ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 473 พักฟื้น(ปลาย)
ผ่านไปหลายวัน คุณนายสี่สกุลหลัวก็มาหา “ท่านเขยเจ็ดช่วยหาที่ดินเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงกับมณฑลจี้หนาน ประมาณหนึ่งร้อยกว่าหมู่ แต่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะบุตรชายตระกูลนั้นถูกศาลฟ้องร้อง ที่ดินเช่นนี้ก็คงไม่ถูกขายง่ายๆ”
เร็วขนาดนี้เชียวหรือ!
สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ต้องนำเรื่องนี้ไปบอกอี๋เหนียงหก”
คุณนายสี่สกุลหลัวขยิบตาให้สืออีเหนียง “ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับคุณหนูสิบเอ็ด”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มขึ้น
สาวใช้น้อยยกถ้วยยาเข้ามา
คุณนายสี่สกุลหลัวแอบนับวันอยู่ในใจ พูดด้วยความตกใจว่า “คุณหนูสิบเอ็ดไม่สบายหรือ”
หากพวกเขารู้ก็มีแต่จะกังวลใจโดยไร้ประโยชน์
สืออีเหนียงยกถ้วยยาขึ้นมาดื่มจนหมด ยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นบอกว่าเป็นความอ่อนแอหลังคลอดบุตร ต้องดูแลรักษาให้ดี”
นับว่าเป็นความใส่ใจของคนในจวนโหวกระมัง!
คุณนายสี่สกุลหลัวนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเติบโตมาในชนบท จึงไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรอีก ยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พอมีที่ดินผืนนี้แล้ว แม้ว่าจะยังหาซื้อเรือนไม่ได้โดยชั่วคราว แต่ก็พออธิบายได้”
สืออีเหนียงได้ฟังก็ยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าสกุลหวังได้กำหนดวันแล้ว”
“กำหนดเป็นวันที่สิบเดือนสิบสอง” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าตั้งใจมาปรึกษากับคุณหนูสิบเอ็ด ดูว่าฤกษ์นี้เหมาะสมหรือไม่”
เหตุใดถึงมาถามตนว่าเหมาะสมหรือไม่เล่า
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงก็เข้าใจทันทีว่าคุณนายสี่สกุลหลัวอยากจะให้ตัวเองไปช่วยเป็นหน้าเป็นตาในงานแต่งของสือเอ้อร์เหนียง
นางนึกถึงสือเหนียงขึ้นมา
ถึงไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นมารดาของเม่ากั๋วกง
“ทางด้านคุณหนูสิบมีข่าวคราวอะไรหรือไม่”
หากนางสามารถส่งหวังเฉิงจู่มาร่วมพิธีงานแต่งได้ก็นับว่าเป็นเกียรติยศของสกุลหลัวเช่นกัน
คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบไม่คบค้าสมาคมกับใคร แม้แต่กับคนสกุลเดิมก็ไม่สนิท เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่านางจะมีแผนอย่างไรจึงได้มาปรึกษากับเจ้าก่อน”
นายหญิงใหญ่จากไปสองปีกว่าแล้ว งานแต่งสือเอ้อร์เหนียงครั้งนี้ สำหรับสือเหนียงแล้ว นี่เป็นโอกาสที่จะได้แก้ไขความสัมพันธ์กับคนสกุลเดิม…เมื่อคิดถึงตรงนี้สืออีเหนียงก็ยิ้มอย่างหมดปัญญา ด้วยนิสัยของสือเหนียง คาดว่าถึงรู้ก็คงไม่ทำ!
