ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 476 สัญลักษณ์แห่งความสุข(ปลาย)
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าฮูหยินสามคิดจะทำอะไรกันแน่ นางไม่อาจออกความคิดเห็นได้ ยิ้มแล้วพูดว่า “พอดีเลย เมื่อสองวันก่อนไท่ฮูหยินก็ถามถึงเรื่องการหมั้นหมายของคุณชายน้อยใหญ่อยู่พอดี ตอนนี้ได้รู้ว่ามีการหมั้นหมายแล้ว ไม่รู่ว่าจะดีใจแค่ไหน” แล้วพูดต่อว่า “เจ้ารีบไปรายงานไท่ฮูหยินเถิด! นางจะได้สบายใจ” ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
สะใภ้กานเหล่าเฉวียนนึกถึงคำสั่งของฮูหยินสาม ‘…บอกที่มาของสกุลฟังให้ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง ฮูหยินสี่และฮูหยินห้ารู้ด้วย จะได้ไม่มีคนคิดว่าพวกเราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพวกเขา ไปหมั้นหมายสกุลที่ไหนก็ไม่รู้มาให้ฉินเกอ!’
นางยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไป พูดขึ้นมาว่า “สกุลฟังเป็นสกุลใหญ่ในหูโจว ท่านลุงของนายอำเภอฟังคือใต้เท้าฟังนามว่าฟังสุยเดิมเป็นฝ่ายตุลาการของสำนักตรวจการ คุณหนูสกุลฟังผู้นี้เป็นบุตรสาวคนโตของนายอำเภอฟัง ในวัยเด็กได้เรียนหนังสือกับท่านอาหญิง ไม่เพียงแต่เขียนตัวอักษรได้ดี ซ้ำยังชำนาญเรื่องดนตรี” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของสะใภ้กานเหล่าเฉวียนก็เผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ “ฮูหยินสี่เกิดที่เจียงหนาน คงจะรู้จักใต้เท้าฟังนามว่าฟังสุยใช่หรือไม่ คนที่ลาออกจากตำแหน่งในปีเจี้ยนอานที่สี่สิบหก!ส่วนท่านอาเขยของคุณหนูฟังก็คือใต้เท้าเจียงนามว่าเจียงไหวหยาง เดิมเป็นรองเจ้ากรมพิธีการเจ้าค่ะ”
ที่จริงแล้วสืออีเหนียงไม่รู้จัก แต่ว่าสะใภ้กานเหล่าเฉวียนดูเหมือนจะภาคภูมิใจอย่างมาก คาดว่าหากไม่ใช่ขุนนางที่มีชื่อเสียงก็ต้องเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง
นางจึงยิ้มแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ตอนอยู่ที่อวี๋หังข้าก็ไม่ได้ออกไปไหน ไม่เคยได้ยินชื่อของใต้เท้าทั้งสองมาก่อน แต่ว่าหากได้เป็นดองกับสกุลใหญ่ในเจียงหนานนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดี”
เมื่อสะใภ้กานเหล่าเฉวียนเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้มีท่าทางคล้อยตามก็ทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่สืออีเหนียงต้องการจะส่งแขกอยู่แล้วนางจึงไม่อยากพูดอะไรมาก สะใภ้กานเหล่าเฉวียนจึงลุกขึ้นกล่าวลา จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋กลับมาในตอนกลางคืน สืออีเหนียงบอกเรื่องนี้กับเขา
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นกลับขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงได้หมั้นหมายกับสกุลนี้”
“ไม่ดีหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “ฟังจากน้ำเสียงของสะใภ้กานเหล่าเฉวียน ดูเหมือนว่าฟังสุยกับเจียงไหวหยางสองคนนั้นจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง!”
“ก็นับว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “สมัยปีเจี้ยนอานที่สี่สิบหก ราชบุตรเขยขององค์หญิงอานเฉิงลักลอบนำเข้าสินค้ามาขายแล้วถูกฟังสุยเปิดโปงความผิด สุดท้ายก็ถูกเฆี่ยนด้วยไม้กระดานสี่สิบที จนถึงตอนนี้ก็ยังเดินขากะเผลก ส่วนเจียงไหวหยาง ก็เชี่ยวชาญด้านดนตรีและบทกวี เป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในเจียงหนาน แต่เพราะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องในคดีมนต์ดำ จึงต้องลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับบ้านเกิด…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “เหตุใดครอบครัวพวกเขาถึงได้เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครั้งนี้”
สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน!”
