ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 477 สถานการณ์(ต้น)
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แต่ก็ไม่ควรแสดงออกอย่างชัดเจนเกินไป
“ในใจเจ้ารู้ว่าควรทำอย่างไรก็ดีแล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่าง
จากนั้นสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็วิ่งเข้ามาหา “ท่านย่า ท่านย่า” เอ่ยเรียกพลางโค้งคำนับ
ไท่ฮูหยินมองเด็กทั้งสองด้วยรอยยิ้ม หันไปอุ้มจิ่นเกอที่พึ่งร้องไห้มาจากอ้อมแขนของแม่นมกู้ “เกิดอะไรขึ้น ใครรังแกจิ่นเกอของพวกเรา! บอกย่ามา ย่าจะช่วยเจ้าสั่งสอนพวกเขาให้เอง” แล้วพูดต่ออีกว่า “จิ่นเกอของพวกเราสวมเสื้อแขนยาวแล้วดูเรียบร้อยขึ้นเยอะเลย” พูดพลางหอมแก้มจิ่นเกอหนึ่งที
จิ่นเกอเบิกตากว้างมองไท่ฮูหยินด้วยดวงตาเปล่งประกายสีดำแวววาวราวกับหยกเพราะพึ่งผ่านการร้องไห้มาเมื่อครู่
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็รู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก หอมแก้มจิ่นเกออีกหนึ่งที แล้วถามสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงพากันมารบกวนท่านแม่”
สวีซื่อจุนรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่บอกว่าหายป่วยแล้ว ต่อไปนี้ตอนกลางวันพวกเราสามารถมาทานอาหารกลางวันที่นี่ทุกวันได้เช่นเคยแล้วขอรับ!”
ไท่ฮูหยินหันไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ก็เพียงแค่ทานอาหารกลางวันเท่านั้น แล้วก็ยังมีบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้คอยปรนนิบัติอยู่ ท่านแม่ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินเห็นว่าขณะที่ตัวเองกำลังพูดคุยอยู่กับสืออีเหนียง สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็พากันมาหาจิ่นเกอ คนหนึ่งจับมือจิ่นเกอ อีกคนหนึ่งดึงมือจิ่นเกอ ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ “เจ้าก็ตามใจพวกเขามากเกินไปแล้ว!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ให้ตามใจเด็กน้อยแล้วจะตามใจผู้ใหญ่หรือเจ้าคะ! อีกอย่างจุนเกอกับเจี้ยเกอก็เชื่อฟังเช่นนี้ ต่อให้ข้าตามใจก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียนิสัย”
ขณะที่พูดคุยกันบรรดาอี๋เหนียงก็เข้ามา
เมื่อเห็นว่าไท่ฮูหยินอยู่ เหวินอี๋เหนียงก็ค่อนข้างระมัดระวังอยู่บ้าง เฉียวเหลียนฝังท่าทางสุภาพเรียบร้อย ส่วนคุณนายสามสกุลเหลียงก็ท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างมาก
