ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 472 พักฟื้น(กลาง)
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างมาก นั่งอยู่ที่เรือนสืออีเหนียงครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปหาฮูหยินห้า
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “คุณนายสี่สกุลหลัวมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ชิวอวี่เปิดผ้าม่านเชิญนางเข้ามา
“โชคดีที่ขอให้คุณหนูสิบเอ็ดออกหน้าให้” นางเข้ามาพลางยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อวานพออี๋เหนียงกลับไปก็มาหาข้าด้วยตัวเอง บอกว่านางไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เข้าใจหลักการ เรื่องที่ผ่านมาล้วนเป็นความผิดของนาง ขอให้ข้าอย่าได้ถือสาเอาความนาง”
สืออีเหนียงยิ้มพลางให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้คุณนายสี่สกุลหลัวนั่ง “อี๋เหนียงเองก็ทำเพื่อน้องหญิงสิบสอง พี่สะใภ้สี่ก็ทำเพื่อน้องหญิงสิบสอง ตอนนี้เข้าใจกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี!”
คุณนายสี่สกุลหลัวนั่งลง สาวใช้น้อยยกชากับขนมมาวาง
สืออีเหนียงบอกกับนางเรื่องที่ตัวเองเขียนจดหมายให้จูอานผิงกับซื่อเหนียง และเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ยินดีช่วยเหลือ “…สุดท้ายแล้วก็ยังต้องให้พี่สะใภ้สี่กับพี่สี่ช่วยตัดสินใจ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาใหญ่ก็จะได้รับการแก้ไข
คุณนายสี่สกุลหลัวถอนหายใจแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบเอ็ดช่วยได้เยอะเลย พรุ่งนี้ข้าจะให้พี่สี่ของเจ้ามาพบท่านโหว!” แล้วพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าเองก็ตัดสินใจไม่ได้จริงๆ จึงได้แบกหน้ามาขอให้ช่วย”
“คนกันเองทั้งนั้น พี่สะใภ้พูดเช่นนี้ก็เหมือนเห็นข้าเป็นคนนอก”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันจิ่นเกอก็ตื่นขึ้นมา
สืออีเหนียงรีบเรียกแม่นมกู้ให้มาช่วยอุ้มเขาไปปัสสาวะ
คุณนายสี่สกุลหลัวพูดถึงซินเกอบุตรชายของอู่เหนียง “…ซุกซนเป็นอย่างมาก ป้ารับใช้สองคนก็ดูไม่ไหว โชคดีที่มีจั๋วเถา มิเช่นนั้นก็ไม่มีใครกล่อมได้”
“จั๋วเถา!” สืออีเหนียงยิ้ม ภาพเด็กสาวสวมเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวสีเขียวอ่อนพลันปรากฏขึ้นมาในหัว “ปีนี้อายุสิบสองสิบสามปีแล้วกระมัง”
“สิบสองปีแล้ว” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มพลางพยักหน้า “รูปร่างหน้าตางดงามเลยทีเดียว”
“นางหน้าตาสะสวยมาตั้งแต่เด็ก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ซุ่ยยเอ๋อร์ก็แต่งออกไปเมื่อปีที่แล้ว คนที่ตามพี่หญิงห้ามาจากอวี๋หังจึงเหลือเพียงจั๋วเถาแค่คนเดียว!”
“ข้าก็ว่าอยู่ เจ้าเด็กคนนี้กระทำการใดก็ดูฉลาดมีไหวพริบ” คุณนายสี่สกุลหลัวพูดต่อไปว่า “ซินเกองอแงอยากทานบะหมี่ นางกลัวว่าจะลวกซินเกอจึงนำพัดมาพัดให้เย็นก่อนแล้วค่อยป้อน” แล้วพูดต่ออีกว่า “ซินเกอไม่เหมือนกับท่านเขยห้าแต่ดันเหมือนซิวเกอ ราวกับพิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน”
“ลูกพี่ลูกน้องสายเลือดเดียวกันจะไม่เหมือนกันได้อย่างไร” สืออีเหนียงยิ้มพลางถามถึงเฉียนหมิง “พี่เขยห้าอยู่เรือนหรือไม่”
