ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 468 เรื่องหยุมหยิม(ต้น)
สืออีเหนียงพูดพึมพำ “เช่นนั้นพี่ใหญ่ทำอย่างไร”
“อยู่ที่จวนอี๋เหนียงหกเอาแต่ก่อเรื่อง ท่านพ่อก็ฟังแต่นางอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้ว่าสุดท้ายพี่ใหญ่จะไม่ได้ตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ส่งนางมาที่นี่” คุณนายสี่สกุลหลัวพูดต่ออีกว่า “ความหมายท่าทีของพี่ใหญ่ก็คือให้คุณหนูสิบเอ็ดช่วยหาวิธีที่จะไม่ทำให้สกุลหลัวเสียหน้า อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับกฎเกณฑ์และมารยาทของเยี่ยนจิง คำพูดของเจ้าหนึ่งคำน่าเชื่อถือกว่าคำพูดของพวกเราสิบคำ”
อี๋เหนียงหกผู้นี้…
สืออีเหนียงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ให้นางมาพบข้าในวันพรุ่งนี้”
คุณนายสี่สกุลหลัวถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “คุณหนูกำลังอยู่ในช่วงอยู่ไฟแท้ๆ เดิมทีก็ไม่ควรทำให้เจ้าไม่สบายใจ…แต่ว่าช่วงนี้ หากอยู่ที่เจียงหนาน ไม่แน่อี๋เหนียงหกอาจจะทำสำเร็จไปแล้ว”
สิ่งสำคัญคือความคิดของนายท่านใหญ่สกุลหลัว
สืออีเหนียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พี่สะใภ้สี่อย่าได้เกรงใจ แผนของอี๋เหนียงหกนั้นมากเกินไปจริงๆ ถ้าหากลำบากใจจริงท่านก็ให้อี๋เหนียงหกมาพบข้าเถิด” จากนั้นก็บอกความคิดของโจวฮูหยินให้คุณนายสี่สกุลหลัวฟัง “…สกุลหวังต้องการจะแต่งงานก่อนตรุษจีน ท่านกลับไปบอกพี่สี่สักหน่อย จะได้มีคำตอบให้กับพี่เขยสี่ หากตกลงก็ให้พี่เขยสี่ดูฤกษ์ เมื่อถึงเวลานั้นจะได้กำหนดวันแต่งงานกับสกุลหวัง หากไม่ตกลง พวกท่านก็ไปดูฤกษ์มา พี่เขยสี่จะได้บอกเหตุผลกับสกุลหวัง”
คุณนายสี่สกุลหลัวเข้าใจกฎเหล่านี้ดี ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าว่าเลือกฤกษ์แต่งงานก่อนวันตรุษจีนนั้นดีแล้ว น้องหญิงสิบสองก็อายุไม่น้อยแล้ว อย่างไรก็ต้องแต่ง ยิ่งไปกว่านั้นการที่สกุลหวังเป็นกังวลนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ถ้าหากแม่สามีมาจากไปแล้วต้องไว้ทุกข์อีกสองปี…อย่างไรก็ต้องคิดถึงคนอื่นด้วย”
จากนั้นก็ทำการกำหนดวันแต่งงานโดยไม่ได้ปรึกษาใคร ราวกับว่า ‘แค่ข้าตกลงก็พอแล้ว’
สืออีเหนียงนึกถึงนิสัยของหลัวเจิ้นเซิง แล้วนึกถึงความเก่งกาจและมีไวพริบของคุณนายสี่สกุลหลัว ก็อดคาดเดาไม่ได้ว่าเหตุผลที่หลัวเจิ้นเซิงสามารถจัดการกิจการได้ในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นเป็นเพราะมีภรรยาอย่างคุณนายสี่สกุลหลัวคอยช่วยเหลือ
นางยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะนำคำของพี่สะใภ้สี่ไปบอกแก่โจวฮูหยิน”
คุณนายสี่สกุลหลัวพยักหน้า จิบชาให้ชุ่มคอแล้วเงยหน้ามองสืออีเหนียงที่กำลังเอนกายพิงหมอนอิงสีแดงด้วยใบหน้าซีดเซียว ใจเต้นเล็กน้อย พูดอย่างลังเลว่า “ทางด้านคุณหนูห้ากับคุณหนูสิบ…ข้ากะว่าจะไปเยี่ยมพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าคุณหนูสิบ…อยู่จวนหรือไม่”
