ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 464 แรกเกิด(ปลาย)
หมอหญิงเผิงถึงกับตื่นตระหนก
นางคิดไม่ถึงว่าจะเจอกับคนที่รู้เรื่องการแพทย์
จะดึงมือที่ยื่นออกไปกลับมาก็ไม่ได้ ยื่นอยู่เช่นนั้นก็ไม่ได้ นางหน้าขึ้นสี
สืออีเหนียงยิ่งแน่ใจว่าหมอหญิงเผิงคนนี้ไม่ใช่หมอจริงๆ
นางมองไปที่หมอหญิงคนนั้นอย่างไม่ละสายตาด้วยสีหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ทันใดนั้น ทุกคนในห้องก็กลั้นหายใจมองดูพวกนาง มีแค่จิ่นเกอที่ยังร้องไห้เสียงดัง แล้วก็เพราะว่าพวกนางเงียบ เสียงร้องไห้จึงดังขึ้นกว่าเดิม ทำให้เขาดูราวกับทรมานมากกว่าเดิม
หัวใจของสืออีเหนียงถูกบีบแน่น สีหน้าของนางค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น
บรรยากาศในห้องก็ยิ่งตึงเครียด
หมอหญิงเผิงนึกถึงสายตาอาฆาตของสวีลิ่งอี๋ตอนอยู่ในห้องคลอด นางก็ตัวสั่น เสียใจที่ตัวเองอยู่ที่จวนต่อเพราะเห็นแก่เงินรางวัลของจวนท่านโหว แล้วก็นึกถึงเงินรางวัลของสกุลสวีที่นางเก็บไว้ในห่อผ้า หรือว่านางเดินเข้ามาในภูเขาสมบัติเช่นนี้แต่ต้องกลับไปมือเปล่าอย่างนั้นหรือ
คิดเช่นนี้ นางก็กัดฟันพูด “ชีพจรของคุณชายน้อยปกติดีเจ้าค่ะ…ไม่มีอะไรผิดปกติ…มั่นคงและมีแรงอยู่เจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงฟังนางแก้ตัวอยู่ตรงนั้น ยิ่งรู้สึกโมโหขึ้นมา
“ชิวอวี่” นางขัดจังหวะหมอหญิงเผิง “เจ้าไปนำป้ายชื่อของท่านโหวที่ห้องหนังสือของท่านโหวมา บอกให้พ่อบ้านไป๋ส่งนางไปที่กรมพระราชวัง แล้วก็บอกผู้ดูแลกรมพระราชวัง ให้พวกเขาให้คำอธิบายข้า”
หมอหญิงเผิงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
ตอนที่บรรดาขุนนางในพระราชวังอยากจะจัดการนางในของพระราชวังให้ตาย ถึงแม้บรรดาคนน่าเวทนาที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะตาย แต่พวกเขาทำราวกับเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องเล็ก มักพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้
นางคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว
“ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวพูดความจริง บ่าวพูดความจริงเจ้าค่ะ” หมอหญิงเผิงอยากจะทำให้สืออีเหนียงใจอ่อน นางกะพริบตาแล้วร้องไห้ “ยาหุยชุนตันของครอบครัวเผิงของเรา คือสูตรลับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ สืบทอดให้บุตรชายไม่สืบทอดให้บุตรสาว สืบทอดให้ลูกสะใภ้แต่ไม่สืบทอดให้ลูกเขยเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร ทานแค่สามเม็ดก็จะหาย หากไม่ดีขึ้น ทานเยอะแค่ไหนก็ไม่มีทางดีขึ้นเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ตกใจ
หมอหญิงเผิงเห็นเช่นนี้ก็ส่งเสียงร้องไห้ดังกว่าเดิม “ฮูหยิน ข้าไม่ได้โกหกท่านจริงๆ นะเจ้าคะ ตอนที่องค์หญิงน้อยท้องเสีย หมอหลวงของสำนักหมอหลวงรักษากว่าครึ่งเดือนก็ไม่ดีขึ้น รอดมาได้ก็เพราะยาหุยชุนตันนี้ ต่อมาจวิ้นจู่น้อยขององค์ไท่จื่อมีเสมหะ ก็ทานยาหุยชุนตันเหมือนกันเจ้าค่ะ”
ฟังนางพูดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็เริ่มคล้อยตาม
เดิมทีหมอหญิงเผิงเคยเป็นหมอดูทำนายดวงชะตาในชนบท รักษาโรคต่างๆ ของเด็กน้อย นางจึงสังเกตสีหน้าคนเก่งที่สุด เมื่อเห็นสืออีเหนียงสีหน้าผ่อนคลายลง จึงรีบพูดว่า “ข้าเคยเห็นอาการที่เหมือนกับคุณชายน้อยหก จึงกล้านำยาออกมา หากประเดี๋ยวคุณชายน้อยทานยาแล้วยังไม่ดีขึ้น ท่านค่อยส่งข้าไปที่กรมพระราชวังก็ได้นี่เจ้าคะ ข้าพูดมากไปก็เป็นแค่คนต่ำต้อยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงมองดูจิ่นเกอที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด นึกถึงเรื่องที่ชนบทมักจะมีคนมีความสามารถซ่อนตัวอยู่ ยาโบราณส่วนใหญ่ไม่รุนแรง นางจึงใจอ่อน “เม็ดหนึ่งทานสามครั้ง หรือว่าทั้งหมดทานสามครั้ง!”
