ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 463 แรกเกิด(กลาง)
ท่ามกลางความงงงวย ดูเหมือนสืออีเหนียงจะได้ยินเสียงเด็กร้องไห้
นางลุกขึ้นมานั่งอย่างกะทันหัน แต่กลับเห็นป้าวั่นนั่งอยู่บนเตียงเตา กำลังตบตัวจิ่นเกอที่อยู่ในอ้อมแขนเบาๆ
“ฮูหยิน” ชิวอวี่ที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาสอบถาม “ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
ป้าวั่นที่ได้ยินเสียงก็หันหน้ามามอง
ตอนกลางวันมีเรื่องกังวลใจ ตอนกลางคืนจึงเก็บไปฝัน ยิ่งบุตรชายไม่ยอมทานอะไร นางจะนอนหลับอย่างสบายใจได้เช่นไร!
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” สืออีเหนียงพิงหมอนช้าๆ “จิ่นเกอเป็นเช่นไรบ้าง”
ชิวอวี่ได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้ามืดมนลง “ตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ป้าวั่นบอกให้แม่นมกู้มาป้อนนมคุณชายน้อยหก แต่คุณชายน้อยหกก็ไม่ยอมทานเจ้าค่ะ ป้าวั่นจึงป้อนน้ำเปล่าเขานิดหน่อย”
สืออีเหนียงรู้สึกเป็นกังวล “ตอนนี้ยามใดแล้ว”
ชิวอวี่พูด “อีกหนึ่งเค่อจะถึงยามอู่เจ้าค่ะ”
“ให้หมอหลวงอู๋ดูแล้วหรือยัง”
ชิวอวี่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวรับใช้บอกว่า วันนี้หมอหลวงอู๋เข้าวัง ต้องรอถึงยามเว่ยถึงจะออกมาได้เจ้าค่ะ”
ออกมาจากพระราชวัง กว่าจะมาถึงเหอฮวาหลี่ ก็ยามเซินแล้วกระมัง
ป้าวั่นอุ้มจิ่นเกอเดินเข้ามา
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ท่านโหวได้ยินเช่นนี้ก็รีบไปพระราชวังทันที!”
สืออีเหนียงตกใจ “ตั้งแต่เมื่อไร”
ป้าวั่นพูด “ไปตั้งแต่ยามซื่อแล้วเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นก็หมายความว่าออกไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว
ยื่นป้ายชื่อ พบฮ่องเต้ ขอพระราชโองการ กลับมาเหอฮวาหลี่…เรื่องพวกนี้ ถึงแม้ว่าจะราบรื่นทุกอย่าง แต่ก็ต้องรอถึงยามเว่ย ถึงตอนนั้น หมอหลวงอู๋ก็คงจะออกมาจากพระราชวังแล้ว แทนที่จะเข้าไปขอพระราชโองการจากฮ่องเต้ในพระราชวัง ไม่สู้ส่งผู้ดูแลไปรอที่นอกประตูพระราชวังยังจะดีกว่า!
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
สวีลิ่งอี๋เข้าออกพระราชวังบ่อยครั้ง เขาต้องรู้ข้อดีกับข้อเสียมากกว่านางแน่นอน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไป…เพราะว่าแทนที่จะรออยู่เฉยๆ ไม่สู้ทำอะไรให้ตัวเองรู้สึกสบายใจดีกว่ากระมัง
สืออีเหนียงรับจิ่นเกอมาจากป้าวั่น มองดูใบหน้าเล็กๆ ที่กำลังหลับสนิทของเขา นางอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงไปหอมแก้มเขา
แก้มของเขานุ่มละมุน สมกับเป็นผิวของเด็กทารก
ตั้งแต่คลอดออกมาจนถึงตอนนี้ ก็ผ่านไปเกือบครึ่งค่อนวันแล้ว ทานแค่น้ำเปล่าสองสามครั้ง…เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ไม่อยากทานน้ำนมของแม่นม? หรือว่าไม่สบายตรงไหนแต่ยังพูดบอกไม่ได้…
คิดเช่นนี้ นางก็ดึงผ้าอ้อมของเขาด้วยความไม่สบายใจ
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ!”