หลังจากงานศพของนายหญิงใหญ่ สืออีเหนียงกับสือเหนียงก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ทุกเทศกาลตรุษจีนสกุลหวังก็จะส่งของขวัญตรุษจีนมา สกุลสวีก็จะส่งของขวัญกลับไป แต่กลับเป็นเพียงเรื่องที่ต้องทำไปตามมารยาท แม้แต่พิธีสรงสามของจิ่นเกอ สือเหนียงก็ให้คนนำเงินก้อนแกะสลักมามอบให้ห้าอัน แต่นางกลับไม่ได้มาด้วย
เมื่อได้ฟังคุณนายสี่สกุลหลัวพูดถึงนาง แววตาของสืออีเหนียงมีความสับสนเล็กน้อย นางส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พี่หญิงสิบบอกว่าตัวเองเป็นหญิงม่าย จึงกักตัวอยู่แต่ในจวน แทบไม่ได้ไปมาหาสู่กับข้าแล้ว”
คุณนายสี่สกุลหลัวได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจยาว “คุณหนูสิบช่างน่าสงสารนัก”
สืออีเหนียงเอนหลังพิงหมอนอิงไม่ได้พูดอะไร
******
ไม่รู้ว่าอี๋เหนียงหกสร้างปัญหามากเกินไปหรือว่าคุณนายสี่สกุลหลัวเพียงแค่อยากจะดับความร้อนของมันเทศที่กำลังลวกมือให้เร็วขึ้นเท่านั้น วันรุ่งขึ้นคุณนายสี่สกุลหลัวก็หาข้ออ้างส่งของมาให้สืออีเหนียง เพื่อให้อี๋เหนียงหกมาพบสืออีเหนียง
“อี๋เหนียงเป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่พี่ใหญ่เลย แม้แต่ข้าพอได้ฟังก็ไม่อยากจะเชื่อ” อี๋เหนียงหกเป็นคนฉลาด สืออีเหนียงจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องเขยสิบสองจะคิดอย่างไรหากรู้ว่าสกุลหลัวของพวกเราเตรียมสินสอดทองหมั้นเพียงหนึ่งพันตำลึง แล้วยังเพิ่มเงินใส่หีบอีกสี่พันตำลึง น้องเขยเป็นคนมีเกียรติ ต่อให้สกุลหวังจะยากจนแค่ไหน ก็ไม่ถึงขั้นให้สกุลหลัวของพวกเราช่วยด้วยวิธีนี้ อี๋เหนียงทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการเพิ่มปัญหาให้น้องหญิงสิบสองหรือ”
อี๋เหนียงหกเห็นว่าสืออีเหนียงพูดอย่างชัดเจนจึงไม่เสแสร้งทำเป็นสับสน พูดขึ้นมาว่า “ข้าเองก็หมดปัญญาแล้วเช่นกัน” ในใจของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจ “ท่านว่างานแต่ของคุณหนูสิบสองรีบร้อนเช่นนี้ ใช้ทั้งที่ดินทำกินของสกุลในตอนนี้และที่ดินเปล่ามาเป็นสินสอดทองหมั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องรีบร้อนใช้เงินก็ไม่มีคนคุ้นเคยหรือมีน้ำใจที่จะช่วยซื้อขาย หากเอาแต่พึ่งนายหน้าเหล่านั้น สิ่งของที่มีค่าสิบตำลึงอย่างมากก็ให้แค่ห้าตำลึง จะไม่เป็นการเสียเปรียบให้พวกคนเหล่านั้นโดยเปล่าประโยชน์หรือ อีกอย่างทรัพย์สินในเยี่ยนจิง หากรีบร้อนซื้อ ส่วนมากก็ต้องซื้อในราคาสูง เวลาขายเกรงว่าคงจะขายได้เพียงสองในสามของราคาตลาด ไม่สู้ให้เงินไปเลยโดยตรงจะไม่คุ้มกว่าหรือ”
สืออีเหนียงแปลกใจ ทำไมอี๋เหนียงหกเอาแต่คิดเรื่องขายสินสอดทองหมั้นเป็นเงินสดกันเล่า
