ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 465 แตกกิ่งก้านสาขา(ต้น)
ไท่ฮูหยินเห็นว่าสืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์พึ่งทานข้าวได้ครึ่งถ้วย นางก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “จิ่นเกอหายดีแล้ว ข้าก็สบายใจ เจ้ากำลังอยู่เดือน พักผ่อนเสียเถิด” พูดจบ ก็เหลือบมองสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย “พวกเจ้าสองคนกลับไปทานข้าวและนอนกลางวันที่เรือนกับข้า ยามบ่ายยังต้องไปเรียนอีก!”
สวีซื่อจุนเห็นว่าท่านย่าไม่ว่าอะไรแล้ว เขาก็ยิ้มด้วยความดีใจ จับมือสวีซื่อเจี้ยแล้วพยักหน้าซ้ำๆ
สืออีเหนียงไม่กล้ารั้งไท่ฮูหยินไว้ นางบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปส่งพวกเขา
มีสาวใช้วิ่งไปที่เรือนของเหวินอี๋เหนียง “อี๋เหนียงเจ้าคะ ไท่ฮูหยินไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ในห้องนอกจากเหวินอี๋เหนียงแล้ว ยังมีหยางอี๋เหนียงนั่งอยู่ด้วย
เหวินอี๋เหนียงไปหาสืออีเหนียงตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ได้ยินว่าจิ่นเกอไม่สบาย คิดว่าสืออีเหนียงคงไม่มีอารมณ์ต้อนรับนาง จึงกลับมาก่อน
ก็บังเอิญเจอกับหยางอี๋เหนียงระหว่างทางพอดี
“พี่หญิงมาเช้าเสียจริงเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วคำนับเหวินอี๋เหนียง “ออกมาจากเรือนของฮูหยินแล้วหรือ!”
ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่พูด แต่หยางอี๋เหนียงไปที่เรือนหลักประเดี๋ยวนางก็รู้ ทำไมต้องทำเรื่องที่ทำร้ายคนอื่นแล้วยังไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง!
นางจึงเล่าสถานการณ์ให้หยางอี๋เหนียงฟังอย่างกระชับ
หยางอี๋เหนียงตกใจ
เด็กไม่ทานนม…เช่นนี้ก็หมายความว่าเด็กคนนี้ผิดปกติ!
หากไปหาเขาตอนนี้ ก็ยิ่งไปสร้างปัญหาให้ฮูหยิน
นางจึงจับแขนเหวินอี๋เหนียงอย่างรวดเร็ว “ช่วงนี้ยุ่งอยู่กับการเย็บปักถักร้อย ไม่ได้คุยกับพี่หญิงเลย วันนี้บังเอิญเจอกันพอดี ข้าไปรบกวนพี่หญิงที่เรือนดีกว่า!”
เหวินอี๋เหนียงรู้ว่านางไม่อยากไปเรือนของสืออีเหนียง จึงยิ้มแล้วเชิญหยางอี๋เหนียงเข้ามาที่เรือนของตัวเอง
หยางอี๋เหนียงถามถึงเรื่องแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ “นับวันดูแล้ว คนของซังโจวน่าจะมาแล้วใช่หรือไม่”
เหวินอี๋เหนียงบอกให้สาวใช้ชงชาปี้หลัวชุนชั้นดีมาต้อนรับนาง “ฮูหยินเลื่อนออกไปหลังพิธีขึ้นปิ่นปักผมของคุณหนูใหญ่!”
หยางอี๋เหนียงประหลาดใจ นางพูด “เช่นนั้นก็หมายความว่าต้องรออีกสองปีหรือ”
“รออีกสองปีก็ดีเหมือนกัน” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “โตขึ้นหน่อย แต่งงานออกไปจะได้รู้ความ อยู่ต่อหน้าแม่สามีไม่เหมือนอยู่ที่จวน ทำผิดขึ้นมาคงไม่มีใครให้อภัย”
หยางอี๋เหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็พูดความในใจกับเหวินอี๋เหนียง “สองสามวันนี้ทำงานปักให้ฮูหยินและคุณชายน้อยหก แต่ไม่รู้ว่าทำไม ฮูหยินดูไม่ค่อยชอบสักเท่าไร ข้าไม่เคยเห็นฮูหยินใช้เลย พี่หญิงแต่งเข้ามาเร็วที่สุด อีกทั้งฮูหยินยังโปรดปรานพี่หญิงมากที่สุด ข้าอยากถามพี่หญิงมาตลอดว่าฮูหยินชอบอะไรบ้างหรือเจ้าคะ”
“งานปักของข้านั้นแย่ที่สุด เจ้าถามเรื่องอื่น ข้ายังพอจะให้คำตอบได้ แต่เจ้าถามเรื่องพวกนี้ ข้าไม่รู้อะไรเลย” เหวินอี๋เหนียงแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ นางยิ้ม “ฮูหยินชอบข้าก็คงเพราะว่าข้านับลูกคิดเก่ง!”