นางถอนหายใจเบาๆ ในใจ ทิ้งเรื่องเหล่านี้ที่เมื่อนางคิดถึงก็ทำให้รู้สึกเครียดไว้ข้างหลัง ยิ้มแล้วพูดว่า “ฤกษ์ได้ถูกกำหนดไว้แล้วหรือ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ยินท่านโหวบอกว่าเสียนเจี่ยเอ๋อร์จวนจงฉินปั๋วกำหนดงานแต่งไว้เป็นวันที่สี่เดือนสิบสอง หากเป็นเช่นนี้ แสดงว่าสกุลหวังจะต้องจัดงานมงคลติดต่อกันภายในไม่กี่วันอย่างนั้นหรือ”
สือเอ้อร์เหนียงแต่งกับหวังเจ๋อ ซึ่งเป็นเชื้อสายของเจิ้นหนานโหวสกุลหวัง ส่วนคนที่แต่งกับเสียนเจี่ยเอ๋อร์คือคุณชายใหญ่เป็นเจิ้นหนานโหวซื่อจื่อ นับดูแล้วต่อไปสือเอ้อร์เหนียงกับเสียนเจี่ยเอ๋อร์ก็ถือว่าเป็นสะใภ้สกุลเดียวกัน!
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าฟังจากน้ำเสียงของเจิ้นหนานโหวแล้ว เหมือนจะคิดว่าเป็นเรื่องมงคลสองชั้น แต่ข้ากลับกลัวว่าหากยืดเยื้อเวลาออกไปจนถึงตรุษจีนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่สู้อาศัยโอกาสนี้รีบแต่งเข้าไปจะรู้สึกสบายใจกว่า”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า “คนหนึ่งเป็นบุตรของภรรยาเอก อีกคนหนึ่งก็เป็นเชื้อสายของวงศ์สกุล ซ้ำยังแต่งเข้าจวนไล่เลี่ยกัน ข้าเกรงว่าภายภาคหน้าสะใภ้ทั้งสองอาจจะถูกคนเอาไปเปรียบเทียบได้”
คุณนายสี่สกุลหลัวได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้ายังกลัวว่าอี๋เหนียงหกจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ให้เจ้า แล้วก็มาบ่นโน่นบ่นนี่ภายหลัง”
ทุกอย่างย่อมมีข้อดีและข้อเสีย
สืออีเหนียงกลับหัวเราะที่ตัวเองกังวลโดยไร้ประโยชน์
นางกำลังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ โจวฮูหยินและคนอื่นๆ ไม่สะดวกมาเยี่ยม อีกทั้งสุขภาพนางก็ไม่ดี ไท่ฮูหยินกลัวว่าหากมาหานางบ่อยจะทำให้นางเหนื่อย จึงมาให้น้อยลง คนที่ไปมารอบตัวนางก็มีเพียงสาวใช้กับผู้ดูแลหญิงไม่กี่คน หลังจากที่หมอหลวงหลิวมาฝังเข็มให้นาง ร่างกายของนางก็ดีขึ้นมาก คุณนายสี่สกุลหลัวจึงได้พูดคุยกับนางไปเรื่อยเปื่อยอยู่นาน
ทั้งสองคุยกันจนถึงช่วงกลางวัน สืออีเหนียงเลยเชิญให้คุณนายสี่สกุลหลัวอยู่ทานอาหารกลางวัน หลังจากทานอาหารแล้วคุณนายสี่สกุลหลัวก็ลุกขึ้นกล่าวลา
ชิวอวี่เข้ามากระซิบกับนางว่า “ฟังถิงสาวใช้ข้างกายคุณชายน้อยใหญ่มาหาหลายครั้งแล้ว เห็นว่าท่านกับคุณนายสี่สกุลหลัวกำลังคุยกันอยู่จึงได้กลับไปเจ้าค่ะ”
ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใด
คุณชายสามและฮูหยินสามไม่อยู่เรือน จึงต้องดูแลสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนให้มากขึ้น
สืออีเหนียงครุ่นคิด “หากนางมาอีกเจ้าก็ถามนางว่ามีเรื่องอันใด”
ชิวอวี่ขานรับคำ พึ่งจะถอยออกไปก็เลี้ยวกลับมา “คุณชายน้อยใหญ่ต้องการพบท่านเจ้าค่ะ!”
คุณนายสี่สกุลหลัวพึ่งจะไปเขาก็มาแล้ว…รีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ!
สืออีเหนียงเหยียดกายนั่งหลังตรง ท่าทางเคร่งขรึม “ให้เขาเข้ามา!”
