ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 467 แตกกิ่งก้านสาขา(ปลาย)
สืออีเหนียงรู้ว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ แต่เห็นท่าทีของคุณนายสี่สกุลหลัวแล้ว เกรงว่าคงจะถามอะไรไม่ได้ นางจึงไม่ซักถามแล้วพูดคุยเรื่องทั่วไป “อี๋เหนียงห้าสบายดีหรือไม่”
หลัวเจิ้นเซิงไม่ค่อยได้รับความสำคัญจากตระกูล เรื่องบางเรื่อง รอให้หลัวเจิ้นซิ่งมาบอกสืออีเหนียงเองที่เยี่ยนจิงดีกว่า
คุณนายสี่สกุลหลัวก็ไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้กับสืออีเหนียง เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “อี๋เหนียงสบายดี อยู่ดูแลน้องเจ็ด เย็บปักถักร้อยที่เรือนทุกวัน บางครั้งก็ออกไปไหว้พระโพธิสัตว์ที่วัดกับอี๋เหนียงหก” พูดถึงตรงนี้ นางก็อุทาน “ไอ๊หยา” แล้วพูดต่อไปว่า “เห็นจิ่นเกอแล้วมัวแต่ดีใจ ลืมเรื่องหนึ่งไป” นางส่งจิ่นเกอให้แม่นมกู้ที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ควักถุงผ้าดอกไห่ถังสีแดงยื่นให้สืออีเหนียง “ยันต์เเคล้วคลาดที่อี๋เหนียงห้าบูชามาจากวัดฉือหยวน นางบอกให้ข้านำมาให้เจ้า ปกป้องเจ้าและลูกให้ปลอดภัย” นางยิ้ม “ถึงแม้ว่ายันต์เเคล้วคลาดนี้จะมาช้าหน่อย แต่ก็ยังมาถึง มันคือน้ำใจของนาง”
สืออีเหนียงยิ้ม เอ่ยขอบคุณแล้วรับมันมา
กลีบดอกไห่ถังสีทับซ้อนกันทีละกลีบ ลวดลายชัดเจน ราวกับดอกจริงก็มิปาน
นางวางถุงผ้าไว้ใต้หมอน จากนั้นก็ไถ่ถามถึงสถานการณ์ที่จวน
“ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ท่านพ่อรู้จักกับนักบวชลัทธิเต๋าคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงไปเชื่อในวิชาของหวงเหล่า ย้ายไปอยู่ที่เรือนนอกตอนฤดูร้อน แล้วยังทำเตาปรุงยาอยู่ที่นั่น ไม่สนใจเรื่องของตระกูลเลยแม้แต่น้อย พี่ใหญ่เกลี้ยกล่อมเขาตั้งหลายครั้งก็ไม่ได้ผล จึงต้องตามใจท่านพ่อ อี๋เหนียงสามกลัวว่าท่านพ่อจะไม่มีใครดูแล จึงตามไปดูแลเขาที่เรือนนอก อี๋เหนียงหกอยู่ที่จวน ช่วยอี๋เหนียงห้าดูแลน้องเจ็ด เชิญอาจารย์เย็บปักถักร้อยมาเฝ้าเอ้อร์สือเหนียงเย็บปักถักร้อย เรื่องดูแลจวนจึงตกอยู่ที่พี่สะใภ้ใหญ่”
สือเอ้อร์เหนียงที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดง นางก้มหน้าจิบชาด้วยความเขินอาย
สืออีเหนียงเห็นท่าทีเด็กผู้หญิงขี้อายของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา
“พี่สี่ของเจ้าเรียนหนังสือไม่เก่ง พี่ใหญ่จึงให้เขาคอยดูแลเรื่องในจวนกับผู้ดูแลอู๋” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดต่อไป “เจ้าก็รู้นิสัยพี่สี่ของเจ้าดี เขาเป็นคนซื่อสัตย์และจงรักภักดี เรื่องที่พี่ใหญ่มอบหมายให้เขาเป็นคนจัดการ เขาไม่เคยประมาทเลินเล่อ สองปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเรื่องผิดพลาดอะไร ข้าก็อยู่ดูแลอิงเหนียงที่เรือนอย่างสบายใจ” พูดจบ นางก็มองไปที่อิงเหนียงที่นั่งทานขนมซูปิ่งบนเก้าอี้ด้วยสายตาที่อ่อนโยน
อิงเหนียงหน้าตาเหมือนคนสกุลหลัว ผิวขาว ดวงตากลมโต หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับสือเอ้อร์เหนียงที่นั่งอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามนาง “ขนมซูปิ่งอร่อยหรือไม่”
อิงเหนียงพยักหน้า “อร่อยเจ้าค่ะ!” นางพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัด แอบมีความเหมือนคุณนายสี่สกุลหลัว
สืออีเหนียงหัวเราะ
คุณนายสี่สกุลหลัวกลับมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อยู่ที่จวนจนเคยชิน บอกให้นางพูดเสียงเบา นางก็ไม่ยอมพูด”
สืออีเหนียงชอบนาง “เด็กผู้หญิงนิสัยร่าเริงเป็นเรื่องที่ดีเจ้าค่ะ” บุตรสาวสกุลหลัวล้วนแต่ขี้อายไม่กล้าแสดงออก
“เจ้าเป็นคนกันเอง แน่นอนว่าต้องพูดเช่นนี้” คุณนายสี่สกุลหลัวบ่นพึมพำ “ต่อไปนางต้องแต่งงานออกเรือน แม่สามีที่ไหนจะชอบลูกสะใภ้นิสัยเช่นนี้”
“นางยังเด็ก ค่อยๆ สอนกันไปก็ได้”
ขณะที่พวกนางสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ!”