หยางอี๋เหนียงเห็นว่าเหวินอี๋เหนียงไม่ยอมตอบอะไร ก็อดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่าเหวินอี๋เหนียงคนนี้เจ้าเล่ห์ จะว่าไปแล้ว นางกับเหวินอี๋เหนียงเป็นศัตรูกัน นางเองก็ไม่ได้หวังว่าเหวินอี๋เหนียงจะแนะนำอะไรให้ แต่แค่คิดว่านางก้มหัวให้เหวินอี๋เหนียงตลอด แต่เหวินอี๋เหนียงก็ไม่เคยอยากใกล้ชิดนางหรือห่างเหินนาง นางจึงรู้สึกหดหู่ในใจ แต่พอคิดว่าตัวเองไม่ค่อยคุ้นเคยกับจวนหลังนี้ หากอยากรู้สถานการณ์ของเรือนหลัก วิธีที่ดีที่สุดก็คืออยู่กับเหวินอี๋เหนียง…เช่นนี้หากเกิดอะไรขึ้น นางก็จะได้เตรียมตัวทัน
นางยิ้มแล้วพูดคุยกับเหวินอี๋เหนียงอยู่นาน มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าคุณชายน้อยหกหายดีแล้ว!
หยางอี๋เหนียงรู้สึกแปลกๆ อย่างอธิบายไม่ถูก รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไปไม่น้อย
เหวินอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด มองดูสีหน้าของหยางอี๋เหนียง นางก็แอบถอนหายใจในใจแล้วพูดว่า “ในที่สุดก็ดีขึ้น ฮูหยินคลอดยาก ต่อมาคุณชายน้อยหกก็ไม่สบาย แต่ตอนนี้ทุกอย่างล้วนผ่านพ้นไปแล้ว”
หยางอี๋เหนียงเองก็เป็นคนฉลาด นางได้สติกลับมาทันที รีบยิ้มแล้วพูดว่า “ล้วนแต่เป็นวาสนาของฮูหยินเจ้าค่ะ” จากนั้นก็จับแขนเหวินอี๋เหนียง “เรื่องดีๆ เช่นนี้ เราต้องไปแสดงความยินดีกับฮูหยิน”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วออกไปที่เรือนหลักกับนาง ก็เห็นสาวใช้และท่านป้าล้อมรอบไท่ฮูหยินและฮูหยินสองเดินเข้าไปที่เรือนของสืออีเหนียง
ไม่ว่าจะเป็นไท่ฮูหยินหรือฮูหยินสอง ถึงแม้ว่าพวกนางจะดีกับตน แต่กลับไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น ไม่เหมือนสืออีเหนียง ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ มันจึงทำให้ตนรู้สึกสนิทสนมกับสืออีเหนียงมากกว่า
เหวินอี๋เหนียงไม่อยากเข้าไปร่วมสนุกด้วย จึงพาหยางอี๋เหนียงกลับมา “ประเดี๋ยวเราค่อยไปหาฮูหยินดีกว่า!”
หยางอี๋เหนียงลังเล เห็นเหวินอี๋เหนียงเดินออกไปไกลแล้ว นางจึงเม้มปากแล้วเดินตามเหวินอี๋เหนียงกลับไป
พึ่งจะนั่งลงดื่มชา สาวใช้ก็มารายงานว่าไท่ฮูหยินไปแล้ว พวกนางสองคนจึงไปหาสืออีเหนียงที่เรือนหลักอีกครั้ง
เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นเหวินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงเข้ามา นางก็ยิ้มแล้วคำนับพวกนาง
เหวินอี๋เหนียงเคยคลอดลูกมาก่อน นางเดินเข้าไปถามถึงสถานการณ์เสียงเบา สืออีเหนียงรู้สึกเขินอายที่พูดเรื่องพวกนี้ นางจึงเล่าให้ฟังเพียงสองสามประโยค ส่วนหยางอี๋เหนียงกำลังจ้องมองดูจิ่นเกออย่างระมัดระวัง
ห่อตัวด้วยผ้าอ้อมสีแดง ใบหน้าของเขาสีแดงก่ำ กำลังนอนหลับสนิท จมูกโด่ง หน้าตาคล้ายคลึงกับสวีลิ่งอี๋
นางกำลังก้มหน้าลงเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงเหวินอี๋เหนียง “ฮูหยินต้องรักษาสุขภาพให้ดีนะเจ้าคะ ในจวนยังมีเรื่องรอให้ฮูหยินตัดสินใจอีกเยอะแยะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า สีหน้าของนางมีความเหนื่อยล้าเล็กน้อย