ชิวอวี่รีบอธิบาย “ฮูหยิน ท่านพึ่งจะนอนหลับไปคุณหนูใหญ่ก็มาพอดี เห็นว่าท่านและคุณชายน้อยหกกำลังหลับอยู่ คุณหนูใหญ่จึงมาดูคุณชายน้อยหกแล้วกลับไปก่อน บอกว่าประเดี๋ยวค่อยมาหาท่านใหม่” ฮูหยินตื่นขึ้นมาก็ถามหาลูก ตอนนั้นนางจึงไม่มีโอกาสเล่าเรื่องนี้ จากนั้นก็หยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากตู้เสื้อผ้าข้างๆ “คุณหนูใหญ่นำมาให้ตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเปิดออก มันคือกำไลทองคำเล็กๆ ที่ห้อยดอกไห่ถัง สวยงามเป็นอย่างมาก
นางรีบเอ่ยบอก “รีบเชิญคุณหนูใหญ่เข้ามา”
เจินเจี่ยเอ๋อร์สวมเสื้อสีขาว เสื้อกั๊กสีแดงกุหลาบ ในช่วงต้นฤดูหนาว ทำให้นางดูอบอุ่นและสดใส
สืออีเหนียงบอกให้ชิวอวี่ยกเก้าอี้มาให้นาง ชี้ไปที่กล่องแล้วพูดว่า “นี่คืออะไร มีค่าเกินไปแล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ นางพูดเบาๆ “พี่สองมอบให้ข้าก่อนที่จะไปเขาลั่วเย่ว์เจ้าค่ะ บอกว่าเก็บไว้ให้น้องหก”
จริงหรือ?
สืออีเหนียงมองดูดอกไห่ถังที่ห้อยอยู่บนกำไลทองคำ
ดอกไห่ถัง ส่วนใหญ่จะมอบให้เด็กผู้หญิง ตอนนั้นนางยังไม่คลอด ไม่รู้ว่าคือลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิง แล้วลูกของนางก็เป็นบุตรภรรยาเอกคนที่สอง ด้วยนิสัยที่รอบคอบของสวีซื่ออวี้ หากเขาต้องการมอบของขวัญให้จิ่นเกอจริงๆ ก็ต้องให้กำไลทองที่แกะสลักคำว่า ‘อายุยืนยาว’ หรือ ‘ร่ำรวยเงินทอง’ จะมอบกำไลดอกไห่ถังได้เช่นไร
หรือว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์นำมาให้เอง…กำไลนี่คือกำไลที่นางเคยสวมตอนเด็กๆ?