สือเอ้อร์เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย
ช่วงเวลาที่อยู่ที่เยี่ยนจิงนั้นแต่งแต้มสีสันให้กับชีวิตที่หม่นหมองของนาง ตั้งแต่นั้นมาชีวิตและโชคชะตาของนางก็เปลี่ยนไป…ผู้คนและเรื่องราวเหล่านั้น นางจะไม่มีวันลืม
นางลุกขึ้นยืน
ก็เห็นผ้าม่านเปิดออกพอดี เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วเดินเข้ามา
“พอได้ยินว่าท่านป้าสี่และท่านน้าสิบสองมา ข้าก็รีบมาทันทีเจ้าค่ะ”
คำนับคุณนายสี่สกุลหลัวและสือเอ้อร์เหนียงเรียบร้อย นางก็รีบจับมือสือเอ้อร์เหนียง “เจ้ากับท่านป้าสี่มาตั้งแต่เมื่อไร ระหว่างทางราบรื่นดีหรือไม่ ท่านตา ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าใหญ่และท่านลุงเล็กสบายดีหรือไม่” จากนั้นก็สังเกตเห็นอิงเหนียง พูดด้วยรอยยิ้ม “นี่คือน้องหญิงใหญ่เช่นนั้นหรือ หน้าตางดงามยิ่งนัก!”
นางถามอะไรตั้งเยอะแยะ ทำให้สือเอ้อร์เหนียงไม่รู้ว่าจะเริ่มตอบจากตรงไหนก่อน นี่เผยให้เห็นถึงความเป็นมิตรของนาง
รอยยิ้มของสือเอ้อร์เหนียงสดใสและจริงใจ “ข้ามาถึงเมื่อวาน มาถึงก็มาหาพี่หญิงสิบเอ็ดทันที ทุกคนสบายดี” จากนั้นก็เรียกอิงเหนียง “มาหาพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเร็วเข้า”
อิงเหนียงเอียงหัวมองเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วพูดด้วยความตกใจ “สูงมากเลย!”
ทุกคนในห้องพากันหัวเราะท่าทีที่น่าขบขันของนาง
เจินเจี่ยเอ๋อร์หน้าแดง นางปลดจี้หยกที่เอวยื่นให้อิงเหนียง “นี่คือของขวัญของเจ้า”
อิงเหนียงไม่กล้ารับมา นางหันไปมองคุณนายสี่ เมื่อคุณนายสี่พยักหน้าเบาๆ นางก็ยิ้ม รับจี้หยกมาแล้วพูดขอบคุณเจินเจี่ยเอ๋อร์
อวี้ป่าน สาวใช้ของไท่ฮูหยินเดินเข้ามา “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ไท่ฮูหยินรู้ว่าคุณนายสกุลญาติมา จึงชวนคุณนายและพวกคุณหนูไปพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่สะดวก นางจึงยิ้มแล้วบอกเจินเจี่ยเอ๋อร์ “เจ้าไปกับท่านป้าสี่และอิงเหนียงเถิด!” จากนั้นนางก็หันไปพูดกับคุณนายสี่ “ประเดี๋ยวค่อยกลับมาทานข้าวเที่ยง!”