เหวินอี๋เหนียงเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยขอตัวลา “พรุ่งนี้คือพิธีสรงสามของคุณชายน้อยหก ท่านรีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้สืออีเหนียงเป็นห่วงบุตรชายอยู่ตลอด ตอนนี้นางสบายใจขึ้นแล้ว จึงรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ จู๋เซียงช่วยเหวินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงเปิดม่าน เจินเจี่ยเอ๋อร์เองก็ลุกขึ้นขอตัวลา สืออีเหนียงหอมแก้มจิ่นเกอ จากนั้นก็นอนหลับไป
*****
สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาอย่างสง่างาม เห็นแม่ลูกที่ผมดำดกเหมือนกันนอนหลับอย่างสบายใจบนเตียง เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
จู๋เซียงเดินเข้ามาต้อนรับ ยังไม่ได้พูดอะไร สวีลิ่งอี๋ก็ยกมือขึ้นห้าม บอกให้นางไม่ต้องส่งเสียง จากนั้นก็เดินออกไปเงียบๆ
“ทำไมจิ่นเกอถึงอยู่กับฮูหยิน แม่นมเล่า ยังเลือกไม่ได้อีกหรือ” สวีลิ่งอี๋มาถึงเรือนหลัก
“เลือกแล้วเป็นแม่นมกู้เจ้าค่ะ” จู๋เซียงรีบพูดต่ออีก “ฮูหยินบอกว่า คุณชายน้อยหกพึ่งจะทานยาไปได้เม็ดเดียว จึงให้อยู่กับฮูหยินก่อนเจ้าค่ะ” ในขณะที่กำลังรายงาน ก็มีสาวใช้ตักน้ำล้างหน้าเข้ามา
นางรับใช้สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตา บอกให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามา สวีลิ่งอี๋รีบทานไปสองสามคำ จากนั้นก็ไปที่ห้องเอ่อร์ฝัง
ได้ยินว่าจะเชิญหมอหลวงอู๋มาตรวจดูบุตร เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้วเข้าไปในวัง ฮ่องเต้ก็เรียกเขาเข้าเฝ้า เขาเอาแต่คิดในใจว่าประเดี๋ยวเจอกับฮ่องเต้ควรจะทูลอย่างไร ไม่ว่าหมอหลวงอู๋คนนั้นเข้ามาดูหรือหาใครในวัง ก็ต้องพาเขาออกมากับตัวเองให้ได้
ทันทีที่ย่างเท้าออกมาจากพระราชวัง ก็เห็นบ่าวรับใช้จวนตัวเองยืนรออยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล…สวีลิ่งอี๋ยังจำได้ว่า ตอนนั้นเขารู้สึกเป็นห่วงคนในครอบครัวมากขนาดไหน กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น…
แต่เมื่อมาเห็นหน้าพวกเขาสองแม่ลูก นอนอยู่บนเตียงอย่างปลอดภัย…จู่ๆ เขาก็รู้สึกสบายใจและพึงพอใจ…ยื่นมือออกไปจับแก้มบุตรชายเบาๆ
สืออีเหนียงลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ท่านโหวเจ้าคะ!” นางมองเขาด้วยความตกใจ สายตาเป็นประกาย หลังจากนั้นก็ยิ้มด้วยสีหน้าที่ดีใจ “ท่านกลับมาเมื่อไร เหตุใดถึงไม่เรียกข้า ข้าส่งบ่าวรับใช้ไปรายงานท่าน ท่านเจอเขาแล้วหรือยังเจ้าคะ” พูดจบ นางก็ลุกขึ้นนั่งแล้วพูดย้ำว่า “จิ่นเกอทานยาของหมอหญิงเผิงไป หายดีแล้ว”
ดูเหมือนว่านางรอเขากลับมาเพื่อจะได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็รู้สึกตื้นตันใจอยู่ไม่น้อย
เขากดไหล่ของนางให้นอนลง “เจ้าอย่าเอาแต่ดูแลลูก ต้องดูแลตัวเองด้วย รีบนอนลงเร็วเข้า!” เขาพูดต่อไปว่า “บ่าวรับใช้ที่เจ้าส่งไปข้าเจอกับเขาแล้ว หลังจากที่รู้ว่าจิ่นเกอไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าก็แยกย้ายกับหมอหลวงอู๋ที่หน้าประตูวัง”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมอง ลืมไปว่าตัวเองอยู่ที่ห้องเอ่อร์ฝัง ไม่เห็นเงานาฬิกาไขลาน นางก็หัวเราะออกมา “ตอนนี้กี่ยามแล้วเจ้าคะ ท่านโหวทานอะไรแล้วหรือยัง”