หมอหญิงเผิงท่าทางดีอกดีใจทันที
บรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
“เม็ดหนึ่งทานสามครั้งเจ้าค่ะ!” หมอหญิงเผิงพูดอย่างขยันขันแข็งราวกับกลัวว่าสืออีเหนียงจะเปลี่ยนใจ “ข้าจะไปทำยาให้คุณชายน้อยประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า
หงเหวินรีบยกน้ำร้อนเข้ามา
หลังจากละลายยาเรียบร้อย หมอหญิงเผิงก็บีบกรามจิ่นเกอแล้วป้อนยาลงไป
จิ่นเกอร้องไห้แต่เขาขยับไม่ได้ เด็กน้อยที่ถูกห่อตัวอยู่ในผ้าอ้อมบิดไปมา แล้วยังถูกห่อแน่น ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสงสาร
สืออีเหนียงบอกหมอหญิงเผิงอยู่ข้างๆ “เบามือหน่อย เบามือหน่อย!”
ยาที่ป้อนเข้าไปไม่หกออกมาเลยแม้แต่หยดเดียว จิ่นเกอเองก็ไม่สำลัก
สืออีเหนียงเริ่มมีความหวังขึ้นในใจ
ทานยาหมดไปถ้วยหนึ่ง หมอหญิงเผิงก็อุ้มจิ่นเกอพาดบ่าเดินไปเดินมาในห้อง
“กำลังทำอะไร” สืออีเหนียงถามนางด้วยความเป็นห่วงลูกน้อย
หมอหญิงเผิงพูด “ต้องให้เขาคายสิ่งที่ติดอยู่ในคอออกมาเจ้าค่ะ” ทันทีที่พูดจบ จิ่นเกอก็เรอออกมา จากนั้นก็อาเจียนยาสีน้ำตาลออกมา
ทุกคนในห้องล้วนตกใจ แต่หมอหญิงเผิงกลับพูดอย่างดีใจ “ได้ผล ได้ผลแล้วเจ้าค่ะ”
ที่จริงแล้วหมอหญิงเผิงก็พึ่งดวง!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของป้าวั่น แต่นางไม่มีเวลาคิดอะไร รีบเรียกสาวใช้ไปตักน้ำเข้ามาทำความสะอาดตัวจิ่นเกอ
*****
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา จิ่นเกอก็เริ่มทานนม
ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
สืออีเหนียงรีบบอกชิวอวี่ “ไปบอกพ่อบ้านไป๋ลานข้างนอก บอกให้ส่งบ่าวรับใช้ไปเฝ้าที่นอกประตูวัง หากท่านโหวออกมาก็รายงานท่านโหวทันที เขาจะได้ไม่เป็นห่วง”
ชิวอวี่ขานรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงเพิ่งสังเกตว่าหน้าผากของตัวเองมีแต่เม็ดเหงื่อ
นางอุ้มจิ่นเกอที่ทานอิ่มแล้วนอนหลับไป ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ยิ้มแล้วบอกป้าวั่น “ไปบอกพ่อบ้านไป๋ว่าเลือกแม่นมกู้!”