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ช่างเถิด ในเมื่อมีการกำหนดการหมั้นหมายแล้ว พวกเราพูดอะไรไปก็เปลืองแรงเปล่า อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องของพี่สาม พวกเราไม่อาจยื่นมือเข้าไปแทรกได้” แล้วพูดต่ออีกว่า “โชคดีที่ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพี่สามก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพอพวกเราพี่น้องได้เจอหน้าแล้วค่อยว่ากัน!” จากนั้นก็นั่งลงข้างเตียง มองจิ่นเกอที่กำลังหลับสนิทแล้วพูดเสียงเบา “ตอนนี้ลูกก็ครบหนึ่งเดือนเต็มแล้ว ข้าว่าพวกเจ้ารีบย้ายกลับไปอยู่ที่เรือนหลักเถิด! ที่นั่นมีห้องหน่วนเก๋อ มีห้องชำระ ไม่ว่าจะสำหรับเจ้าหรือลูกก็จะสะดวกสบายกว่านี้”
สืออีเหนียงเองก็เตรียมพร้อมที่จะย้ายอยู่แล้ว การที่นอนกับแม่นมกู้โดยมีฉากกั้นเช่นนี้นางรู้สึกไม่ชินยิ่งนัก เมื่อได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้ก็รีบยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราย้ายเข้าไปวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่!”
“เช่นนั้นก็เป็นวันพรุ่งนี้เถิด!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ข้าจะให้หลินปัวกับจ้าวอิ่งมาช่วยเจ้า”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หากพวกเขามาข้าคงไม่สะดวกเท่าไร พักอยู่ที่ห้องเอ่อร์ฝังมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ไหนเลยจะไม่มีข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ล้างหน้าล้างตาแล้วพักผ่อน
ในห้องเงียบสงัด มีเพียงโคมไฟจากมุมกำแพงที่ส่งเสียงยามกระทบลม ทำให้บรรยากาศดูสงบมากยิ่งขึ้น
สวีลิ่งอี๋พลิกตัว มือสอดเข้าไปในเสื้อของสืออีเหนียงด้วยความเคยชิน
เอวบางมากราวกับเพียงแค่ออกแรงเล็กน้อยก็สามารถหักได้…หน้าอกก็เล็กลงไปตามตัว…แต่เมื่อเปรียบเทียบกับร่างกายที่ผ่ายผอมของนางแล้ว หน้าอกนั้นดูอวบอิ่มกว่าเล็กน้อย
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว นิ้วหัวแม่มือก็ควานหาเม็ดบัวบนอกอวบอิ่มตามสัญชาตญาณ ลมหายใจร้อนรดต้นคอจนทำให้นางรู้สึกร้อนเล็กน้อย
“ท่านโหว…” สืออีเหนียงขยับตัวไปมาด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายพลางผลักสวีลิ่งอี๋ออกด้วยท่าทางไม่เต็มใจ
“ข้ารู้” สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ พลางหอมแก้มนาง ยอมแพ้อย่างไม่ลังเล “รีบนอนเถิด!” มือเลื่อนลงไปวางบนเอวของนาง แต่การตอบสนองของร่างกายกลับไม่สามารถสงบลงได้ตามต้องการ
ไม่รู้ว่าทำไมสืออีเหนียงถึงได้รู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย
นางซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋
บางอย่างนางก็ไม่สามารถกำจัดได้ แต่นางก็ไม่ได้อยากเติมไฟ
อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ มือของนางก็ค่อยๆ สอดเข้าไปในเสื้อของสวีลิ่งอี๋…แต่กลับถูกสวีลิ่งอี๋จับเอาไว้
“อย่ามาทำแบบนี้!” มีความขบขันแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา “รีบนอนเถิด! พรุ่งนี้ยังต้องย้ายเรือนอีก”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าใบหน้าของนางร้อนราวกับถูกน้ำร้อนลวกก็ไม่ปาน
นางไม่ได้เอามือออกมา แต่กลับเลื่อนไปจับมือสวีลิ่งอี๋พลางกระซิบเรียก “ท่านโหว…”
บรรยายกาศคลุมเครือเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เขายังคงจำครั้งแรกที่นางขวยเขินจนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก…เขาจับมือนางไปวางไว้บนเอวของเขา กลายเป็นว่านางกำลังกอดเขา “รีบนอนเถิด!” พูดพลางตบหลังนางเบาๆ ราวกับว่ากำลังกล่อมเด็กนอน
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางมักจะรู้สึกว่าตัวเองงุ่มง่าม โดยเฉพาะตอนที่ดวงตาหงส์ของสวีลิ่งอี๋จ้องมองมาที่นางอย่างลึกซึ้ง นางไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไร…
ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันจะดีกว่า…
แต่เหตุใดถึงได้รู้สึกไม่สบายใจกันนะ
สืออีเหนียงกัดริมฝีปาก
จู่ๆ ก็รู้สึกถูกเตะที่ไหล่หนึ่งที
เมื่อนางหันไปก็เห็นจิ่นเกอที่เปลี่ยนจากใช้ผ้าห่อตัวมาสวมเสื้อแขนยาวกำลังนอนดูดนิ้วอยู่แล้วจ้องมองมาที่นางด้วยดวงตาสีดำสุกใสคู่นั้น
“จิ่นเกอ!”