อี๋เหนียงหกยิ้มเจื่อนๆ “ข้าเองก็คิดมาดีแล้ว เหตุผลที่ท่านเขยสิบสองไม่เรียนหนังสือแล้วเป็นเพราะเขามีน้องชายที่เรียนหนังสือได้ดีกว่าเขา หากคุณหนูสิบสองแต่งเข้าไปเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นจะควักเงินออกมาเพื่อส่งเสริมการศึกษาของน้องชายสามีได้อย่างไร ผู้ที่ผ่านการสอบระดับมณฑล หรือผู้ที่ผ่านการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนในเจียงหนานนั้นก็มีเยอะแยะมากมาย หากไม่ใช่คนในสกุลสูงศักดิ์ จะมีสักกี่คนที่จะมีโอกาสเรียนจนสอบผ่านได้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าเด็กๆ จากสกุลอื่นไม่ฉลาด แต่เป็นเพราะการที่จะสนับสนุนเด็กผู้ชายที่เอาแต่เรียนหนังสือโดยไม่ทำงานอะไรเลยเป็นเวลาหลายปีนั้นไม่สามารถทำได้จริงๆ สกุลที่มีฐานะไม่ค่อยดี ก็มีแค่กำลังค้ำจุนคนในครอบครัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่จำนวนใช้รถม้าในเขต ในมณฑล และในเมืองหลวงนั้นก็ถือว่าไม่น้อยเลย หากเดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับสนามสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็มีคนไม่น้อยที่ทำเอาสกุลต้องล้มละลาย คนจนคนไหนที่ไม่มีพรสวรรค์ หากไม่ฝืนดันทุรังสอบเป็นซิ่วไฉ่นั้นก็ถือว่าดีไป บรรพบุรุษของท่านเขยสี่ของพวกเราทำงานในราชสำนัก เมื่อถึงตาเขาแล้ว หากไม่ใช่เพราะนายท่านสองคอยให้เงินสนับสนุนแล้วจะมีวันนี้ได้อย่างไร ข้าได้ยินมาว่าหลายปีที่ผ่านมานายหญิงสองไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าใหม่ๆ ต่อไปรายจ่ายที่คุณหนูสิบสองต้องใช้เงินก็มีเยอะแยะไป ตอนนี้ห่วงหน้าตา ห่วงศักดิ์ศรีไปจะมีประโยชน์อะไร ยิ่งไปกว่านั้นหากท่านเขยสิบสองไม่ใช่คนซื่อสัตย์แล้วจะมีชื่อเสียงของซิ่วไฉ่ได้อย่างไรแล้วยังลดระดับตัวเองติดตามผู้ดูแลไปเรียนรู้กิจการทั่วไป จะว่าไปแล้วการที่นายท่านใหญ่ส่งข้ามาเยี่ยนจิงนั้นก็สมความตั้งใจข้าพอดี ข้าก็อยากจะมาบ่นให้ท่านฟังเช่นกัน คนในสกุลข้าว่ามีเพียงท่านคนเดียวที่เข้าใจ ข้าก็เพียงแค่คิดว่าต่อไปคุณหนูสิบสองจะต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก ประหยัดได้ก็ประหยัดไป” พูดจบ ก็พูดต่ออีกว่า “อย่างไรข้าก็คิดอย่างละเอียดแล้ว คุณหนูสิบสองได้แต่งงานก็ได้เติมเต็มความปรารถนาของข้าแล้ว ต่อไปชีวิตตัวเองจะไปทางไหนก็คงไม่พ้นคำว่า ‘ตาย’ อยู่ดี ไม่สู้ดึงความกล้าออกมาถึงแม้ว่าจะต้องตายก็ตาม แต่เรื่องนี้ข้าก็ต้องวางแผนให้คุณหนูสิบสองอย่างละเอียดรอบคอบ”
สืออีเหนียงได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ แต่อย่างไรก็ตามคุณค่าอื่นใดหรือจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้ ในสายตาของผู้อื่น หวังเจ๋อก็คือบัณฑิตซิ่วไฉ่ แต่พอวางหนังสือแล้วไปดูแลจัดการเรื่องการเงิน ก็ไม่ต่างอะไรกับการยินยอมลดระดับตัวเอง
นางยอมรับว่าสิ่งที่อี๋เหนียงหกพิจารณานั้นมีเหตุผล