“ไม่ได้อยู่เรือน!” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “เห็นบอกว่าไปเรียนหนังสือที่ตำหนักฉานแห่งวัดเถี่ยซานที่นอกเมือง ตอนท่านเขยห้าอยู่ที่เรือนก็มีคนไปมาหาสู่อยู่เรื่อยๆ ต่างก็เป็นสหายสนิทกัน ไม่พบก็ไม่ได้ หากไปพบก็หนีไม่พ้นเรื่องกินดื่มทำให้เสียเวลาสอบเข้าราชสำนัก ทำได้เพียงหลบไปอยู่ที่ตำหนักฉานจะได้มีสมาธิในการศึกษา”
ก็หวังว่าเขาจะตั้งใจเล่าเรียนศึกษา
สืออีเหนียงพยักหน้าคล้อยตาม
คุณนายสี่สกุลหลัวกลับยิ้มเจื่อนๆ ขึ้นมา“ข้าเองก็ไปพบคุณหนูสิบมาแล้ว” ขณะที่พูดก็มีน้ำตาคลอ “นางผอมจนเหลือแต่กระดูก โชคดีที่ยังพอมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง มีอิ๋นผิงกับจินเหลียนที่มีความสามารถคอยช่วยเหลือนาง เรื่องในเรือนก็นับว่าเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูเป็นระเบียบกว่าตอนที่หวังไท่ฮูหยินเป็นผู้ดูแลเรือนเสียอีก”
ผู้ดูแลหญิงสกุลสวีกับผู้ดูแลหญิงสกุลหวังไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ มีบางเรื่องก็มาถึงหูของสืออีเหนียง ตั้งแต่ที่หวังเฉิงจู่สืบทอดตำแหน่งภายใต้ชื่อของสือเหนียง เจียงฮูหยินหรือหวังหลินก็เพียงแค่กลับสกุลเดิมมาเยี่ยมมารดา จุดธูปบูชาบิดา ไม่ได้สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของสกุลเดิมอีกต่อไป สือเหนียงเป็นผู้ดูแลจวนในนามมารดาของเม่ากั๋วกง แม้ว่านางจะไม่รู้วิธีดูแลกิจการทั่วไปแต่ก็รู้จักประหยัดเงิน นางขายเรือนเปล่าหลายแห่งของจวนเม่ากั๋วกงในเยี่ยนจิง ปลดบ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่ ใช้ชีวิตในเรือนอย่างเรียบง่าย ไม่ได้รื้อกำแพงตะวันออกมาซ่อมแซมกำแพงตะวันตกเหมือนเมื่อก่อน ใช้ชีวิตอย่างมั่นคงมากกว่าเดิม
“จะว่าไปแล้วบรรดาพี่สาวน้องสาวของพวกเจ้านั้นต่างก็มีความสามารถกันทั้งนั้น” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดว่า “หวังว่าหากอิงเหนียงของพวกเราโตขึ้นมาเหมือนกับอาหญิงของนางก็คงจะดี”
เมื่อพูดถึงอิงเหนียงสืออีเหนียงก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากวันไหนว่างก็พานางมาเล่นที่นี่เถิดเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อมาถึงเยี่ยนจิงแล้วก็ย่อมต้องมารบกวนพวกเจ้าอย่างแน่นอน” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้ม พูดกับสืออีเหนียงเรื่องบุตรก่อนจะลุกขึ้นกล่าวลา “หากวันไหนเรื่องราวลงตัวแล้ว ข้าจะเขียนจดหมายมาบอกคุณหนูสิบเอ็ด”
สืออีเหนียงรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อยจึงไม่ได้รั้งนางเอาไว้ ให้ชิวอวี่ไปส่งคุณนายสี่สกุลหลัว
หมอหลวงหลิวมาพบพอดี
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้อยู่ด้วย แม้ว่านางจะเต็มใจให้หมอหลวงหลิวฝังเข็มให้นาง แต่เกรงว่าจะเป็นหมอหลวงหลิวเองที่ไม่กล้าลงมือฝังเข็มให้นาง
นางกำชับให้ชิวอวี่ไปเชิญสวีลิ่งอี๋มา
สวีลิ่งอี๋อยู่เรือนนอก เดินเข้ามาพร้อมกับถือเทียบเชิญสีทองในมือ
“ปีนี้เป็นปีอะไรกัน” เขายิ้มแล้วพูดต่อไป “เมื่อวานผู้บัญชาการหลี่แต่งสะใภ้ วันนี้จวนจงฉินปั๋วก็แต่งบุตรสาว”
“เสียนเจี่ยเอ๋อร์หรือ” เพื่องานแต่งของนาง จงฉินปั๋วจึงได้รีบให้เฉาเอ๋อร์แต่งออกไป
สวีลิ่งอี๋ไม่รู้ว่าบุตรสาวของจงฉินปั๋วนามว่าอะไร พูดขึ้นมาว่า “คงใช่กระมัง! เห็นบอกว่าเป็นบุตรสาวคนโต” จากนั้นก็นั่งลงที่ข้างเตียง ถามนางเสียงเบาว่า “เจ้าอยากไปหรือไม่ กำหนดการเป็นวันที่สี่เดือนสิบสอง”