ลูกตื่นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้…
สืออีเหนียงแอบรู้สึกผิดในใจเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะลุกขึ้น สวีลิ่งอี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็อุ้มบุตรไปแล้ว “แม่นมกู้ แม่นมกู้…”
แม่นมกู้สวมเสื้อคลุมแล้วรีบเข้ามาอย่างเบาเมือเบาเท้า
“เจ้าค่ะท่านโหว” นางรับจิ่นเกอมาแล้วถอดผ้าอ้อมพาจิ่นเกอไปปัสสาวะกอย่างชำนาญ จากนั้นก็อุ้มไปที่หลังฉากกั้นแล้วป้อนนม
ในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
สืออีเหนียงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
เหตุใดเมื่อครู่ถึงนึกไม่ถึงว่าแม่นมกู้ยังอยู่ในห้อง…ถ้าหาก…ยังดีที่จิ่นเกอตื่นมาก่อน ไม่เช่นนั้น คงถูกคนเอาไปนินทาแล้ว!
นางหน้าแดงก่ำ ล้มตัวนอนลงแล้วหันหลังให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋งงงวยขึ้นมา
โน้มตัวไปสำรวจดูนาง
เห็นว่าสืออีเหนียงหน้าแดง ขนตายาวขยับเล็กน้อยเหมือนเกสรดอกไม้ที่กระทบลม
เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงเป็นคนขี้อาย…หรือว่าการปฏิเสธเมื่อครู่ของตนทำให้นางโกรธ?
เมื่อนึกได้เช่นนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกอยากหัวเราะ
ขณะที่กำลังคิดว่าจะเย้าแหย่นางดีหรือไม่ แม่นมกู้ก็อุ้มเด็กน้อยเดินเข้ามาเสียงเบา
สวีลิ่งอี๋นึกขึ้นได้ว่าเจ้าตัวน้อยนี้บางทีเพียงแค่ตบก้นเบาๆ ก็หลับแล้ว บางครั้งก็ลืมตานอนเล่นจนถึงกลางดึก…ลุกขึ้นมารับบุตรชาย ทำเหมือนปกติที่เคยทำ เดินไปด้วยพลางตบก้นกล่อมเขานอนไปด้วย
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวสืออีเหนียงก็หันกลับไป
ภายใต้แสงสลัว เงาของสวีลิ่งอี๋สูงยาวเหยียด เขาอุ้มจิ่นเกอที่อยู่ในผ้าอ้อมอย่างอ่อนโยน สีหน้าดูมีความสุขเป็นอย่างมาก
******
วันรุ่งขึ้นสืออีเหนียงย้ายกลับไปที่ห้องด้านในของเรือนหลัก
ตอนกลางวัน สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยวิ่งมาเยี่ยมน้องชาย
“ท่านแม่ ท่านหายดีแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” สวีซื่อจุนจับมือน้อยๆ ของจิ่นเกอ “เช่นนั้นพวกเราทำเหมือนเมื่อก่อนที่มาทานอาหารกลางวันที่เรือนท่านทุกวันได้หรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ เช่นนั้นข้าก็ย้ายกลับมาได้แล้วใช่หรือไม่!”
สืออีเหนียงยังไม่หายสนิท ตอนนี้หมอหลวงหลิวมาฝังเข็มให้นางทุกๆ ห้าวัน และยังไม่ได้หยุดทานยา
“ได้สิ!” นางทนไม่ได้ที่จะทำให้เด็กๆ ต้องผิดหวัง อีกอย่างสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยสองพี่น้องก็มีป้ารับใช้และบรรดาสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย “แต่ว่าต้องให้ท่านย่าอนุญาตก่อนจึงจะเหมาะสม!”
เด็กทั้งสองคนโห่ร้องด้วยความดีใจ
จิ่นเกอที่นอนหงายอยู่บนเตียงนั่งพยายามที่จะยกมือขึ้นมา หวังจะเอานิ้วเล็กๆ มาอมไว้ในปาก แต่น่าเสียดายที่ถูกห่อไว้หลายชั้น พยายามยกแขนอยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงได้เบะปากแล้วร้องออกมาเสียงดัง “อุแว้!”
สวีซื่อจุนรีบเข้าไปกล่อมจิ่นเกอ “อย่าร้อง เจ้าอย่าร้องไห้ ข้าจะไปเรียกแม่นมมาให้เจ้า”
จิ่นเกอเข้าใจคำพูดเหล่านี้เสียที่ไหนกัน กลับร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
ไม่รู้ว่าสวีซื่อเจี้ยไปเอาลูกอมมาจากไหน “ข้าจะให้เจ้าทานลูกอม แต่ว่าเจ้าห้ามร้องไห้เด็ดขาด!”
ทำเอาสืออีเหนียงตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก กำลังจะเข้าไปอุ้มจิ่นเกอ หงเหวินก็เข้ามาอุ้มจิ่นเกอไปก่อนแล้ว “คุณชายน้อยห้าเจ้าคะ คุณชายหกยังเล็ก ทานได้แต่น้ำนมของแม่นมกู้เท่านั้น ของที่พวกท่านทานได้คุณชายน้อยหกยังทานไม่ได้เจ้าค่ะ” พูดพลางกล่อมจิ่นเกอไปด้วย
ได้ฟังดังนั้นสืออีเหนียงก็โล่งใจ
แอบพยักหน้าให้กับการกระทำของหงเหวิน
“เช่นนั้น เช่นนั้นแล้วเมื่อไรน้องหกจะทานของเหล่านี้ได้” สวีซื่อเจี้ยพูดด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
หงเหวินกำลังจะอ้าปากตอบ สวีซื่อจุนก็พูดขึ้นมาว่า “อย่างน้อยก็ต้องอายุสามขวบ!”
“ทำไมต้องรอให้อายุสามขวบด้วยเล่า” สวีซื่อเจี้ยเหมือนกับเด็กที่กำลังอยากรู้อยากเห็น “พออายุสามขวบแล้วก็จะสามารถทานอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ”
สวีซื่อจุนพยักหน้า “ตอนที่เจ้ามาที่จวนของพวกเราก็สามารถทานอะไรก็ได้หมดแล้ว ข้ายังนำลูกอมที่ฮองเฮาประทานให้มามอบให้แก่เจ้าอีกด้วย”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนที่สวีซื่อเจี้ยเข้ามาอยู่ในสกุลสวี ตอนนั้นสวีซื่อจุนก็อายุเพียงหกขวบเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังจำได้อย่างชัดเจนเช่นนี้!
แต่สวีซื่อเจี้ยดูเหมือนว่าจะจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้แล้ว เขามองสวีซื่อจุนด้วยท่าทางที่ดูสับสน
สืออีเหนียงรีบพูดตัดบทสนทนาขึ้นมา “จุนเกอ เจี้ยเกอ พวกเจ้าทำโคมแดงให้จิ่นเกอไม่ใช่หรือ รีบไปให้ชิวอวี่เอามาให้น้องชายเล่นสิ”
เมื่อทั้งสองคนได้ยินดังนั้นก็พากันรีบวิ่งออกไปเอาโคมแดงที่มีขนาดเท่าฝ่ามือมาถือส่ายไปส่ายมาอยู่ตรงหน้าจิ่นเกอ เล่นหยอกล้อกับเขา
สายตาของจิ่นเกอส่ายไปส่ายมาตามโคมแดง ลืมว่าตัวเองกำลังร้องไห้ไปอยู่พักหนึ่ง
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน มีเทียบเชิญเข้าร่วมพิธีแต่งงานส่งมาจากตรอกกงเสียนเจ้าค่ะ”
นับวันดูแล้ว ตอนนี้ก็กลางเดือนสิบเอ็ดแล้ว เทียบเชิญเข้าร่วมพิธีแต่งงานของสือเอ้อร์เหนียงก็ควรส่งมาอย่างเป็นทางการได้แล้ว
“ไปเอาเข้ามาเถิด!” สืออีเหนียงเรียกสาวใช้น้อยเข้ามา “ทางฝั่งของไท่ฮูหยินได้รับเทียบเชิญแล้วหรือยัง”
สาวใช้น้อยตอบอย่างมีไหวพริบว่า “ทางฝั่งไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง และฮูหยินห้าต่างก็มีคนนำเทียบเชิญเข้าร่วมพิธีแต่งงานไปส่งแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ไท่ฮูหยินก็มาพอดี
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นไปต้อนรับไท่ฮูหยิน
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นว่าเด็กทั้งสามคนกำลังเล่นอยู่ด้วยกันก็พยักหน้าพลางยิ้มอย่างมีความสุข “ทางฝั่งของสือเอ้อร์เหนียงเจ้ามีแผนอย่างไร” แล้วพูดเตือนนางว่า “พิธีแต่งงานของเสียนเจี่ยเอ๋อร์กับสือเอ้อร์เหนียงห่างกันไม่ถึงสองวัน!”
“ทางด้านเสียนเจี่ยเอ๋อร์ ข้าจะไปเพิ่มสินสอดใส่หีบให้นางด้วยตัวเอง” สืออีเหนียงพูดพึมพำว่า “ส่วนทางด้านของน้องหญิงสิบสอง ก็ต้องไปสักครั้งหนึ่ง”