“รู้มาว่าฮูหยินย้ายกลับมาที่เรือนหลักแล้วจึงตั้งใจมาเยี่ยม” เหวินอี๋เหนียงทำตัวไม่ปกติ ไม่ช่างพูดช่างจาอย่างที่เคยเป็น ส่วนเฉียวเหลียนฝังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม คุณนายสามสกุลเหลียงเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบเชียบ จึงเดินเข้าไปพลางยิ้มแล้วพูดว่า “หากฮูหยินมีเรื่องอันใดก็กำชับมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“ก็ไม่ได้มีเรื่องอันใดหรอก!” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “ในเรือนหลักก็เผาเตาให้ความอบอุ่นอยู่ตลอด พวกผงฝุ่นในเรือนก็มีซิ่วเหลียนและคนอื่นๆ คอยช่วยปัดกวาด” นางพูดพลางส่งแขก “หากมีเรื่องอันใด เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องขอให้บรรดาอี๋เหนียงช่วยเหลืออย่างแน่นอน”
เมื่อทั้งสามคนเห็นดังนั้นก็ย่อเข่าคำนับแล้วเดินเรียงกันออกไป
ไท่ฮูหยินมองตามหลังคุณนายสามสกุลเหลียง อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
จนถึงตอนนี้คุณนายสามสกุลเหลียงก็ยังไม่เคยได้ปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋เข้านอน เชื่อว่าหลายคนในจวนต่างก็รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไท่ฮูหยิน ตอนที่สืออีเหนียงตั้งครรภ์นั้นอาการไม่ดี สวีลิ่งอี๋เป็นห่วงมากจึงคอยดูแลนางอยู่ที่เรือน ต่อมาพอถึงกำหนดคลอดก็ประสบปัญหาคลอดบุตรยาก หลังจากคลอดแล้วเด็กก็ไม่ค่อยสบาย ตอนนี้นางก็มีอาการตกเลือด ต้องรักษานานถึงสามถึงห้าปี ตามบรรทัดฐานของภรรยาที่ดี นางควรจะจัดเตรียมอนุภรรยาไว้คอยปรนนิบัติ เมื่อถึงวันของตัวเองก็ยิ่งต้องจัดเตรียมสาวใช้ห้องข้างไว้คอยปรนนิบัติถึงจะถูก แต่ตอนนี้สวีลิ่งอี๋เอาแต่อยู่ที่เรือนของนางอย่างเดียว…
แต่นางแกล้งทำเป็นไม่รู้
“ท่านแม่ ท่านทานข้าวแล้วหรือยัง หากยังไม่ได้ทาน ไม่สู้พวกเรามาทานข้าวด้วยกันดีหรือไม่” สืออีเหนียงยิ้มพลางกอดสวีซื่อเจี้ยแล้วโอบไหล่สวีซื่อจุน “พวกเราก็ยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ให้คนครัวของเจ้าทำเป็ดตุ๋นหน่อไม้แห้งให้ข้าเถิด!”
นี่เป็นอาหารที่ไท่ฮูหยินโปรดปรานมากที่สุด
สืออีเหนียงยิ้มพลางรับคำ กำชับให้จู๋เซียงไปยกอาหารมา
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยล้อมวงกันเข้ามา คนหนึ่งตะโกนว่าจะกินกุ้งผัดชาหลงจิ่ง อีกคนตะโกนว่าจะกินขนมเปี๊ยะกุหลาบ ทำเอาไท่ฮูหยินหัวเราะ พูดกับจิ่นเกอที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่า “เจ้าดูพี่ห้าของเจ้าสิ รู้จักแต่ขนมเปี๊ยะกับซาลาเปาไส้เนื้อ”
สวีซื่อเจี้ยชอบทานซาลาเปาไส้เนื้อ เรื่องนี้ไม่มีใครไม่รู้ เขาก้มศีรษะลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบศีรษะเขา กระซิบข้างหูว่า “ข้าก็ชอบกินซาลาเปาไส้เนื้อเหมือนกัน”
สวีซื่อเจี้ยเงยหน้าขึ้นมา หน้าแดงก่ำแต่ดวงตากลับเป็นประกาย
******
สองวันต่อมา สืออีเหนียงไปจวนจงฉินปั๋วเพื่อเพิ่มสินสอดทองหมั้นใส่หีบให้เสียนเจี่ยเอ๋อร์
กานฮูหยินออกมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เจ้าสุขภาพไม่ค่อยดีก็ยังอุตส่าห์มาด้วยตัวเอง ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรเลยจริงๆ!”
