ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 47 ติดหู (ต้น)
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหวินอี๋เหนียงค่อยๆ หายไป กลายเป็นสีหน้าที่เคร่งขรึม
คุณหนูสิบเอ็ดคนนี้ อายุแค่นี้ สองวันก่อนเห็นนางนิ่งๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะรับมือยากเช่นนี้!
คิดเช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะยอมนาง
หยวนเหนียงไม่มีทางเรียกน้องสาวที่ตัวเองพึ่งจะเจอหน้าแค่ไม่กี่ครั้งมาพูดคุยที่นี่โดยที่ไม่มีเหตุผล ป้าเถาก็ไม่มีทางยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูโดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน อนุญาตให้เข้าไปแต่ไม่อนุญาตให้ออกมา…แล้วก็ท่านโหว เด็กรับใช้ชายบอกว่าเขากลับไปตั้งนานแล้ว แต่หยวนเหนียงกลับสั่งให้ที่เรือนหลักใช้ผงซยงหวงฆ่าแมลง จุนเกอไปเล่นเป็นเพื่อนเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่เรือนของไท่ฮูหยินตั้งนานแล้ว สาวใช้และและเหล่าป้าๆ ในเรือนก็ถูกไล่ออกไปหมด เรือนของฉินอี๋เหนียงไม่มีคน สำหรับเรือนปั้นเย่ว์พั่น คุณหนูสกุลกานสองคนและคุณหนูสกุลหลัวอีกหนึ่งคนกำลังเล่นว่าวอยู่ตรงทางเดิน ท่านโหวอยากจะออกไปก็ออกไปไม่ได้
จวนที่ใหญ่โตเช่นนี้ แต่นางกลับหาท่านโหวไม่เจอ!
นางคิดไปคิดมา เรือนเล็กๆ ข้างโถงเตี่ยนชวนเดิมทีเคยเป็นห้องหนังสือของท่านโหว…ดังนั้นนางจึงมาที่นี่
ตอนนี้สืออีเหนียงกล้าห้ามตัวเองเช่นนี้ หรือว่าท่านโหวกับหยวนเหนียงอยู่ที่นี่?
หากเป็นเช่นนี้ มีอะไรที่พูดไม่ได้ แต่กลับห้ามตัวเองอยู่นั่น
นางยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
ไม่มีใครรับรองได้ว่าตัวเองไม่เคยทำเรื่องที่ทำให้ท่านโหวไม่พอใจ…ท่านโหวเคารพหยวนเหนียงมาโดยตลอด เรื่องในเรือนก็ให้หยวนเหนียงเป็นคนจัดการทั้งหมด หยวนเหนียงดูเหมือนจะเป็นคนใจดี แต่หากนางอารมณ์เสียขึ้นมาก็ไม่มีทางปล่อยใครไปง่ายๆ ไม่สู้ไปถามท่านโหวตอนเย็นดีกว่า…มีเรื่องใหญ่อะไรก็จะได้กลายเป็นเรื่องเล็ก…
หลังจากตัดสินใจแล้ว เหวินอี๋เหนียงก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรทันที “ดูข้าสิ เป็นห่วงมากเกินไป สับสนไปหมด ข้าจะไม่เชื่อคุณหนูได้เช่นไรกัน…”
หมายความว่าคำพูดและพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของนางล้วนแต่เป็นเพราะว่านางเป็นห่วงหยวนเนียง!
ใช่หรือไม่ใช่ แต่สืออีเหนียงก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดของนาง นางต้องรั้งเหวินอี๋เหนียงให้อยู่ข้างนอก!
เห็นว่าเหวินอี๋เหนียงไม่ยืนกรานอีกต่อไป สืออีเหนียงจึงตัดสินใจพูดจาดีๆ กับเหวินอี๋เหนียงคนนี้สักสามสามประโยค
แต่นางยังไม่ทันได้พูดออกมา เสียงของป้าเถาก็ดังออกมาจากประตู “ไท่ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ!”
พวกนางหันหน้าไปมองทางห้องโถง
เห็นฮูหยินห้ากับป้าเถาพยุงไท่ฮูหยินเดินอ้อมภูเขาปลอมเข้ามา
เห็นสืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียงยืนอยู่ใต้ชายคา ไท่ฮูหยินก็ตกใจ
พวกนางรีบเดินเข้าไปคำนับไท่ฮูหยิน
“ลุกขึ้น ลุกขึ้น!” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วมองพวกนาง “ทำไมยืนอยู่ตรงนี้”
เหวินอี๋เหนียงมองไปที่สืออีเหนียง ทำท่าทางราวกับว่าตัวเองไม่รู้เรื่องต้องถามสืออีเหนียง
สายตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความกังวล “เรียนไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ พี่หญิงไม่ค่อยสบาย จึงอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ พวกเราเห็นว่าสีหน้าของพี่หญิงดูแย่ กระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรจึงเชิญไท่ฮูหยินมา”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า นางยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตานหยาง เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปดู”
ฮูหยินห้าย่อเข่าคำนับ “เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปที่ประตูแล้วพูดเบาๆ “พี่หญิง ไท่ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็ค่อยๆ เปิดประตู
ไท่ฮูหยินมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง จากนั้นก็เดินเข้าไปแล้วปิดประตู
จวนหลังนี้ไม่มีคนโง่จริงๆ!