สวีซื่อฉินอยู่ด้านหลังฉากกั้น ถามไถ่ถึงสุขภาพของสืออีเหนียง ถามว่าจิ่นเกอเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ฟังว่าหลายวันมานี้สวีซื่อเจี่ยน สวีซื่อจุน กับสวีซื่อเจี้ยทำโคมไฟด้วยกัน เล่าโน่นเล่านี่ไปเรื่อย แต่ก็ไม่ยอมบอกจุดประสงค์ที่มาสักที
สืออีเหนียงจึงให้บ่าวรับใช้ในห้องถอยออกไป
สวีซื่อฉินจึงได้พูดขึ้นอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ข้าได้ยินท่านตาบอกว่างานแต่งของน้องหญิงใหญ่กำหนดเป็นวันที่สี่เดือนสิบสอง เช่นนั้นต่อไปน้องหญิงย่วนก็ต้องแต่งแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องนี้!
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็ตะหนักได้ว่า ผลที่ตามมาของเหตุการณ์ครั้งนี้ของย่วนเจี่ยเอ๋อร์คงทำให้สวีซื่อฉินรู้สึกผิดมากกว่าที่พวกเขาคิด…
“หลายวันมานี่ข้าสุขภาพไม่ค่อยดี” นางพูดด้วยความกังวลว่า “งานแต่งของเสียนเจี่ยเอ๋อร์คงจะไปไม่ได้แล้ว…”
“ท่านอาหญิงสี่ขอรับ” สวีซื่อฉินรีบตัดบทสนทนาของสืออีเหนียง “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นใด” เขาดูกังวลเล็กน้อย “ข้า ข้าแค่อยากถาม…ตอนนั้นไม่ได้คิดให้เยอะ…” ขณะที่พูดน้ำเสียงก็ค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อย “คิดว่าหากท่านแม่เห็นแก่หน้าข้าก็จะยอมถอยให้…ตอนนี้นางจะแต่งออกไปแล้ว ตอนที่ท่านเพิ่มสินสอดทองหมั้นใส่หีบให้นาง ข้าอยากจะขอให้ท่านอาหญิงสี่ช่วยนำสิ่งนี้มอบให้นางด้วย” พูดจบก็หันหลังแล้ววิ่งออกไป สืออีเหนียงเรียกเอาไว้ไม่ทัน จึงให้ชิวอวี่นำของเข้ามา
เป็นถุงเงินสีเขียวปักลายดอกเหมยแดง ข้างในมีตั๋วเงินเจ็ดแปดใบ ใบละสิบตำลึงบ้าง ยี่สิบตำลึงบ้าง ทั้งหมดประมาณสองร้อยกว่าตำลึง
สืออีเหนียงอดส่ายหน้าไม่ได้
ถ้าหากตอนนั้นฮูหยินสามยอมถอยให้หนึ่งก้าว ก็ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นงานแต่งที่ดี
นางเรียกหู่พั่วเข้ามา
“นำตั๋วเงินนี้ไปคืนให้คุณชายน้อยใหญ่ บอกว่าบางครั้งการไม่รู้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง”
ย่วนเจี่ยเอ๋อร์จะแต่งงานแล้ว จะมากวนใจนางอีกทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรเลย!