สืออีเหนียงกล่าวอย่างสุภาพว่า “เสียนเจี่ยเอ๋อร์ออกเรือนทั้งที ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องมาดูให้ได้”
ทั้งสองพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในห้องโถงเรือนหลัก
มีสตรีแปลกหน้านั่งอยู่สองคนในห้องโถง ดูแล้วอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี คนหนึ่งแต่งตัวหรูหราแต่หน้าตาดูธรรมดา ส่วนอีกคนหนึ่งแต่งตัวอย่างเรียบเงียบ แต่หน้าตาดูสดใส ทั้งสองคนนั่งข้างกันบนเก้าอี้ไท่ซือ แม้ว่ากำลังพูดคุยกัน แต่บรรยากาศในห้องกลับดูเย็นยะเยือก
สืออีเหนียงอดประหลาดใจไม่ได้
กานฮูหยินยิ้มพลางแนะนำนาง “สองท่านนี้เป็นสะใภ้จวนเดียวกันกับคุณหนูเจ็ดของพวกเรา” พูดพลางชี้ไปยังคนที่หน้าตาธรรมดา “นี่คือคุณนายสามสกุลเหลียง แซ่หยาง” แล้วชี้ไปที่อีกคนหนึ่ง “นี่คือคุณนายสองสกุลเหลียง แซ่หวง” ขณะที่พูดสายตาของทั้งสองคนก็จับจ้องมาที่สืออีเหนียงโดยไม่ได้นัดหมาย
สืออีเหนียงซูบผอมลงไม่น้อย วันนี้ตั้งใจมวยผมขึ้น สวมเสื้อแขนยาวสีเขียวทะเลสาบ และสวมกระโปรงสีเขียวเข้มปักลายดอกเหมยสีเขียวอ่อน ฤดูหนาวเช่นนี้กลับสวมชุดบางเฉียบ ทั้งยังสวมสร้อยข้อมือทับทิมที่พันรอบข้อมือประมาณเจ็ดแปดรอบ ดูงดงามแฝงไว้ด้วยเสน่ห์
แววตาของคุณนายสามสกุลเหลียงผู้นั้นเผยให้เห็นถึงความอิจฉา แต่แววตาของคุณนายสองสกุลเหลียงนั้นปรากฏความสงสัยเล็กน้อย
กานฮูหยินแนะนำสืออีเหนียง “ท่านนี้คือหย่งผิงโหวฮูหยิน แซ่หลัว พึ่งจะคลอดคุณชายน้อยเมื่อไม่นานมานี้ พอหมดช่วงอยู่ไฟก็มาเพิ่มสินสอดทองหมั้นใส่หีบให้เสียนเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเรา” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มพลางทักทายสตรีทั้งสองท่าน
นัยน์ตาของคุณนายสามสกุลเหลียงเผยให้เห็นความเย็นชาครู่หนึ่ง ขณะที่คุณนายสองสกุลเหลียงนั่งหลังตรงพลางยิ้มเล็กน้อย ท่าทางดูเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเหลือบมองคุณนายสามสกุลเหลียงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์อยู่ครู่หนึ่ง นางยิ้มแล้วทักทายคุณนายสองสกุลเหลียง “นึกไม่ถึงว่าจะได้พบบุตรสาวของใต้เท้าหวงที่นี่”
คุณนายสองสกุลเหลียงประหลาดใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “สกุลเดิมข้าอยู่ที่อวี๋หัง ตอนวันเกิดท่านย่าของพวกเจ้าในตอนนั้น พี่ชายข้าก็ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้ไปร่วมแสดงความยินดีด้วย”
คุณนายสองสกุลเหลียงได้ฟังดังนั้นก็มีท่าทางเป็นกันเองขึ้นมาเล็กน้อย “ที่แท้ฮูหยินก็เป็นคนอวี๋หัง ตอนนั้นข้าตามท่านพ่อไปประจำตำแหน่ง”
“นี่นับว่าคือโชคชะตา” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดว่า “ตอนนั้นยังไม่รู้จักกัน แต่กลับได้มาเจอกันที่เยี่ยนจิง”
รอยยิ้มของคุณนายสองสกุลเหลียงเริ่มดูสนิทสนมขึ้นมา
“คนกันเองทั้งนั้น ทุกคนนั่งลงคุยกันเถิด” กานฮูหยินเห็นดังนั้นก็เชิญให้พวกนางนั่งลงอย่างเป็นกันเอง
สืออีเหนียงถามถึงหลานถิง “…เหตุใดถึงไม่เห็นนางเลย!”