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางหันกลับมาก็เห็นฮูหยินห้ามองนางด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
คนฉลาดแค่ดูก็รู้ว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน แต่ว่าไม่มีหลักฐาน ลับลมคมในก็ยังคงเป็นลับลมคมในตลอดไป!
สืออีเหนียงยิ้ม “ฮูหยินห้า งิ้วเล่นไปถึงไหนแล้วเจ้าคะ จ้าวอู่เหนียงคนนั้นหาไช่ปั๋วเจียเจอหรือยังเจ้าคะ”
“กำลังเล่นฉากที่ห้า ‘พบเจอ’” ฮูหยินห้ายิ้ม “ไช่ปั๋วเจียก็คิดถึงจ้าวอู่เหนียง เขาเล่นพิณอยู่ในห้องหนังสือ หนิวซื่อได้ยินเข้าจึงรู้ความจริงแล้วไปบอกท่านพ่อ…”
สืออีเหนียงอุทาย “ตายแล้ว” จากนั้นก็เดินเข้าไปจับแขนฮูหยินห้า ยิ้มแล้วพูดว่า “หนิวเฉิงเซี่ยงรู้แล้ว เขาจะส่งคนไปจับจ้าวอู่เหนียงหรือไม่เจ้าคะ จากนั้นก็บังคับให้นางหย่ากับท่านชายไช่?”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนแรกหนิวเฉิงเซี่ยงแค่โมโห ต่อมาถูกหนิวซื่อเกลี้ยกล่อม ส่งคนไปรับท่านพ่อของท่านชายหนิวมาอยู่ที่เมืองหลวงด้วยกัน”
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพยุงฮูหยินห้าเดินไปข้างหน้าอย่างสนิทสนม “การร้องของพวกเขาข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก หากมีหนังสือสักเล่ม เขียนเนื้อเพลงเอาไว้ก็คงจะดี!”
ฮูหยินห้าตกใจ “ความคิดของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว ข้าไปบอกคุณชายห้า เขาจะต้องชอบมากแน่ๆ” นางพูดแล้วยิ้มออกมา มีกลิ่นอายของความจริงใจ
สืออีเหนียงนึกถึงใบหน้าที่วาดลวดลายครึ่งหนึ่งของคุณชายห้า…
นางตัดสินใจที่จะพูดเรื่องนี้กับฮูหยินห้าต่อไป
“ข้าได้ยินมาว่าเยี่ยนจิงยังมีคณะงิ้วที่ร้องทำนองคุนซานและทำนองอวี๋หัง จริงหรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่แล้ว!” ฮูหยินห้ายิ้มและพยักหน้า “ในเยี่ยนจิงคณะงิ้วที่ร้องทำนองคุนซานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือคณะฉางเซิงปาน ร้องทำนองอวี๋หังที่มีชื่อเสียงที่สุดคือคณะเจี๋ยเซียงตู้” พูดถึงตรงนี้ นางก็ร้อง “เอ๊ะ” ออกมา แล้วพูดต่อว่า “ว่าไปแล้ว ทำนองอวี๋หังนี่ก็แพร่มาจากบ้านเกิดของพวกเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่รู้ล่ะ” นางทำท่าทางตกใจ
สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “เมื่อก่อนข้าอยู่กับท่านพ่อที่ฝูเจี้ยน จนกระทั่งท่านปู่เสียชีวิตจึงกลับมาไว้ทุกข์ที่อวี๋หัง ตอนที่มีงานฉลองที่จวนถึงได้ยินมาบ้าง กำลังอยากจะถามคนที่รู้เรื่องอยู่พอดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าพยักหน้า “คุณชายห้ารู้จักกับเกิงฉางเซิงหัวหน้าคณะฉางเซิงปาน และไป๋ซีเซียงหัวหน้าคณะเจี๋ยเซียงตู้” นางยิ้ม “เช่นนั้น เราเชิญพวกเขาสามคณะมาร้องสักวัน?” ทันทีที่พูดจบ นางก็พูดกับสืออีเหนียงด้วยความสนใจ “ข้าลองดูว่า เดือนสามมีเทศกาลอะไรหรือไม่…เทศกาลเชงเม้งไม่ได้ ทุกคนต้องไปสักการะบูชาบรรพบุรุษ…แล้วเดือนสี่ก็มีเทศกาลสรงน้ำพระ ก็ไม่ได้เหมือนกัน ท่านแม่จะต้องไปคารวะเย้าอ๋อง…” นางครุ่นคิด “เช่นนั้นก็รอถึงวันที่ยี่สิบสี่เดือนสี่ วันเกิดของท่านแม่!” พูดจบ สายตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา “ถึงตอนนั้น ท่านโหวคงจะไม่ว่าอะไร เราเชิญทั้งสามคณะมา มันต้องคึกคักมากแน่ๆ”