“ทานแล้ว!” สวีลิ่งอี๋หยิบนาฬิกาพกออกมาดู “ตอนนี้ยังไม่ถึงยามเซิน” จากนั้นเขาก็ถามนางว่า “ทำไมหรือ”
ยังไม่ถึงยามเซิน...เขาทานข้าวแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว…เช่นนั้นก็หมายความว่า เขากลับมาตั้งนานแล้ว…เขากราบทูลอะไรกับฮ่องเต้ ฝืนตัวเองหรือไม่
สืออีเหนียงมีคำถามอีกตั้งมากมายที่อยากจะคุยกับสวีลิ่งอี๋ แต่กลับไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรก่อน
นางลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ ลูบผมที่อ่อนนุ่มของเขา
*****
ตกเย็น ป้าซ่งก็กลับมาพร้อมกับยาสมุนไพร
“เดิมที่น่าจะกลับมาตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ” รู้ว่าจิ่นเกอหายดีแล้ว นางก็ยิ้มหน้าบาน “แต่อวี๋ฮูหยินกลับให้บ่าวอยู่พูดคุยเป็นเพื่อน ถามอะไรตั้งเยอะแยะ บ่าวจึงกลับมาช้า” จากนั้นก็ยื่นยาให้จู๋เซียง “โสมอายุห้าสิบปีสองชิ้น อวี๋ฮูหยินรู้ว่าฮูหยินพึ่งจะคลอด ร่างกายยังอ่อนแอ จึงให้บ่าวนำกลับมาให้ฮูหยินบำรุงร่างกาย แล้วยังบอกอีกว่า นอกประตูเซวียนอู่มีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าวัดจั่งชุน ผู้ดูแลของที่นั่นเชี่ยวชาญ์เรื่องการรักษาโรคของเด็กเล็ก บอกให้บ่าวกลับมาบอกฮูหยิน ให้พาคุณชายน้อยหกไปที่วัดจั่งชุน แต่ตอนนี้คุณชายน้อยหกหายดีแล้ว ต้องส่งคนไปรายงานอวี๋ฮูหยินเพื่อให้อวี๋ฮูหยินสบายใจเจ้าค่ะ” นางพูดต่ออีก “ส่วนฝั่งนายหญิงเฉียน ซินเกอไม่สบายจึงบอกว่าพิธีสรงสามคงจะมาไม่ได้ รอให้จิ่นเกออายุครบเดือนจะต้องพาซินเกอมาเยี่ยมเยียนแน่นอนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ บอกให้จู๋เซียงส่งป้ารับใช้ผู้ดูแลไปรายงานซื่อเหนียง ถามถึงสถานการณ์ของซินเกอ จากนั้นก็บอกให้หู่พั่วไปดูด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้
วันต่อมา ฮูหยินของหย่งชังโหวสกุลหวงมาถึงก่อน จากนั้นเวยเป่ยโหวสกุลหลิน ติ้งกั๋วกงตระกูลเจิ้งและจงซานโหวสกุลถังที่อยู่ข้างๆ…ก็ตามมาติดๆ
ทุกคนเข้ามาดูจิ่นเกอถึงในห้อง เมื่อสาวใช้ยกน้ำตาลทรายแดงเข้ามา ก็นั่งดื่มน้ำตาลทรายแดงข้างเตียง ถามสืออีเหนียงว่าคลอดราบรื่นหรือไม่ ตอนแรกสืออีเหนียงจะตอบทีละคำถาม ต่อมาเห็นว่าทุกคนถามกันอย่างไม่หยุดหย่อน จึงบอกเพียงว่าตัวเองคลอดอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาใด เช่นนี้ ทำให้คุณนายสามสกุลหวงเล่าเรื่องที่ตัวเองเจอตอนคลอด สืออีเหนียงฟังจนหน้าแดง จึงถูกคุณนายใหญ่สกุลหลินหัวเราะหยอกเย้า
เมื่อถึงตอนกลางวัน ฮูหยินห้าก็พาคนที่มานั่งเล่นในเรือนของสืออีเหนียงไปทานข้าวที่โถงบุปผา หลังจากนั้นหมอตำแยที่มาจากพระราชวังก็เริ่มทำพิธีสรงสาม
เหรียญที่โยนลงในอ่างมีทุกเหรียญ ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและฮูหยินห้าโยนเหรียญทองลงไป ทำเอาหมอตำแยสองคนนั้นชอบอกชอบใจ พูดคำมงคลไม่หยุด ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นไม่น้อย
เมื่อจิ่นเกออาบน้ำ เขาก็ไม่ร้องเอะอะโวยวาย ทำเพียงกลอกดวงตาสีดำสำรวจมองไปรอบๆ ทำเอาเจิ้งไท่จวินที่สุขุมมาตลอดพึงพอใจเป็นอย่างมาก หลังจากพิธีสรงสาม เขาก็อุ้มจิ่นเกออยู่นานแล้วค่อยกลับจวน