“นางกำลังคุยอยู่กับพี่ชายใหญ่ของนาง!” กานฮูหยินยิ้มพลางให้สาวใช้น้อยนำชากับขนมมาวาง
สืออีเหนียงกับคุณนายสองสกุลเหลียงพูดถึงเรื่องในเจียงหนานจึงได้ละเลยคุณนายสามสกุลเหลียงไป
ใบหน้าของคุณนายสามสกุลเหลียงดูมืดมนเล็กน้อย
คุณนายสองสกุลเหลียงเห็นดังนั้นก็ดูเหมือนมีความสุขมาก ยิ่งพูดคุยกับสืออีเหนียงอย่างออกรสออกชาติมากกว่าเดิม
สีหน้าคุณนายสามสกุลเหลียงเริ่มดูไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรเสียก็เป็นแขก เป็นเช่นนี้ต่อไป หากคุณนายสามสกุลเหลียงอารมณ์ไม่ดี จะเป็นสกุลกานที่ดูไม่ดีเอา
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงจึงกำลังจะหันไปพูดคุยกับคุณนายสามสกุลเหลียง หลานถิงก็เดินเข้ามาพอดี
นางสวมเสื้อแขนยาวสีแดงลูกท้อ มวยผมขึ้น ใส่ต่างหูสีทองและปักปิ่นปักผม สีหน้าตึงเครียดทำให้ดูจริงจังเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงอยู่นางก็ยิ้มอย่างสดใสเหมือนปกติ
“สืออีเหนียง เจ้ามาได้อย่างไร!” หลานถิงรีบเข้าไปจับมือนาง “ข้าได้ยินมาว่าหมอหลวงหลิวไปติดตามอาการเจ้าทุกๆ ห้าวัน เจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง”
“ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว” สืออีเหนียงไม่อยากพูดอะไรมากจึงตอบไปสั้นๆ
หลานถิงพยักหน้าไม่ถามอะไรอีก
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่าอยากจะไปพบกานไท่ฮูหยิน
กานฮูหยินไม่ได้รู้สึกแปลกใจ ทุกคนต่างก็รู้ว่ากานไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงทำกิจการร่วมกันและทำเงินได้มากมาย
หลานถิงได้ฟังดังนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า “พอข้ากลับมาพี่ใหญ่ก็ลากข้าไปคุยด้วย ยังไม่ได้ไปคารวะท่านแม่เลย” แล้วพูดต่ออีกว่า “พวกเราไปเยี่ยมนางด้วยกันเถิด!”
ดูเหมือนว่ากานฮูหยินจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไร แต่ก็ยังส่งสาวใช้น้อยให้พาพวกนางไปหากานไท่ฮูหยิน
ระหว่างทาง สืออีเหนียงถามหลานถิงว่า “ที่พี่ใหญ่เจ้าเรียกเจ้าไปพบ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องที่เฉวียนโจว”
บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าสหายที่ไว้ใจได้ หลานถิงจึงยอมเล่าให้ฟัง “…เขายังบอกอีกว่าขนาดเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังช่วยไม่ได้ แล้วเขาจะไปอธิบายกับคนสกุลกงอย่างไร ข้าเกลี่ยกล่อมเขาไม่ให้ทำธุรกิจขนส่งทางมหาสมุทรกับสกุลกงแล้ว สกุลกงเป็นสกุลทำกิจการรายใหญ่ ถึงแม้ว่าจะสละเรือในมหาสมุทรไปหนึ่งลำก็ไม่ต่างอะไรกันกับถอนขนไปหนึ่งเส้น แต่สำหรับสกุลเรากลับเหมือนกับถูกถอนเอ็น