แม่นมกู้มาจากจวนแม่นม ในเมื่อเลือกนาง ก็ต้องทำตามขั้นตอน
แม่นมกู้รีบคุกเข่าลงแล้วเอ่ยขอบพระคุณสืออีเหนียง
ป้าวั่นยิ้มแล้วขานรับ จากนั้นก็พาแม่นมกู้ออกไปด้วย หงเหวิน สาวใช้ในเรือนของจิ่นเกอเล่ากฎเกณฑ์ของจวนให้นางฟัง จัดการที่พักผ่อนให้นาง ส่งซิ่วเหลียนไปรายงานไท่ฮูหยิน ส่งอวี้เหมยไปรายงานที่โรงครัวเล็ก “คุณหนูใหญ่ก็อยู่ด้วย ทำอาหารที่คุณหนูใหญ่ชอบทานด้วย”
อวี้เหมยตอบรับแล้วเดินออกไป ป้าวั่นเห็นหู่พั่วและจู๋เซียงกำลังกระซิบกระซาบอะไรกันพลางเดินเข้ามา
ตอนที่สืออีเหนียงคลอด หู่พั่วอยู่ในห้องคลอด จู๋เซียงอยู่นอกห้องคลอด พวกนางสองคนไม่หลับไม่นอนสองวันสองคืน ฟ้าใกล้สว่างถึงออกไปพักผ่อน คิดไม่ถึงว่าจะมาที่นี่ตอนนี้
ป้าวั่นยิ้มแล้วทักทายพวกนาง “เหตุใดถึงไม่พักผ่อนอีกสักหน่อย”
หู่พั่วเป็นห่วงจิ่นเกอ “คุณชายน้อยหกทานอะไรแล้วหรือยังเจ้าคะ”
ป้าวั่นเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้นางฟัง แล้วยังโอ้อวดว่าตัวเองมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย
พวกนางได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ บอกว่า “โชคดีที่มีป้าวั่นคอยดูแล” จากนั้นก็เข้าไปที่ห้องเอ่อร์ฝังกับป้าวั่น
สืออีเหนียงพิงหมอนใบใหญ่ที่หัวเตียงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เจินเจี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างเตียง นางกำลังยิ้มพลางจ้องมองดูจิ่นเกอ “…ท่านแม่ ท่านดูเส้นผมของน้องหกสิ เหมือนข้าหรือไม่” พูดจบก็ปัดหน้าม้าของตัวเองให้สืออีเหนียงดู
“เหมือนจริงๆ” สืออีเหนียงยิ้ม แต่ทันทีที่เห็นหู่พั่วและคนอื่นๆ เข้ามานางก็แปลกใจ “ทำไมพวกเจ้ามาเร็วเช่นนี้” นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ก็สายแล้ว นางจึงถามด้วยความเป็นห่วง “พวกเจ้าทานข้าวกลางวันมาแล้วหรือยัง”
พวกนางสองคนคำนับสืออีเหนียงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ทานแล้วเจ้าคะ” จากนั้นก็ถามถึงจิ่นเกอพร้อมกัน “ได้ยินมาว่าคุณชายน้อยหกทานนมแล้วหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดก็ยอมทานนม” นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของนาง
หู่พั่วและคนอื่นๆ พากันหัวเราะ
สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ นางพูดกับหู่พั่ว “ถ้าเจ้าไม่มา ข้าก็กำลังจะส่งคนไปเรียกเจ้ามาอยู่พอดี” จากนั้นก็ชี้ไปที่ตู้บนหัวเตียง “รายชื่อของพิธีสรงสามอยู่ในนั้น เจ้าลองดูว่ามีอะไรขาดเกินหรือไม่ นำไปให้ป้าตู้ก่อนยามเว่ย”
หู่พั่วยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ”
ป้าเถียนและอวี้เหมยบอกให้ป้ารับใช้ยกอาหารเข้ามา อวี้เหมยและเสี่ยวหลีรับใช้เจินเจี่ยเอ๋อร์ทานข้าวที่เตียงเตา ส่วนป้าเถียนรับใช้สืออีเหนียงทานข้าวต้มบนเตียง “…ต้มด้วยไก่ดำ จากนั้นก็นำกากออก ใช้เมล็ดข้าว ข้าวกล่องและข้าวเหนียวต้มเป็นข้าวต้ม อร่อยหรือไม่เจ้าคะ”
ตอนนี้สืออีเหนียงเห็นอะไรก็ชอบไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าวต้มที่หอมและหนึบเช่นนี้ นางยิ้มแล้วพยักหน้า “ตักให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ถ้วยหนึ่ง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นคือของท่านแม่นะเจ้าคะ…”
“ล้วนแต่เป็นอาหารบำรุงร่างกาย” สืออีเหนียงบอก “เจ้าก็ทานเสียบ้าง”
พวกนางสองคนพูดคุยหัวเราะกัน ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองก็มาพอดี
“บอกว่าเริ่มทานนมแล้ว!” นางพูดด้วยความดีใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” กำลังจะถามว่าไท่ฮูหยินทานข้าวมาแล้วหรือยัง สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็มาพอดี เมื่อเห็นไท่ฮูหยินอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ทำหน้าประหลาดใจ
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็รู้สึกขบขัน รีบทำสีหน้าเคร่งขรึม “บอกว่าไม่ให้พวกเจ้ามารบกวนท่านแม่ เลิกเรียนแล้วก็ให้ตรงไปที่เรือนของข้าไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังมาที่นี่!”