สืออีเหนียงถอดเสื้อแขนยาวออก “สภาพข้าเป็นเช่นนี้จะไปที่ไหนได้เล่า”
แววตาสวีลิ่งอี๋หม่นหมองเล็กน้อย หันไปบอกให้หู่พั่วยกเตาเข้ามา “ระวังจะหนาว”
“อย่าจุดเตาเลยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดเสียงเบาว่า “จิ่นเกอยังเล็กอยู่ หากจุดเตาเพิ่ม ระวังลูกจะตัวร้อน”
“เช่นนั้นก็ให้แม่นมอุ้มจิ่นเกอไปพักผ่อนที่ห้องหน่วนเก๋อในเรือนหลักดีหรือไม่” สวีลิ่งอี๋ช่วยสืออีเหนียงถอดเสื้อคลุมซับใน “เจ้าหยุดกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้แล้ว”
สืออีเหนียงหมอบลงบนเตียง “ข้าอยู่ไฟจนรู้สึกเบื่อ มีเขาคอยอยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าจะได้ไม่รู้สึกเบื่อ”
สวีลิ่งอี๋ให้หู่พั่วไปเชิญหมอหลวงหลิวเข้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจากหลับแล้วเขาก็รู้จักแต่ร้องไห้ จะคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้อย่างไร”
ขณะที่พูดก็ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบกับพื้น
สืออีเหนียงรู้ว่าหมอหลวงหลิวมาแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
เมื่อฝังเข็มเสร็จแล้วสวีลิ่งอี๋ก็ไปส่งหมอหลวงหลิว หู่พั่วเห็นว่าสืออีเหนียงหลับแล้วจึงค่อยๆ ช่วยห่มผ้าให้นาง
ตกกลางคืน สวีลิ่งอี๋ก็พักผ่อนที่เรือนของสืออีเหนียงเช่นเคย ส่วนจิ่นเกอก็นอนหลับอยู่ข้างหมอนบิดา
“เจ้าว่าเขาถูกห่อไว้เช่นนี้จะรู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่” สวีลิ่งอี๋เอนหลังพิงหมอนอิงที่หัวเตียงพลางพูดคุยกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงก็คิดว่าจิ่นเกออาจจะรู้สึกไม่สบาย แต่ว่าป้าเถียนกับป้าวั่นต่างก็มีประสบการณ์ บอกว่าสวีลิ่งควนก็ถูกห่อไว้เช่นนี้จนโตมาได้…เมื่อเห็นว่าสวีลิ่งควนรูปร่างสูงใหญ่นางจึงไม่มีอะไรจะไปคัดค้าน
“ป้าเถียนบอกว่าพอครบเดือนก็ไม่ต้องห่อไว้เช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ” นางพูดต่ออีกว่า “ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้เด็กขาไขว้กัน”
“เขากลับรู้ประสา” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ถูกห่อไว้เช่นนี้ก็ไม่งอแง”
ทั้งสองคนพูดคุยกันจนสืออีเหนียงรู้สึกสะลึมสะลือแล้วหลับไป
พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างแล้ว
สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เหตุใดตนถึงหลับลึกขนาดนี้ ตอนกลางคืนจิ่นเกอต้องตื่นขึ้นมาสองครั้ง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนดูแลเขา จิ่นเกอร้องไห้งอแงหรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็หันไปมองหาลูกน้อย
บนเตียงว่างเปล่า แม้แต่สวีลิ่งอี๋ก็ไม่อยู่
นางลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นตระหนกทันที
ฉากกั้นสีดำบดบังสายตา มองไม่เห็นภาพของอีกฝั่ง สืออีเหนียงตะโกนเสียงดัง “แม่นมกู้”
แม่นมกู้กับหู่พั่วเดินอ้อมมาจากด้านหลังฉากกั้น
“ฮูหยินตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ท่านโหวบอกว่าท่านหลับสนิทจึงไม่ให้พวกเราปลุกท่านเจ้าค่ะ”
แม่นมกู้ยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยหกพึ่งจะทานนมไป ท่านโหวกำลังเล่นหยอกคุณชายน้อยหกอยู่เจ้าค่ะ!”