หากมีอะไรเกิดขึ้น จะรู้สึกเสียใจภายหลังก็คงไม่ทัน คำพูดเช่นนี้ พี่ใหญ่กลับไม่ฟังเลยสักคำ ข้าเองก็หมดปัญญาแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ารำคาญเสียจริง” แล้วพูดต่ออีกว่า “เจ้าเองก็เห็นแล้ว แม้ว่าพวกเราจะมีสะใภ้เพียงสามคน แต่ต่างคนก็ต่างมีแผนและความคิดของตัวเอง หากว่าข้ามาขอร้องเพื่อเรื่องสกุลเดิมของข้า เกรงว่าพวกนางก็จะรู้ทันที เมื่อถึงตอนนั้นแล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ก่อนที่สืออีเหนียงจะได้ตอบ พวกนางก็มาอยู่ที่ประตูหน้าเรือนของกานไท่ฮูหยินพอดี
ทั้งสองคนหยุดการสนทนาแล้วเดินตามสาวใช้น้อยเข้าไปในเรือน
กานไท่ฮูหยินมีความสุขมากที่ได้พบพวกนาง ยิ้มพลางจับมือสืออีเหนียง “หลายวันมานี้ประเดี๋ยวข้าก็ได้ยินคนอื่นบอกว่าเจ้าประสบปัญหาคลอดบุตรยาก ประเดี๋ยวก็ได้ยินคนอื่นบอกว่าเจ้ามีอาการตกเลือด ทำเอาข้าสับสนไปหมด พอส่งคนไปถามก็ไม่ได้คำตอบที่แน่นอน ข้าเป็นห่วงอยู่ทุกวัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สืออีเหนียงยิ้มพลางเล่าเหตุการณ์สั้นๆ “…ไม่มีอะไร เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องกังวลเจ้าค่ะ”
เมื่อรู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี กานไท่ฮูหยินก็แสดงสีหน้าโล่งใจ หันไปไถ่ถามหลานถิง
“ข้าก็สบายดีเช่นกัน!” หลานถิงสีหน้าเรียบเฉย ตอบกานไท่ฮูหยินสองสามประโยคแล้วลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงคิดถึงจิ่นเกอ เตรียมตัวจะกลับจวนแล้วเช่นกัน พูดขึ้นมาว่า “คราวหน้าค่อยมาเยี่ยมท่านอีก” แล้วเดินออกจากเรือนของกานไท่ฮูหยินพร้อมกับหลานถิง
ช่วงนี้อากาศแจ่มใส แสงอาทิตย์สาดส่องมาที่ใบหน้า ส่องแสงเจิดจ้าแต่ไม่แสบตา เพียงแค่รู้สึกอบอุ่นเท่านั้น
ฝีเท้าของกานหลานถิงช้าลงเล็กน้อย พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เมื่อวานข้าได้รับจดหมายจากสาวใช้ข้างกายของพี่หญิงสาม บอกว่าพี่หญิงสามตั้งครรภ์แล้ว”
พึ่งเข้าจวนไปก็มีเรื่องมงคลเลย ถือว่าเป็นเรื่องดี!
แต่เหตุใดสีหน้าของหลานถิงกลับประหลาดเช่นนี้
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็ได้ยินหลานถิงพูดพึมพำว่า “ปรากฏว่าถูกอนุรรยาทำให้โกรธจนแท้งบุตร”
“ว่าอย่างไรนะ!” สืออีเหนียงหยุดฝีเท้า
หลานถิงก็หยุดเช่นกัน
นางมองสืออีเหนียงพลางยิ้มเจื่อนๆ “ข้าก็ไม่ได้หวังให้พี่ใหญ่ไปถกเถียงกับสกุลเจียง เพียงแค่อยากให้เขาเขียนจดหมายไปตักเตือน ใครจะไปรู้ว่า…” หลานถิงหันหน้าหนี มีน้ำใสๆ ไหลรินออกมาจากดวงตา
ดังนั้นจึงได้เลือกกลับสกุลเดิมวันนี้เพื่อมาเพิ่มสินสอดใส่หีบให้เสียนเจี่ยเอ๋อร์กระมัง