คุณนายสี่ยิ้มตอบรับ จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
มอบของขวัญให้เด็กๆ พูดถึงเรื่องในอดีต พูดคุยกันจนถึงยามเที่ยง สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็เลิกเรียนพอดี
ไท่ฮูหยินเรียกพวกเขาสองคนไปหา “มาหาท่านป้าสี่ ท่านน้าสิบสองและน้องหญิงใหญ่ของพวกเจ้าสิ” จากนั้นก็พูดกับอิงเหนียง “นี่คือพี่สี่และพี่ห้าของเจ้า”
สวีซื่อจุนจำคุณนายสี่และสือเอ้อร์เหนียงได้ แต่เจอกับอิงเหนียงครั้งแรก แต่สวีซื่อเจี้ยกลับจำใครไม่ได้เลย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว อิงเหนียงที่อายุน้อยกว่าพวกเขากลายเป็นจุดสนใจของเขา พวกเขาสองคนมองไปที่อิงเหนียงพร้อมกัน
เห็นนางมวยผม สวมเสื้ออ่าวตัวเล็กๆ ที่ปักลายดอกโบตั๋นสีแดง ที่คอมีสร้อยทอง ที่ข้อมือมีกำไล ใบหน้าที่กลมและขาวของนางละเอียดอ่อนราวกับกลีบดอกปิ่นหยก ดวงตาที่กลมโตสุกใสราวกับสายน้ำ น่ารักน่าชังเป็นอย่างมาก
อิงเหนียงไม่กลัวคนแปลกหน้า เมื่อเห็นสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยมองมาที่ตัวเอง นางก็ยิ้มแล้วเอ่ยเรียก “พี่สี่ พี่ห้า” ด้วยเสียงที่ดังฟังชัด ทำเอาสองพี่น้องเขินอาย แต่พวกเขาก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ
ไท่ฮูหยินเชิญคุณนายสี่และคนอื่นๆ อยู่ทานข้าวที่เรือน นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าสืออีเหนียงคงจะบอกให้พวกเจ้ากลับไปทานข้าวกับนาง ข้าส่งคนไปบอกนางก็ได้ พวกเจ้าก็ท่านข้าวเที่ยงที่นี่เถิด ยามเย็นค่อยไปหานาง”
ผู้ใหญ่พูดเช่นนี้ นางก็ไม่กล้าปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้นไท่ฮูหยินกำลังให้เกียรติคนสกุลหลัว
คุณนายสี่ยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็อยู่ทานข้าวเที่ยงที่เรือนของไท่ฮูหยิน
อิงเหนียงหยิบช้อนเอง ทานข้าวไม่หกเลยสักเม็ด ผักก็ทาน เนื้อก็ทาน ไม่เหมือนซินเจี่ยเอ๋อร์ที่มีนิสัยเลือกทานเลยแม้แต่น้อย
สวีซื่อจุนมองดูนางด้วยความสนใจ
เมื่อทานข้าวเสร็จ สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยนอนกลางวันที่เรือนของไท่ฮูหยิน คุณนายสี่และคนอื่นๆ ก็กลับไปที่เรือนของสืออีเหนียง
อิงเหนียงกำลังทะเลาะกับเปลือกตาของตัวเอง แต่หลังจากนั้นก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของแม่นม
สืออีเหนียงบอกให้แม่นมกู้พาอิงเหนียงไปนอนที่เรือนหน่วนเก๋อ แล้วก็บอกให้คุณนายสี่ไปพักผ่อนที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก
“ไม่ใช่ฤดูร้อนเสียหน่อย แล้วข้าก็ไม่ใช่เด็กด้วย” คุณนายสี่ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “เราไม่ค่อยได้เจอกัน ข้าอยู่คุยกับเจ้าดีกว่า!”
คุณนายสี่มาที่เยี่ยนจิงครั้งนี้ ก็เพราะเรื่องงานแต่งของสือเอ้อร์เหนียง หลัวเจิ้นซิ่งก็ขอร้องให้นางช่วยดูแล คุณนายสี่ต้องมีเรื่องปรึกษานางแน่นอน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า
เจินเจี่ยเอ๋อร์อยากพาสือเอ้อร์เหนียงไปที่เรือนของตัวเอง “ข้าปักม่านกันลมลายดอกโบตั๋น อยากให้ท่านน้าสิบสองไปดูเจ้าค่ะ!”
อยากคุยเล่นกันกระมัง!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “อย่าลืมมาทานข้าวเย็น!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์และสือเอ้อร์เหนียงยิ้มแล้วขานรับ จูงมือกันเดินออกไป
สืออีเหนียงรอให้สาวใช้ยกของว่างเข้ามา จากนั้นก็ไล่สาวใช้ในห้องออกไป
คุณนายสี่พูดเรื่องสือเอ้อร์เหนียงกับนาง “…พี่ใหญ่นำตั๋วเงินห้าพันตำลึงให้ข้า บอกให้เราจัดการเรื่องแต่งงานของสือเอ้อร์เหนียง ถึงแม้ว่าสกุลของท่านเขยสิบสองจะยากจนไปหน่อย แต่เขาก็เป็นสกุลใหญ่สกุลโต เราก็ไม่เคยมีประสบการณ์ มีเงินไม่มาก ควรจะใช้เงินเช่นไร ใช้กับอะไร ควรซื้ออะไร ไม่ควรซื้ออะไร ข้าอยากถามความคิดเห็นของเจ้า ถึงตอนนั้นพี่สี่ของเจ้าก็จะได้ช่วยจัดการ สือเอ้อร์เหนียงจะได้ไม่อับอายขายขี้หน้า”
ใจกว้างเสียจริง!