พวกนางพูดคุยกันแล้วเดินเข้าไปในห้องโถง เหวินอี๋เหนียงยืนอยู่บนบันได ยืนมองไปที่ประตูที่ปิดอยู่อย่างลังเล สุดท้ายนางก็บึนปากแล้วรีบเดินตามไป
ในห้องโถง ป้าเถาจัดที่นั่งไว้แล้ว
ฮูหยินห้าและสืออีเหนียงแยกกันนั่งซ้ายขาว สาวใช้ยกชาขึ้นมา ฮูหยินห้ายังคงมีความสุขกับความคิดเมื่อครู่ “เกิงฉางเซิงเชี่ยวชาญในการร้อง ‘จี้จื่อ’ ในบทเพลง ‘ฮ่วยชาจี้’ ไป๋ซีเซียงเชี่ยวชาญในการร้อง ‘โอ่วหยวน’ ในบทเพลง ‘เจินจูจี้’” นางยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “แต่ว่าทำนองของอวี๋หังก็มีบทเพลง ‘ผีผาสิง’ ถึงตอนนั้นเราบอกให้เกิงฉางเซิงร้องด้วย…”
สืออีเหนียงพูดคุยเรื่องพวกนี้เป็นเพื่อนนาง แต่ในใจกลับกระวนกระวาย
หยวนเหนียงดึงตัวเองมาจับมือที่สาม นางพึ่งคิดออกหรือว่าวางแผนไว้อยู่แล้วกันแน่?
แล้วนายหญิงใหญ่รู้เรื่องนี้หรือไม่
หรือเข้าใจได้ว่าหยวนเหนียงและนายหญิงใหญ่เลือกให้อู่เหนียงแต่งเข้ามา เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นสืออีเหนียง แต่ตัวเองกลับไปเจอกับสวีลิ่งอี๋ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นใครใครก็ไม่มีทางชอบ สิ่งที่หยวนเหนียงต้องการก็คือคนที่สวีลิ่งอี๋มองแล้วถูกชะตา แน่นอนว่าจะให้คนที่เขารังเกียจมาอยู่กับเขาไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ไม่เพียงแต่ช่วยจุนเกอไม่ได้ แล้วยังอาจจะทำให้จุนเกอต้องลำบาก…
เหวินอี๋เหนียงที่อยู่ข้างๆ ก็กระวนกระวายเช่นกัน
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงขั้นต้องเชิญไท่ฮูหยินมา…
นางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ นางไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาด
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของไท่ฮูหยิน “ตานหยาง เจ้ามาหาข้าหน่อย!”
ฮูหยินห้า เหวินอี๋เหนียงและป้าเถาก็วิ่งเหยาะๆ ไปที่ลาน แต่สืออีเหนียงกลับเดินตามไปอย่างช้าๆ
เข้าไปในลาน เห็นไท่ฮูหยินยืนยิ้มอยู่กลางลาน กำลังพูดกับฮูหยินห้า “… พี่สะใภ้สี่ของเจ้าไม่สบาย เจ้าไปเรียกคนที่คอยปรนนิบัติรับใช้เข้ามา แล้วก็ส่งคนไปตามหมอหลวงมา” จากนั้นก็มองไปที่เหวินอี๋เหนียง “วันนี้หยวนเหนียงจะพักผ่อนที่นี่ เจ้าไปดูแลพวกเด็กๆ ที่เรือนของข้า” ยิ้มแล้วพูดกับป้าเถา “ส่งคนไปช่วยเหวินอี๋เหนียงสองสามคน แล้วก็ส่งคนมาอยู่ดูแลที่นี่อีกสองสามคน” สุดท้ายก็ถามว่า “ทำไมไม่เห็นคุณหนูสิบเอ็ดสกุลหลัว?”
