซานโหวมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่บ้าง”
ทุกคนล้วนเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่าย คำพูดจึงหยุดลงที่ตรงนี้
ตอนกลางคืนได้พบกับสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงเลยพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวรู้เรื่องนี้หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ตอบอย่างมีนัยยะ “เท่าที่ข้านับวันดู ฝ่าบาทก็คงจะลงมือแล้ว!” จากนั้นก็โอบกอดนาง “เรื่องเหล่านี้ ในใจข้ารู้ขอบเขตดี เจ้าเพียงแค่ตั้งใจดูแลรักษาอาการป่วยก็พอแล้ว”
หมายความว่าให้นางกังวลให้น้อยลง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นตอนที่นางเข้าร่วมงานสังคมอย่างเป็นทางการในเยี่ยนจิงเป็นครั้งแรก ทำไมไท่ฮูหยินต้องทดสอบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของนางเหล่านี้ด้วย เห็นได้ชัดว่าไท่ฮูหยินต้องการให้ลูกสะใภ้มีไหวพริบทางการเมือง
หรือเป็นเพราะว่าสุขภาพของนางไม่ดี สวีลิ่งอี๋กลัวว่านางจะคิดมาก ดังนั้นจึงได้พูดเช่นนี้
สืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอไว้ในอ้อมแขน เอาคางเกยไว้บนศีรษะบุตรชายแล้วหลับตาลง
แม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะหวังดี แต่ว่านางกลับทำไม่ได้ แม้ว่านางจะไม่มีอำนาจที่จะโน้มน้าวอะไรก็ตาม แต่เมื่อนางสูญเสียการติดต่อกับโลกภายนอก นางก็จะค่อยๆ สูญเสียความสามารถในการเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง กลายเป็นเถาวัลย์ที่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น
แต่ว่าสวีลิ่งอี๋รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว คาดว่าคงจะมีแผนการของตัวเอง
นางพลันรู้สึกสบายใจเล็กน้อย ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
สวีลิ่งอี๋มองใบหน้าทั้งสองที่แนบชิดกันอยู่ รอยยิ้มจางๆ เผยบนใบหน้าของเขา
หลายวันมานี้เขาอยู่กับสืออีเหนียงตลอด สืออีเหนียงคงรู้สึกผิดเล็กน้อยกระมัง!
ไม่เช่นนั้น วันนั้นนางคงไม่…
จะว่าไปแล้วก็แปลกอยู่เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่มักมากในเรื่องพวกนั้น แต่ก็ไม่ใช่คนที่ฝืนใจตัวเอง…แต่ตั้งแต่ที่สืออีเหนียงตั้งครรภ์ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอบุตรคนนี้เป็นพิเศษ นับวันว่าจะคลอดเมื่อไร หลังจากที่จิ่นเกอเกิดมาแล้ว สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือการเฝ้าดูบุตรชายเติบโตขึ้นทุกวัน ก็เหมือนกับตอนนี้ที่ตนเฝ้ามองพวกเขาสองคนแม่ลูกเช่นนี้ ทำให้รู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดพลางยิ้มแล้วช่วยจัดผ้าห่มให้พวกเขา
แต่คำพูดของไท่ฮูหยินกลับผุดขึ้นมาในหัวของเขา
“เรื่องของหยางอี๋เหนียงก็คงเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้แล้ว เรื่องของนางก็ควรจะรีบตัดสินใจจึงจะถูก จะถ่วงเวลาเช่นนี้ไม่ได้”
******
หลังจากพิธีแต่งงานของเสียนเจี่ยเอ๋อร์ก็จะเป็นพิธีแต่งงานของสือเอ้อร์เหนียง
สืออีเหนียงกลัวว่าเสียงประทัดจะทำให้จิ่นเกอตกใจ จึงไม่ได้พาเขาไปด้วย กลับไปตรอกกงเสียนกับสวีลิ่งอี๋เพียงสองคน
ซินเกอของอู่เหนียงทั้งซนทั้งอยากรู้อยากเห็น เจออะไรก็ไปเปิดดู จั๋วเถาวิ่งตามเขาไปทั่ว เมื่อเทียบกันแล้ว อิงเหนียงที่ร่าเริงสดใสกลับดูสงบกว่าไม่น้อย เล่นอยู่กับสาวใช้น้อยที่ดูแลตัวเองอยู่ในเรือน
ซื่อเหนียงที่สวมเสื้อกั๊กยาวตัวใหญ่จนดูไม่ออกว่ากำลังตั้งครรภ์นั่งอยู่ที่เตียงนั่งริมหน้าต่างมองดูหลัวเจิ้นเซิงที่เดินไปรอบๆ ลานเหมือนเป็นนายท่านใหญ่ผ่านกระจกหน้าต่าง ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “นับว่าน้องสี่เป็นคนมีวาสนาที่ได้ภรรยาดี”
งานแต่งของสือเอ้อร์เหนียง ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นคุณนายสี่สกุลหลัวที่เป็นคนวางแผน
“พี่สี่ไม่เพียงแค่มีวาสนา ซ้ำยังรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มพลางจิบชา “ไม่เช่นนั้นพี่สี่ก็ต้องสั่งการเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ ต่อให้พี่สะใภ้สี่มีความสามารถแค่ไหน เกรงว่างานแต่งของน้องหญิงสิบสองก็คงจะไม่ราบรื่นเช่นนี้!”
“เจ้าพูดถูกแล้ว” ซื่อเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า ผ้าม่านถูกเปิดออก จากนั้นอู่เหนียงก็เดินเข้ามา
“ข้างนอกยุ่งวุ่นวายอย่างมาก แต่พวกเจ้าสองคนกลับมาแอบขี้เกียจอยู่ที่นี่” นางยิ้มพลางนั่งลงข้างสืออีเหนียง
ซื่อเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราเป็นคุณหนู หากไม่นั่งดูอยู่ที่นี่แล้วจะให้ไปช่วยงานอย่างนั้นหรือ” ขณะที่พูดเสียงประทัดจากด้านนอกก็ดังขึ้น
คนรับสินสอดทองหมั้นของสกุลหวังมาถึงแล้ว
อู่เหนียงลากสืออีเหนียง “พี่หญิงสี่กำลังตั้งครรภ์ พวกเราออกไปดูความครึกครื้นกันเถิด”
สืออีเหนียงกลัวประทัดจึงลังเลเล็กน้อย
แต่อู่เหนียงกลับส่งสายตาให้นางไม่หยุดหย่อน