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจ
นึกถึงตอนนั้น ตอนที่นายหญิงใหญ่จัดการเรื่องแต่งงานของพวกนาง…เทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ แต่ว่า เงินห้าพันตำลึง สำหรับงานแต่งงานบุตรสาวมณฑลเจียงหนานก็ถือว่าเยอะแล้ว…แต่ในสายตาของสกุลหวัง มีการเปรียบเทียบกันของบรรดาลูกสะใภ้ ก็คงถือว่าไม่เยอะจริงๆ…แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยเกินไป
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ ข้าก็ไม่มีประสบการณ์เช่นกัน ข้ายังบอกอะไรไม่ได้ตอนนี้ ไม่สู้ให้ข้าไปเรียนรู้มาก่อน อีกสองวันค่อยว่ากันใหม่ ถึงตอนนั้นเราค่อยปรึกษากันว่าจะทำเช่นไร พี่สะใภ้สี่คิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”
คุณนายสี่พูด “เช่นนั้นข้ารอฟังเจ้า” พูดจบ นางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…” ดูเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สี่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
คุณนายสี่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วเอ่ยปากในที่สุด “มีเรื่องลำบากใจเรื่องหนึ่งจริงๆ…” จากนั้นนางก็อธิบาย “…ตามเจตนาของพี่ใหญ่ก็คือ สินเดิมของสือเอ้อร์เหนียงต้องจัดตามสินเดิมของคุณหนูห้าและคุณหนูสิบ แต่เพราะเป็นน้องสาว จึงต้องเยอะกว่านิดหน่อย พี่ชายและพี่สะใภ้อย่างเราควรจะเพิ่มให้หน่อย แต่อี๋เหนียงหกไม่เห็นด้วย นำเจ้ามาเปรียบเทียบ บอกว่าแต่งงานเหมือนกัน แต่สินเดิมของเจ้าเยอะกว่า ถึงแม้ว่าน้องหญิงสิบสองจะไม่กล้าเทียบกับเจ้า แต่ก็ไม่ควรเทียบกับคุณหนูห้า” นางพูด จากนั้นก็หน้าแดงแล้วพูดเสียงเบาลง “นางพูดเช่นนี้ต่อหน้าท่านพ่อ…ในเช้าวันต่อมาท่านพ่อก็เรียกพี่ใหญ่ไปหา กำหนดเงินสินเดิมห้าพันตำลึง”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็เหงื่อตก
“พี่ใหญ่ก็ไม่กล้าคัดค้าน” คุณนายสี่พูด “อี๋เหนียงหกยังบอกอีกว่า น้องหญิงสิบสองแต่งงานออกไปอยู่ไกลบ้าน ที่ดินในมณฑลเจียงหนานก็ไม่ได้ใช้ แล้วยังส่งคนไปดูแล หรือว่าจะให้ท่านเขยสิบสองส่งคนมาเก็บเงินค่าเช่าที่ดินที่มณฑลเจียงหนานทุกปีเช่นนั้นหรือ ไปๆ มาๆ ถึงแม้จะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวก็คงไม่มีผลผลิต หากเจอกับปีหายนะ เกรงว่าคงจะขาดทุนยับเยิน จะให้พี่ใหญ่นำตั๋วเงินห้าพันตำลึงออกมาให้ได้! แล้วท่านพ่อก็ยังตามใจอี๋เหนียงหก…นำตั๋วเงินห้าพันตำลึงออกมา สุดท้ายอี๋เหนียงหกก็บอกอีกว่า สกุลท่านเขยค่อนข้างยากจน จัดโต๊ะเก้าอี้เยอะแยะขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไร นำเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาซื้อของ เงินที่เหลือก็นำไปให้น้องหญิงสิบสองเป็นเงินก้นถุง”
เงินก้นถุง ไม่ได้อยู่ในรายการของขวัญ
หากทำตามที่อี๋เหนียงหกบอก ในสายตาของคนอื่น ก็หมายความว่าสกุลหลัวใช้เงินแค่หนึ่งพันตำลึงแต่งบุตรสาว
“พี่ใหญ่ไม่เห็นด้วยหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเริ่มเข้าใจเรื่องราว
คุณนายสี่พยักหน้า “ไม่เพียงแต่ไม่เห็นด้วย แล้วยังตำหนิอี๋เหนียงหกด้วยความโมโห”
แต่อี๋เหนียงหกก็ยังมาเมืองหลวง เช่นนั้นก็หมายความว่า สุดท้ายแล้วหลัวเจิ้นซิ่งก็ทำอะไรอี๋เหนียงหกไม่ได้