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมเจ้าพึ่งมาตอนนี้”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เด็กกว่าสวีซื่ออวี้แค่ไม่กี่วัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้โตมาด้วยกันเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ แต่ตั้งแต่นางจำความได้ นางก็มักจะได้ยินบรรดาสาวใช้และท่านป้าพูดถึงคุณชายน้อยสองอยู่ตลอด นางจึงอยากเจอพี่สองคนนี้มาก เมื่อเจอกับเขาแล้ว เขาเป็นคนฉลาดและร่าเริง แล้วยังกล้านั่งตรงบันได ไม่เหมือนนาง แค่นั่งบนตั่งนั่งเหม่ยเหรินยังต้องมีเบาะรองนั่ง กลัวเสื้อผ้าสกปรกแล้วไท่ฮูหยินจะไม่พอใจ นางอิจฉาเขาเป็นอย่างมาก… ต่อมา นางก็รู้สึกว่าเขาน่าสงสาร…โดยเฉพาะหลังจากที่ฉินอี๋เหนียงเสียชีวิตไปแล้ว ท่านพ่อและท่านแม่ไม่เคยแตะต้องของของฉินอี๋เหนียงเลยแม้แต่น้อย เรียนลูกคิดกับเหวินอี๋เหนียง ต่อมาซิ่วหลานที่สืออีเหนียงย้ายให้ไปทำงานที่เรือนของนางได้ยินเหวินอี๋เหนียงบอกว่า นอกจากข้าวของที่อยู่ในบัญชี ฉินอี๋เหนียงใช้เงินรางวัลและเครื่องประดับของพี่สองไปจนหมด เหลือไว้เพียงเงินหนึ่งร้อยตำลึง…เมื่อนางได้ยินบรรดาท่านป้าผู้ดูแลปรึกษากันว่าจะนำของขวัญอะไรมอบให้น้องหก นางกลัวสวีซื่ออวี้จะลำบากใจ โชคดีที่สองสามวันก่อนเหวินอี๋เหนียงนำเครื่องประดับที่ตัวเองช่วยนางดูแลคืนให้นาง นางจึงหากำไลที่สกุลเหวินมอบให้นางตอนที่นางอายุครบหนึ่งเดือน แต่กลับไม่เคยสวมมันเลยสักครั้งออกมา…แล้วก็กลัวว่าท่านป้าสองจะถาม จึงตั้งใจมาหาสืออีเหนียงช้าหน่อย
นางไม่สบายใจ “ข้า เมื่อวานข้ารอข่าวจากท่านแม่ตลอดเจ้าค่ะ…เลยนอนดึก…จึงตื่นสายเจ้าค่ะ” ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกผิด นึกถึงเรื่องที่สืออีเหนียงเคยสอนนาง หากไม่รู้จะพูดอะไรก็อย่าพูด ดีกว่าพูดโกหกเสียอีก นางรีบนั่งตัวตรงแล้วพูดเสียงดังขึ้น “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าได้ยินป้าวั่นบอกว่า ท่านพ่อตั้งชื่อน้องหกว่า ’จิ่น’ จริงหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ่งมั่นใจว่าตัวเองเดาถูก
ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้กำลังเล่นอะไรกัน แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์ปกป้องสวีซื่ออวี้เช่นนี้ ก็ดีกว่าเหยียบย่ำเขา นางจึงปล่อยเรื่องนั้นทิ้งไปแล้วทำเป็นคล้อยตามคำพูดของเจินเจี่ยเอ๋อร์ “พ่อของเจ้ากับข้าคิดว่าชื่อนี้ไม่เลว…”
นางยังพูดไม่ทันจบ จิ่นเกอก็ร้องไห้ขึ้นมา
สืออีเหนียงรีบอุ้มจิ่นเกอแล้วเรียกป้าวั่น “ถ่ายเบาอีกแล้วหรือ”
ป้าวั่นเดินเข้ามา เปิดผ้าอ้อมออกดูก็พบว่าไม่เปียกแต่อย่างใด
“หรือว่าอยากดื่มน้ำเจ้าคะ” ป้าวั่นลังเล
“เช่นนั้นก็ป้อนน้ำเขา!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองด้วยความสงสัย
จิ่นเกอมุ่ยปากแล้วคายน้ำที่ป้อนออกมา
“หรือว่าหิวแล้ว?” สืออีเหนียงพูดอย่างสงสัย
หงเหวินรีบออกไปเรียกแม่นมกู้เข้ามา
ครั้งนี้จิ่นเกอทานนมอย่างราบรื่น แต่พึ่งจะดูดสองครั้ง เขาก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก
แม่นมกู้สีหน้าซีดเซียวทันที
ป้าวั่นไม่สนใจนาง รีบเรียกแม่นมอีกคนหนึ่งเข้ามา