หู่พั่วนำตั๋วเงินไปคืนให้สวีซื่อฉินด้วยความสงสัย
สวีซื่อฉินยืนก้มหน้าถือตั๋วเงินอยู่กลางห้อง ไม่พูดไม่จาอยู่นาน
ฟังถิงและคนอื่นๆ ไม่กล้ารบกวน เป็นสวีซื่อเจี่ยนที่เข้ามาตบไหล่เขาเบาๆ “พี่ใหญ่เป็นอะไรไป” หางตาเหลือบไปเห็นตั๋วเงินในมือสวีซื่อฉิน จึงใช้แรงแย่งมา “จริงๆ เลย! คราวที่แล้วลูกพี่ลูกน้องชายคนโตให้เจ้าซื้อสุรา เจ้าก็บอกว่าไม่มีเงิน แต่ที่แท้กลับมีเงินมากมายขนาดนี้”
สวีซื่อฉินมองหน้าตาอันเบิกบานของสวีซื่อเจี่ยน จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “โคมไฟของพวกเจ้าทำไปถึงไหนแล้ว” สวีซื่อเจี่ยนเห็นท่าทางของพี่ชายก็หุบยิ้มทันที แล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย” พูดด้วยสีหน้ามึนงง “หรือว่าท่านพ่อไม่เห็นด้วยที่พวกเราจะไปเรียนที่สำนักศึกษาจิ่นสี ดังนั้นท่านถึงอารมณ์เสียเช่นนี้”
“ไม่มีอะไร” สวีซื่อฉินส่ายหัวเบาๆ หันหลังแล้วเข้าไปที่ห้องด้านใน แม้แต่ตั๋วเงินในมือของสวีซื่อเจี่ยนก็ไม่ได้เอาคืน
คุณชายสามส่งจดหมายมาเมื่อต้นเดือนเก้า บอกกับสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนว่าเมื่อเริ่มฤดูใบไม้ผลิเขาจะกลับเมืองหลวง เรื่องเรียนหนังสือ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากัน สวีซื่อเจี่ยนกังวลกับเรื่องนี้อยู่นาน เป็นสวีซื่อฉินที่ชี้นำเขา เลยทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ครั้งนี้เห็นว่าพี่ชายไม่มีความสุข เดิมทีเขาอยากจะหยอกล้อพี่ชาย คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับการต่อยเข้าไปที่ปุยฝ้ายนุ่มๆ สวีซื่อฉินไม่ได้มีการตอบสนองอะไรเลย
สวีซื่อเจี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดม่านแล้วเข้าไปที่ห้องด้านใน เห็นเพียงสวีซื่อฉินนอนหงายอยู่บนเตียงนั่งใหญ่ริมหน้าต่าง มองไปบนเพดานอย่างเหม่อลอย
“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินเรื่องมาเรื่องหนึ่ง” สวีซื่อเจี่ยนครุ่นคิด พลางหย่อนกายนั่งลงข้างๆ สวีซื่อฉิน “หลี่จี้ คนที่เมื่อก่อนมักจะอยู่กับคุณชายหกสกุลถังจวนจงซานโหว ท่านยังจำได้หรือไม่”
“จำไม่ได้แล้ว!” น้ำเสียงของสวีซื่อฉินฟังดูพูดเหมือนขอไปที
สวีซื่อเจี่ยนกลับไม่ยอมแพ้ “เขาไปสู่ขอคุณหนูสิบจวนองค์หญิงอานเฉิงแล้ว”
“อ้อ!” สวีซื่อฉินได้ฟังเช่นนั้นในใจก็ยิ่งว้าวุ่นมากขึ้น ท่านอาหญิงสี่ขอให้คุณนายใหญ่สกุลหลินกับโจวฮูหยินช่วยหาคู่หมั้นหมายให้เขา แต่พอเรื่องไปถึงท่านแม่ หากไม่รังเกียจว่าเป็นสกุลต่ำศักดิ์ ก็รังเกียจว่าเป็นตระกูลยากจน จนทำให้ตอนนี้ท่านอาหญิงสี่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ได้แล้ว
“ข้าได้ยินพี่ชายลูกพี่ลูกน้องคนโตบอกว่าหลี่จี้ผู้นั้นอยู่ที่ฝูเจี้ยนได้ทำผลงานยอดเยี่ยมจนถึงขั้นได้เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรที่เฉวียนโจว ได้เป็นขุนนางระดับสี่ แล้วยังถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าอีกด้วย” น้ำเสียงฟังดูอิจฉาเป็นอย่างมาก “แต่ว่าก็มีคนบอกว่าเขาไม่ได้ปราบโจรสลัดญี่ปุ่นห้าพันคน มากกว่าครึ่งของห้าพันคนนั้นเป็นองครักษ์ดูแลจวนจิ้งไห่โหว”
“เจ้าไปฟังใครพูดมา!” สวีซื่อฉินลุกขึ้นนั่งทันที
จิ้งไห่โหวปกป้องคุ้มกันฝูเจี้ยนมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนหน้านี้ เหล่าองครักษ์เรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพของจวนจิ้งไห่โหว เป็นเพราะว่าฝูเจี้ยนอยู่ไกล ตราบใดที่จิ้งไห่โหวไม่ก่อเรื่องอะไรขึ้นมา ฮ่องเต้ผู้ดำรงตำแหน่งปัจจุบันก็จะทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
“ข้าได้ยินคุณชายหกสกุลถังพูดมา!” สวีซื่อเจี่ยนพูดต่อไปว่า “มิเช่นนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไร!”