แต่ว่าสกุลหลัวก็มีกฎของสกุลหลัว อย่างไรเสียงานแต่งของบุตรสาวก็ไม่ควรใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยแต่อี๋เหนียงหกกลับทำให้เรื่องวุ่นวายเช่นนี้เลยทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ แต่ที่เป็นที่สุดของความอกตัญญูก็คือการไร้ทายาทสืบสกุล แต่การที่เอาแต่เชื่อฟังบิดามารดา ไม่ยอมห้ามปรามเมื่อเห็นพวกเขาทำผิดก็ถือเป็นการอกตัญญูอย่างหนึ่ง หลัวเจิ้นซิ่งเพียงแค่ไม่อยากให้น้องหญิงสิบสองต้องลำบากใจ มิเช่นนั้นหลัวเจิ้นซิ่งก็คงนำสินสอดทองหมั้นของตัวเอง อู่เหนียง กับสือเหนียงมาเปรียบเทียบแล้ว สินสอดทองหมั้นของตนนั้นมากที่สุด นั่นเป็นเพราะว่าตนแต่งกับหย่งผิงโหว ส่วนอู่เหนียงกับสือเหนียง คนหนึ่งแต่งกับจู่เหริน อีกคนหนึ่งแต่งกับซื่อจื่อจวนกั๋วกง หากเทียบกันแล้วหวังเจ๋อเป็นเพียงซิ่วไฉ่ตำแหน่งเล็กๆ เท่านั้น หากดึงดันที่จะให้สือเอ้อร์เหนียงแต่งตามแบบอู่เหนียง เกรงว่านายท่านใหญ่สกุลหลัวก็คงไม่มีทางเลือก
“ข้าเข้าใจความคิดของอี๋เหนียง” สืออีเหนียงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แต่บางครั้งคนเราก็ไม่ควรเอาแต่คำนวณบัญชีของตัวเอง” เรื่องราวมักจะมีสองด้านเสมอ โต้แย้งไปมาอาจจะไม่สามารถโน้มน้าวผู้อื่นได้ ตนก็ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น มีเพียงการแก้ปัญหาคือเป้าหมาย หากพูดเรื่องอื่น อี๋เหนียงหกอาจจะไม่เข้าใจ ไม่สู้พูดไปตามแนวคิดของนาง สืออีเหนียงพึมพำว่า “ว่ากันว่าการนั่งกินนอนกินโดยไม่ยอมทำอะไร ต่อให้มีเงินทองมากองเท่าภูเขาก็ย่อมใช้หมดไม่มีเหลือ ท่านทำเพื่อน้องหญิงสิบสอง ทำไมไม่คิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ ท่านพูดเช่นนี้ก็เพียงแค่หวังว่าจะสามารถสนับสนุนน้องชายของท่านเขยสิบสองได้ ตราบใดที่สนับสนุนจนสอบผ่าน น้องหญิงสิบสองก็จะใช้ชีวิตอย่างสบาย แต่หากสนับสนุนแล้วสอบไม่ผ่านเงินทั้งหมดนี้จะไม่ถูกใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างนั้นหรือ แทนที่จะค่อยๆ เติมเงินเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่สู้นำไปทำกิจการ เพื่อให้ได้กำไรเยอะบ้างน้อยบ้างในทุกๆ ปี แม้ว่าจะไม่สามารถสนับสนุนน้องชายของท่านเขยสิบสองให้สอบผ่านได้ แต่ในภายภาคหน้าตำแหน่งขุนนางในจวนก็ต้องมีผู้สืบทอด ยิ่งไปกว่านั้นต่อไปน้องหญิงสิบสองก็จะต้องมีบุตรของตัวเอง หากเป็นเหมือนกับท่านอาของเขาที่เป็นผู้เรียนหนังสือได้ดี จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลานั้นจะเอาเงินอะไรมาสนับสนุน ข้าว่าต่อให้น้องชายของท่านเขยสิบสองจะเข้าสู่เส้นทางของบัณฑิตขั้นสูง แต่ว่าบุตรของน้องหญิงสิบสองก็จะเอาแต่หวังให้ท่านอาของเขาคอยช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ แม้แต่สามีก็ยังมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แล้วนับประสาอะไรกับเครือญาติ”