ทันทีที่พูดจบสวีลิ่งอี๋ก็อุ้มลูกน้อยเดินเข้ามา “ไม่รู้ว่าไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ข้าก็พูดของข้าไป เขาก็หลับของเขาไป”
พูดพลางนั่งลงที่ข้างเตียง ค่อยๆ ก้มลงวางลูกน้อยไว้ที่ข้างหมอนของสืออีเหนียง “เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่”
สืออีเหนียงมองดวงตาที่อ่อนโยนของเขา แล้วพยักหน้าช้าๆ “เมื่อคืนท่านโหวเป็นคนดูแลจิ่นเกอใช่หรือไม่เจ้าคะ”
แววตาของสืออีเหนียงไม่ได้ดูสุกใสเหมือนยามปกติ แต่ค่อนข้างดูลึกซึ้งแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึม
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย “มีอะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ!” มุมปากของสืออีเหนียงยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าพลันสดใสขึ้นมา “ก็แค่หลับสบายยิ่งนัก!”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าวันนี้ท่าทางของภรรยาแปลกไปเล็กน้อย แต่พอสังเกตอย่างละเอียดก็ไม่ได้แตกต่างไปจากปกติ บอกไม่ถูกว่าตรงไหนที่แปลกไป
“เช่นนั้นก็ดี!” เขายิ้มแล้วลุกขึ้น “ข้าจะรอให้หมอหลวงหลิวมาตรวจเจ้าก่อนแล้วค่อยไปเรือนนอก”
ใกล้ถึงตรุษจีนแล้ว เถ้าแก่ในร้านขายของของสกุลสวี และหัวหน้าผู้ดูแลไร่นาจะมาตรวจบัญชีที่เยี่ยนจิง หรือนำของขวัญวันตรุษจีนมามอบให้ สองวันนี้สวีลิ่งอี๋ยุ่งอยู่กับการพบปะคนเหล่านี้
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า มีหู่พั่วค่อยๆ ประคองไปล้างหน้าที่ห้องชำระ
******
หยางอี๋เหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “หลายวันมานี้ท่านโหวพักผ่อนอยู่ที่ห้องเอ่อร์ฝังหรือ”
“ได้ยินมาว่าฮูหยินสุขภาพไม่ดีเจ้าค่ะ!” ป้าหยางพูดเสียงเบาว่า “หมอหลวงหลิวมาตรวจอาการฮูหยินที่จวนห้าวันติดแล้ว ยาที่ห้องเอ่อร์ฝังไม่เคยขาดเลยเจ้าค่ะ” แล้วพูดต่อไปว่า “ท่านโหวกลัวว่าแม่นมกับบรรดาสาวใช้จะดูแลคุณชายน้อยหกได้ไม่ดี หลายวันมานี้จึงดูแลคุณชายน้อยหกด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
อย่างไรเสียก็เป็นบุตรชาย จึงมีความแตกต่างกันมาก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของหยางอี๋เหนียงก็รู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดเบาๆ นางกัดริมฝีปากแล้วพูดเสียงเบาว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลายวันมานี้ท่านโหวกำลังทำอะไร”
“ตอนกลางวันอยู่ที่เรือนนอกเจ้าค่ะ” ป้าหยางพูดต่อว่า “ตอนเช้าพอส่งหมอหลวงหลิวไปแล้วก็ออกไปนอกจวน กลับมาตอนกลางคืนยามซวี พอคารวะไท่ฮูหยินเสร็จก็กลับเรือนหลักเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงพยักหน้าเล็กน้อยพลางครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
******
พอสวีลิ่งอี๋กลับมาที่เรือน สืออีเหนียงกับลูกก็หลับไปแล้ว
เขาออกมาจากห้องชำระแล้วค่อยๆ ปีนขึ้นเตียง
สืออีเหนียงตกใจตื่นขึ้นมา ท่าทางสะลึมสะลือ “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!”
“อืม!” สวีลิ่งอี๋เห็นว่าจิ่นเกอหลับสนิทจึงกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน
นางส่งเสียงร้องเบาๆ ดิ้นไปมาเล็กน้อยเพื่อหาตำแหน่งที่นอนได้สบายแล้วหลับไปอีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋มองดูจิ่นเกอที่อยู่ข้างหมอนแล้วมองดูสืออีเหนียงที่อยู่ในอ้อมกอด พลันนึกถึงสิ่งที่พูดกับหมอหลวงหลิวตอนออกจากจวนในตอนเช้า
“การฝังเข็มพร้อมกับทานตำหรับยาปู่จงอี้ชี่นั้น บรรเทาอาการป่วยของฮูหยินเป็นอย่างมาก”
เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจ ใครจะไปรู้ว่าหมอหลวงหลิวกลับพูดขัดขึ้นมา “ถึงอย่างนั้นก็เถิด หากฮูหยินต้องการจะหายขาดคงไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่สามถึงห้าปี เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก”
เขานึกถึงวิชามวยไท่เก๊กของหมอหลวงหลิว อยากจะพูดหยอกล้อหมอหลวงหลิวสองสามประโยค แต่กลับเห็นดวงตาจริงจังคู่นั้นของหมอหลวงหลิว
แสดงว่าที่พูดนั้นคือความจริง!
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สวีลิ่งอี๋ก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ เอาใบหน้าแนบกับใบหน้าที่ผอมซูบของนางด้วยความสงสารแล้วกอดนางเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
“มั่วเหยียน เจ้านั้นบอบบางอ่อนแอ แต่เจ้ากลับเข็มแข็งมาโดยตลอด ครั้งนี้จะต้องเปลี่ยนสถานการณ์เลวร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างแน่นอน!”