สืออีเหนียงในใจรู้สึกขมขื่น
ไท่ฮูหยินที่อ่อนโยนและเป็นมิตรจัดการเรื่องราวให้กับลูกชายของตัวเองอย่างเงียบๆ จัดการทุกอย่างได้อย่างสมเหตุสมผล เป็นคนที่มีความแข็งแกร่งในความนุ่มนวล สืออีเหนียงเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ไท่ฮูหยินต้องไม่วางใจนางแน่นอน…แต่ไม่รู้ว่านางจะจัดการเช่นไร
นางไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมามาก นางยิ้มแล้วตอบรับ “ไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ”
“พวกนางมีเรื่องที่ต้องไปทำหมดแล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วมองมาที่นาง “เจ้ามาช่วยพยุงข้าได้หรือไม่”
เรื่องมาถึงขึ้นนี้แล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ คงต้องรับมือกับปัญหาที่เจอตอนนี้ไปก่อน
สืออีเหนียงย่อเข่าตอบรับ นางเดินเข้าไปพยุงไท่ฮูหยินอย่างใจกว้าง
ไท่ฮูหยินมองทุกคน “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถอะ!”
ทุกคนตอบรับและแยกย้ายกันไป เหลือไว้แค่ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วถามนาง “เจ้าอายุเท่าไร”
“เรียนไท่ฮูหยิน” สืออีเหนียงยิ้ม “ปีนี้ข้าอายุสิบสามปีเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ยิ้มและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเย็บปักถักร้อยได้สวยงาม เรียนรู้อะไรมาแล้วบ้าง”
สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “เรียนกับท่านอาจารย์มาแล้วบ้าง เคยอ่านหนังสือ ‘บัญญัติสตรี’ และ ‘ตำนานปีศาจสาว’”
ไท่ฮูหยินยิ้มและพูดว่า “เจ้ายังจะเกรงใจข้า ข้าเห็นดูว่าคุณหนูห้ากำลังจะอ่าน ‘หนังสือลับจุนฮว่า’ แล้ว!”
สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “พี่หญิงห้าของข้ามีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ ไม่เหมือนข้าที่เรียนกับท่านอาจารย์ไปวันๆ”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “เกรงว่าเจ้าจะถ่อมตัวเกินไปแล้ว…”
เรื่องที่พวกนางพูดคุยกันล้วนแต่เป็นเรื่องทั่วไปของครอบครัว ทำให้สืออีเหนียงจับเจตนาของไท่ฮูหยินไม่ได้
ไม่นาน ฮูหยินห้าก็พาป้าตู้ เว่ยจื่อและเหยาหวงมา
พวกนางคำนับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ให้คุณหนูอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนข้าครู่หนึ่ง ทำให้เจ้าไม่ได้ไปดูงิ้ว” จากนั้นก็มองไปที่ฮูหยินห้า “พวกเจ้ากลับไปโถงเตี่ยนชวนกันเถิด กลับไปดูงิ้วต่อ”
สืออีเหนียงตกใจ
ไม่พูดอะไรกับนางสักอย่าง เพราะว่าไม่จำเป็นต้องพูดกับนาง หรือว่าเพราะว่าไม่ต้องพูดอะไร อย่างแรก เพราะว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น อย่างหลังนางไว้วางใจสืออีเหนียง…แต่แค่ประโยคสองสามประโยคนี้ ความไว้วางใจ เป็นไปไม่ได้! แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก
ฮูหยินห้ายิ้มและย่อเข่าคำนับตอบรับ จับแขนสืออีเหนียง “ไม่ต้องเป็นห่วงพี่สะใภ้สี่ มีท่านแม่อยู่ทั้งคน!”
สืออีเหนียงยังจะพูดอะไรได้
นางยิ้มและขอตัวลาไท่ฮูหยิน เดินไปที่โถงเตี่ยนชวนกับฮูหยินห้า
บนเวที ไช่ปั๋วเจียและจ้าวอู่เหนียงกำลังร้องไห้
บางคนดูอย่างหลงไหลไม่สนใจคนอื่น บางคนคล้อยตามจนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา บางคนก็สนใจคนรอบข้าง เห็นพวกนางเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ ก็ทำสีหน้าตกใจ
สืออีเหนียงนั่งลงข้างนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ถามสืออีเหนียงเบาๆ “เจ้ากลับมาทำไม เกิดอะไรขึ้น”
สืออีเหนียงไม่แน่ใจว่านายหญิงใหญ่รู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าเช่นไรนายหญิงใหญ่ก็เป็นแม่แท้ๆ ของหยวนเหนียง มีคำบางคำที่ตัวเองไม่ควรพูดออกมา
นางยิ้มและพูดว่า “พี่หญิงมีเรื่องจะพูดกับไท่ฮูหยิน จึงให้ข้ากลับฮูหยินห้ากลับมาดูงิ้วก่อนเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นนางก็ยิ้มออกมา