จิ่นเกอหันหน้าหนีแล้วร้องไห้ ไม่เพียงแค่นั้น เขาไอราวกับสำลักอะไรอยู่ในคอ
ป้าวั่นอุ้มเขามาตบหลังเบาๆ เขายิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ทั้งร้องไห้ไปด้วยทั้งไอไปด้วย
“ไม่ถ่ายเบา แล้วก็ไม่หิว ดูดนมไปสองทีก็ไม่เอาแล้ว เขาเป็นอะไรกันแน่ หรือว่ามีปัญหาอะไรอย่างอื่น” นึกถึงตอนคลอด หมอตำแยบอกว่าไหล่ของเขาติด สืออีเหนียงเปิดผ้าห่มลุกออกมาจากเตียง
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านลุกไม่ได้นะเจ้าคะ” ป้าวั่นรีบเรียกนาง “หมอหลวงบอกว่าท่านต้องนอนพักสองสามวัน ไม่เช่นนั้น อาจจะมีโรคจากการอยู่เดือนนะเจ้าคะ” อยากจะอุ้มลูกไปให้นาง แต่เห็นว่าเขาไอไม่หยุดจึงไม่กล้าให้เขาเอนตัวนอน อยากไปห้ามสืออีเหนียง แต่ก็จะให้คนอื่นอุ้มเขาไม่ได้ นางจึงเรียกชิวอวี่ “รีบรับใช้ฮูหยินนอนลงเร็วเข้า”
จิ่นเกอร้องไห้จนหัวใจสืออีเหนียงแทบแตกสลาย เดิมทีก็ได้ยินเขาร้องไห้ไม่ได้อยู่แล้ว ยืนกรานที่จะลุกขึ้นมาอุ้มเขา แล้วยังเดินไปเดินมาตบหลังเขาเบาๆ
ป้าวั่นราวกับหัวจะระเบิด
นึกถึงเรื่องที่สวีลิ่งอี๋อยู่ในห้องคลอดกับสืออีเหนียง แค่ได้ยินว่าลูกไม่สบายก็รีบเข้าไปพระราชวัง…
หากฮูหยินเป็นอะไรไป…
หวังแค่ว่าป้าเถียนที่ไปสอนแม่ครัวทำอาหารให้สืออีเหนียงที่โรงครัวเล็กจะรีบกลับมาเร็วๆ
เจินเจี่ยเอ๋อร์ที่เห็นแม่นมป้อนนมจิ่นเกอ นางก็รู้สึกเขินอาย ต่อมาเห็นจิ่นเกอร้องไห้ นางก็รู้สึกเป็นห่วง นางจับแขนป้าวั่นพลางเอ่ยถาม “ทำเช่นไรดี”
แม้ป้าวั่นจะเป็นกังวล แต่นางยังคงมีไหวพริบ กัดฟันพูด “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านคิดว่า เรียกหมอหญิงเผิงมาดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงแปลกใจ “หมอหญิงเผิงยังอยู่ที่จวนหรือ”
ป้าวั่นพยักหน้า “หมอตำแยสองคนและหมอหญิงเผิงล้วนแต่ยังอยู่ที่จวนเจ้าค่ะ” พูดจบก็กลัวว่าสืออีเหนียงจะไม่เข้าใจ จึงพูดอีกว่า “เพราะท่านโหวดีใจมากเลยบอกให้พวกนางอยู่ร่วมพิธีสรงสามของคุณชายน้อยหกแล้วค่อยกลับไปเจ้าค่ะ”
ให้หมอตำแยเป็นคนจัดพิธีสรงสาม ถึงตอนนั้นเหรียญในอ่างหมอตำแยก็สามารถนำกลับไปได้
แต่เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของหมอหญิงเผิงวันที่คลอด สืออีเหนียงก็ลังเล
ตอนนี้ป้าวั่นคิดเพียงอยากจะเกลี้ยกล่อมให้สืออีเหนียงไปนอนบนเตียง
“หมอหญิงเผิงคนนั้นบอกแล้วไม่ใช่หรือว่านางทำคลอดไม่เป็น ฮองเฮาส่งนางมาก็เพื่อให้นางมาดูอาการของคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ” นางเดินเข้าไปประคองสืออีเหนียง พาสืออีเหนียงเดินไปที่เตียง “ในเมื่อมาจากพระราชวัง ก็ต้องมีความรู้ ไม่เช่นนั้น หมอหลวงของสำนักหมอหลวงก็คงจะไม่ยอมนาง ท่านไม่สู้ลองให้นางมาดูคุณชายน้อยหก หากนางพูดมีเหตุผล เราก็ทำตามที่นางบอก หากนางพูดไม่มีเหตุผล เราก็เชิญหมอหลวงมาดีกว่า”
สืออีเหนียงมองดูบุตรชายที่ร้องไห้ไม่หยุด แล้วก็นึกถึงสวีลิ่งอี๋
หากทุกอย่างราบรื่น กว่าหมอหลวงอู๋จะมาถึงก็ต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม หรือว่าจะดูเขาร้องไห้เช่นนี้ไปจนกระทั่งถึงตอนนั้นอย่างนั้นหรือ
พดคิดได้เช่นนี้ นางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป “ให้นางมาดูเถิด!”