สวีซื่อเจี้ยและไท่ฮูหยินไม่ได้สนิทสนมกันมากขนาดนั้น เขากลัวไท่ฮูหยินมาตลอด ได้ยินเช่นนี้ก็จับแขนเสื้อสวีซื่อจุนแล้วเดินไปหลบอยู่หลังเขา
สวีซื่อจุนมองไปที่สืออีเหนียง เขาพูดตะกุกตะกัก “พวกเรา พวกเรามาหาน้องหกประเดี๋ยวก็กลับแล้วขอรับ ประเดี๋ยวก็จะไปทานข้าว ไม่รบกวนเวลานอนกลางวันของท่านแม่ขอรับ”
ไท่ฮูหยินแอบหัวเราะในใจ นางพูดว่า “รีบดูแล้วก็รีบกลับไป ป้าตู้รอรับใช้พวกเจ้าทานข้าวเที่ยงอยู่!”
พวกเขาสองคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก วิ่งไปดูจิ่นเกอบนเตียงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เห็นว่าน้องหกกำลังนอนหลับ สวีซื่อจุนก็ผิดหวัง เขาพูดเบาๆ “ทำไมทุกครั้งที่ข้ามาเขาต้องนอนหลับตลอด!”
สืออีเหนียงจับไหล่ของเขา “เพราะว่าเขายังเด็ก รอให้เขาโตขึ้นอีกสักหน่อย เขาก็จะนอนน้อยลง!”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านย่านอนน้อยที่สุดหรือขอรับ?” สวีซื่อเจี้ยที่ยืนเบียดอยู่ข้างสวีซื่อจุนก็พูดขึ้นมา
ทุกคนในห้องพากันหัวเราะ แม้แต่ไท่ฮูหยินก็กลั้นไม่ไหว
สวีซื่อเจี้ยเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งกล้าหาญขึ้นกว่าเดิม “จริงๆ นะขอรับ เมื่อคืนข้าเห็นท่านย่าลุกมาห่มผ้าให้พวกเรา!”
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็รีบปิดปากสวีซื่อเจี้ย
ทุกคนในห้องล้วนแต่ตกใจ
ไท่ฮูหยินนึกถึงตอนที่สวีซื่อจุนเกิดเรื่องขึ้นตอนกลางคืน ครั้งนี้สะใภ้หย่งหนานอยู่รับใช้ที่เรือน สีหน้าของนางก็เคร่งขรึมขึ้น “ดึกขนาดนั้นแล้ว ทำไมพวกเจ้ายังไม่นอน” คนอื่นๆ ก็เอียงหูฟัง
สวีซื่อจุนไม่กล้าพูดอะไร ไท่ฮูหยินมองไปที่สวีซื่อเจี้ย สวีซื่อเจี้ยเห็นว่าสวีซื่อจุนไม่พูดอะไร เขาก็เม้มปาก ทำท่าทีไม่ยอม
ไท่ฮูหยินทั้งโมโหทั้งตลก
สืออีเหนียงรีบพูด “ทำผิดก็ต้องแก้ไข หากรู้ว่าผิดแต่ไม่แก้ไข ยังไม่พูดความจริงกับผู้ใหญ่ ท่านย่าจะโกรธพวกเจ้าแล้วนะ!”
สวีซื่อจุนไม่รู้จะทำเช่นไร “ข้าและน้องห้าทำโคมไฟให้น้องหกขอรับ”
“ทำโคมไฟ?”
สวีซื่อจุนก้มหน้าลง “อยากนำไปแขวนตอนน้องหกครบเดือนขอรับ”
อยากจะเซอร์ไพรส์ทุกคนใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงจับไหล่สวีซื่อจุน “ทำให้น้องหกเช่นนั้นหรือ”
สวีซื่อจุนพยักหน้า
“ตอนนี้เขาหลับไปแล้ว ไม่ได้ยินที่เจ้าพูดอยู่ดี เราจะไม่บอกเขา เช่นนี้เขาก็จะยังไม่รู้ ใช่หรือไม่?”
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย
“แต่ว่า พวกเจ้าจะใช้เวลานอนทำโคมตอนกลางคืนไม่ได้ หากอยากทำก็ต้องทำตอนกลางวัน ไม่หลับไม่นอน จะมีสมาธิฟังอาจารย์เจียงสอนได้เช่นไร หากอาจารย์เจียงรู้ว่าเขาสอนแล้วพวกเจ้าไม่ฟัง เขาคงจะเสียใจไม่น้อย”
สวีซื่อจุนพยักหน้าซ้ำๆ แม้แต่สวีซื่อเจี้ยก็พยักหน้าตาม
ฮูหยินสองเห็นเช่นนี้ สายตาของนางก็เป็นประกาย