อี๋เหนียงหกได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าตกใจ เงียบอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ความหมายของคุณหนูก็คือให้เหลือเงินเก็บไว้ให้ตัวเองดีกว่าอย่างนั้นหรือ”
ไม่ใช้ทางซ้ายก็เป็นทางขวา อี๋เหนียงหกผู้นี้ ตอนนี้ถือว่าคิดได้เสียที
“ความหมายของข้าก็คือให้แบ่งเงินออกเป็นหลายๆ ส่วน เก็บเอาไว้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เก็บเอาไว้ซื้อที่ดิน และเก็บเอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะมีทางออกเสมอ” แล้วพูดต่อไปว่า “เพียงแต่ว่าเงินมีไม่มากนัก พวกเราต้องคิดหาวิธีช่วยน้องหญิงสิบสองซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เสื่อมราคา อย่างเช่นซื้อเรือนก็พยายามให้อยู่ติดกับตลาดใหญ่ ตลาดเล็ก หรือวัด เรือนในบริเวณนี้หากไม่อยู่ติดกับราชวังก็จะอยู่ติดตลาดฝั่งตะวันออกหรือฝั่งตะวันตก หากวันใดต้องการจะขายก็จะไม่ขาดทุนมากนัก ส่วนเรื่องซื้อที่ดิน ให้พยายามอยู่ในมณฑลซานตง อยู่ใกล้กับเมืองหลวง และมีรายได้ดีกว่าผลผลิตในเขตต้าซิ่ง”
อี๋เหนียงหกพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “ข้าเข้าใจความหมายของคุณหนู เพียงแต่ว่าสถานที่ดีๆ เช่นนี้หาได้ง่ายๆ เสียที่ไหนกัน…”
สืออีเหนียงกำลังรอประโยคนี้ของนางอยู่ พูดขึ้นมาว่า “พี่เขยสี่เดินทางไปกับคณะราชทูต คนที่ไปมาหาสู่ต่างก็เป็นขุนนางระดับสูง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เรื่องข่าวสารนับว่าเร็วมาก พี่หญิงเจ็ดแต่งไปอยู่ที่ซานตง พี่เขยเจ็ดก็เป็นที่รู้จักในนามเซวียอี้จวินแห่งเกาชิง ในพื้นที่แถบนั้นไม่มีใครที่เขาไม่รู้จัก…” นางตั้งใจไม่เอ่ยถึงตัวเอง มองไปที่อี๋เหนียงหกอย่างมีนัยยะ “พี่ใหญ่ไม่ถือสาสิ่งเหล่านี้ เพียงแค่หวังว่าพวกเราพี่น้องจะสามัคคีกันและมีชีวิตที่ดี ต้นไม้ต้นเดียวไม่สามารถเป็นป่าได้ การร่วมแรงร่วมใจกันถึงจะทำให้ทองแตกหักได้ ในเมื่ออี๋เหนียงหกวางแผนเพื่อน้องหญิงสิบสอง ก็มีบางเรื่องที่จะต้องปรึกษาพูดคุยกันให้มากจึงจะถูก เมื่อน้องหญิงสิบสองแต่งเข้าไปในจวนก็จะมีบรรดาสะใภ้มากมาย ไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ ช่วงสองสามปีแรกจะต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ อย่างไรท่านก็ต้องคอยช่วยเหลือนางไม่ใช่หรือ”
อี๋เหนียงหกได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจในทันที และด้วยความที่เป็นคนมีไหวพริบจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ที่คุณหนูพูดก็มีเหตุผล เช่นนั้นข้าก็หวังให้คุณหนูช่วยจัดการให้ข้าแล้ว”
สุดท้ายแล้ว ใครเป็นคนคิด คนนั้นก็เป็นคนทำสินะ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ที่สกุลเดิมยังมีผู้ดูแลหญิงที่มีความสามารถ คงไม่ต้องถึงขั้นให้ข้าที่แต่งออกมาแล้วยื่นมือเข้าไปแทรกแซง นิสัยเช่นนี้ของอี๋เหนียงควรจะปรับเปลี่ยนสักหน่อยกระมัง”