หงเหวินได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที
ป้าวั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก อุ้มจิ่นเกอที่ร้องไห้ไม่หยุดมาเอ่ยปลอบด้วยความอดทน
สืออีเหนียงรู้สึกเจ็บปวดตรงช่วงล่างจึงปล่อยให้เจินเจี่ยเอ๋อร์รับใช้ตัวเองมานอนบนเตียง
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งถ้วยชา หมอหญิงเผิงก็มาถึง
ครั้งนี้นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีม่วง มองดูแปลกตาเหมือนเดิม
ป้าวั่นอุ้มจิ่นเกอไปให้นางดู
นางถามสาเหตุที่เรียกนางมาตั้งแต่ระหว่างทางแล้ว พอเข้ามาก็จับชีพจรให้จิ่นเกอทันที
แขนของจิ่นเกอเล็กนิดเดียว นิ้วของหมอหญิงเผิงใหญ่ สืออีเหนียงเห็นว่านางไม่ได้จับตรงชีพจรก็รู้สึกไม่พอใจ เห็นดวงตาของนางเลิ่กลั่กไปมา ท่าทีไม่เหมือนกำลังจดจ่ออยู่กับการจับชีพจร เลยสงสัยว่านางจับชีพจรเป็นจริงหรือไม่ แต่นางก็เอ่ยผลวินิจฉัยขึ้นมาพอดี “ตอนคลอดคุณชายน้อยหกสำลักอะไรบางอย่างในลำคอ ข้ามียาหุยชุนตันของบรรพบุรุษ ให้คุณชายน้อยหกทานสามเม็ดก็ไม่มีปัญหาแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบ ก็นำยาสามเม็ดที่ขนาดเท่าไข่นกกระทาออกจากถุงผ้า “นำไปละลายน้ำแล้วดื่มสามครั้ง”
หากเป็นยามปกติ สืออีเหนียงคงจะให้เงินนางสองสามตำลึงแล้วไล่นางออกไป แต่ครั้งนี้นางรู้สึกไม่เชื่อใจ
หากเจ้าอยากหลอกเอาเงินก็ต้องดูสถานการณ์ ให้เด็กตัวแค่นี้ทานยา หากเป็นอะไรขึ้นมาจะทำเช่นไร ไม่มีความรับผิดชอบเกินไปแล้ว!
สีหน้าของนางมืดมนลง ไม่บอกให้คนรับยานั้นมา นางเอ่ยถามว่า “ชีพจรลอยคล้ายท่อนซุงลอยน้ำ ชีพจรเต็มเต้นชนนิ้วมือคล้ายสายน้ำโหมกระหน่ำ ชีพจรพร่องที่เต้นอ่อนไม่มีแรง ไม่รู้ว่าชีพจรของจิ่นเกอเป็นอย่างไรหรือ”