“เขาผู้นี้เป็นคนมีจิตใจคับแคบและขี้อิจฉาริษยา” น้ำเสียงของสวีซื่อฉินแฝงไว้ด้วยความเหยียดหยาม “คำที่พูดออกมาก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้ทั้งหมด”
“แต่เขาพูดราวกับเห็นมากับตาตัวเอง” สวีซื่อเจี่ยนพูดต่อไปว่า “บอกได้หมดว่ามีโจรสลัดญี่ปุ่นกี่คน คนสกุลโอวกี่คน ราษฎรกี่คน…อย่างชัดเจน!”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว” สวีซื่อฉินโตกว่าสวีซื่อเจี่ยน แค่ฟังก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เรื่องสำคัญเช่นนี้เหตุใดถึงได้เผยแพร่ออกมา “บางทีอาจมีคนอื่นที่อิจฉาเขา ดังนั้นจึงได้จงใจใส่ร้ายเขา แล้วพวกเราก็เอามาพูดต่อกันไปเรื่อยๆ แล้วจะต่างอะไรกันกับคนไม่ดีเหล่านั้น” แล้วพูดต่ออีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นท่านอาสี่ก็บอกแล้วว่าสกุลเราไม่เหมือนกับสกุลอื่น เวลาจะทำอะไรเราต้องถ่อมตนและหนักแน่นให้มากขึ้นจึงจะถูก จะได้ไม่ถูกคนไม่ดีหลอกใช้จนต้องเดือดร้อนไปถึงผู้ใหญ่”
สวีซื่อเจี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย พูดอย่างลังเลว่า “เช่นนั้น งานแต่งของหลี่จี้ พวกเราจะไปหรือไม่”
สวีซื่อฉินถามด้วยความสงสัยว่า “มีคนส่งเทียบเชิญให้เจ้าหรือ”
สวีซื่อเจี่ยนพยักหน้า “เมื่อหลายวันก่อนข้าได้พบกับหวังหยวนจวนติ้งกั๋วกงที่เรือนของพี่ชายลูกพี่ลูกน้องคนโต เขาถามข้าว่าจะไปร่วมงานแต่ของหลี่จี้หรือไม่ ข้าบอกว่าข้าไม่ได้รับเทียบเชิญ เมื่อวานเขาจึงส่งมาให้ข้าสามใบ อีกใบหนึ่งให้พี่สอง”
สวีซื่อฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “อย่าไปเลยดีกว่า! พวกเราก็ไม่ได้มีมิตรภาพกับเขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกอย่างพวกเขาก็ชอบไปดื่มสุราที่ตรอกชุ่ยฮวาเป็นที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะไปก็ไม่ได้ ไม่ไปก็ไม่ได้”
“เช่นนั้นจะให้บอกกับหวังหยวนว่าอย่างไร” สวีซื่อเจี่ยนมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “เขาเองก็หวังดี…”
สวีซื่อฉินพูดพึมพำว่า “เช่นนั้นพวกเราไปลั่วเย่ว์ดีหรือไม่” พอพูดออกไปก็รู้สึกถึงความเป็นไปได้มากขึ้น “ก็บอกว่าท่านอาสี่ให้พวกเราไปเรียนหนังสือที่ลั่วเย่ว์ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็จะไม่กล้าบังคับเราใช่หรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็อยู่แต่ในเรือนไม่ออกไปไหน หรือว่าพวกเขาจะถึงขั้นวิ่งมาที่จวนของเราเพื่อถามหาความจริงให้ได้เล่า”
คนเหล่านั้นแลดูมีอำนาจหยิ่งผยอง แต่พอถูกผู้อาวุโสดุเข้าหน่อยก็ตกใจกลัวจนตัวสั่น
สวีซื่อเจี่ยนได้ฟังดังนั้นก็ตาเป็นประกาย “ความคิดของพี่ใหญ่ดีไม่น้อย เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถิด”