ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 462 แรกเกิด(ต้น)
หลินปัวตอบกลับผ่านทางหน้าต่าง “ส่งแม่นมมาห้าคนตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ กำลังรออยู่ที่ลานข้างนอก”
“เรียกพวกนางเข้ามา!”
หลินปัวขานรับแล้วเดินออกไป
เด็กน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม
สืออีเหนียงหยัดกายลุกขึ้นนั่งด้วยความกังวล
“ข้าเอง!” สวีลิ่งอี๋รีบวางหมอนไว้ข้างหลังนางแล้วอุ้มลูกมาไว้ในอ้อมแขน
สืออีเหนียงพิงหมอน ส่วนสวีลิ่งอี๋อุ้มลูก เดินไปเดินมาพร้อมกับตบตัวเขาเบาๆ เพื่อปลอบประโลมแต่ลูกน้อยก็ยังร้องไห้ไม่หยุด
เขาร้องไห้เสียงดัง ทำให้บรรยากาศที่เงียบสงัดในห้องดูน่าตกใจ
เวลาแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่สืออีเหนียงกลับรู้สึกเหมือนผ่านไปเป็นปี
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เริ่มมีความกังวล
หงเหวินที่อยู่ข้างๆ ลังเลที่จพูดอะไรอยู่หลายครั้ง ชิวอวี่เห็นเช่นนี้ นางก็เดินเข้าไปหาหงเหวินแล้วถามเสียงเบา “มีอะไรหรือ?”
หงเหวินพูดด้วยเสียงสั่นๆ “หรือว่าเขาถ่ายเบา?”
ชิวอวี่แปลกใจ นึกถึงตอนที่เลือกสาวใช้ให้คุณชายน้อยหก นางเลือกคนอายุสิบสามสิบสี่ปีที่เคยเลี้ยงน้องมาก่อน รู้สึกว่าคำพูดของนางค่อนข้างน่าเชื่อถือ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปพูดเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ หงเหวินบอกว่า คุณชายน้อยหกอาจจะถ่ายเบาหรือไม่เจ้าคะ”
ตอนนี้สืออีเหนียงขอแค่ลูกหยุดร้องก็พอแล้ว นางรีบเอ่ยเรียกสวีลิ่งอี๋ “…ข้าขอดูหน่อยเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ก็ได้ยินที่ชิวอวี่พูด เขาวางลูกไว้บนเตียง
พวกเขาทั้งสองคนแกะผ้าอ้อมออก เขาปัสสาวะแล้วจริงๆ หลังจากที่แกะผ้าอ้อมออกเขาก็หยุดร้องไห้ทันที เบิกตากลมโตสีดำแล้วเตะขาไปมา
สวีลิ่งอี๋มองดูฝ่าเท้าเล็กๆ ที่ขนาดพอๆ กับถั่วลิสง เขาทำอะไรไม่ถูกจึงถามสืออีเหนียง “ต้องทำเช่นไร”
สามารถหาสาเหตุที่เขาร้องไห้ได้ก็เพราะคำแนะนำของหงเหวิน สืออีเหนียงจับจ้องไปที่หงเหวิน
หงเหวินรีบเดินเข้ามา นางพูดด้วยความหวาดกลัว “ป้าวั่นบอกว่าต้องทำความสะอาดเจ้าค่ะ จากนั้นก็เปลี่ยนผ้าอ้อมสะอาด ห่อตัวใหม่เจ้าค่ะ”
นางยังพูดไม่ทันจบ ป้าวั่นก็เดินเข้ามา พอเห็นเหตุการณ์นางก็อุทาน “ไอ๊หยา” ตนแค่ออกไปสั่งงานสาวใช้ พอกลับมาทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด นางรีบไปอุ้มจิ่นเกอมาไว้ในอ้อมแขน ห่อผ้าอ้อมให้แน่น “ระวังจะเป็นหวัด จะยิ่งวุ่นวายเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรีบอธิบาย “เขาถ่ายเบา!”
ป้าวั่นเห็นแล้วก็ยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวจะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้คุณชายน้อยหกประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หงเหวินนำผ้าอ้อมสะอาดออกมาแล้ว เรียกสาวใช้ตักน้ำอุ่นเข้ามา จากนั้นก็ช่วยกันเปลี่ยนผ้าอ้อมกับป้าวั่น
สวีลิ่งอี๋พูด “เช่นนี้ไม่ได้ ต้องรีบจัดการเรื่องแม่นมและท่านป้าผู้ดูแลในเรือนให้เร็วที่สุด”
ป้าวั่นได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ กำลังจะแนะนำคนให้สืออีเหนียง ก็ได้ยินสืออีเหนียงบอกว่า “ท่านคิดว่าปินจวี๋เป็นอย่างไรบ้าง นางมีประสบการณ์ ทำอะไรข้าก็วางใจ”
สวีลิ่งอี๋คิดว่าปินจวี๋เด็กเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีว่านต้าเสี่ยนอยู่ตรงกลาง
เขาดึงผ้าห่มให้สืออีเหนียง เห็นป้าวั่น หงเหวินและชิวอวี่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการเปลี่ยนผ้าอ้อม เขาก็พูดเบาๆ “หลังปีใหม่ ห้องซือฝังมีผู้ดูแลระดับหนึ่งคนหนึ่ง เพราะว่าอายุมากแล้วจึงจะกลับไปให้ลูกเลี้ยงดูที่บ้าน คงจะต้องจัดการคนในห้องซือฝังใหม่ สองสามปีมานี้ว่านต้าเสี่ยนก็ขยันขันแข็ง ข้าอยากเลื่อนให้เขาเป็นผู้ดูแลระดับสอง…”
เช่นนี้ ปินจวี๋ก็ไม่ควรทำงานอยู่ในลานข้างในแล้ว โดยเฉพาะการดูแลบุตรชายภรรยาเอกคนที่สอง
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะผิดหวัง แต่เมื่อคิดว่าว่านต้าเสี่ยนจะได้เลื่อนตำแหน่ง นางก็ดีใจ นึกถึงน้ำเสียงเมื่อครู่ของสวีลิ่งอี๋ เดาว่าเรื่องนี้คงจะยังไม่ได้ป่าวประกาศออกไป นางจึงเอ่ยอย่างเห็นด้วยกับสวีลิ่งอี๋ “คิดไม่ถึงว่าว่านต้าเสี่ยนจะมีวาสนาเช่นนี้…ตอนนี้ข้านึกออกแค่ปินจวี๋ หรือว่า เลือกแม่นมก่อนแล้วค่อยว่ากันดี เพราะว่าเขายังเล็ก อากาศก็หนาวลงเรื่อยๆ ข้าอยากให้เขาอยู่ที่ห้องหน่วนเก๋อของเรือนหลักไปก่อน ข้าไม่มีอะไรทำ ยังมีแม่นม ป้าซ่ง หู่พั่วและจู๋เซียง ช่วยกันดูแลเด็กแค่คนเดียวไม่ใช่เรื่องยากอะไร ท่านโหวเจ้าคะ ท่านคิดเช่นไรบ้าง”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด เขาก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล “เช่นนั้นก็เลือกแม่นมก่อน” เขายิ้มแล้วพูดต่อ “เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่!”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ
ป้าวั่นห่อผ้าอ้อมเสร็จแล้ว นางอุ้มจิ่นเกอเข้ามา
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าเขาหลับสนิทก็อดหัวเราะไม่ได้ “เรื่องมากจริงๆ แค่นี้ก็ทนไม่ได้!” จากนั้นก็มองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงหน้าแดง นางพูดเบาๆ “เขาตัวเปียกจึงรู้สึกไม่สบายตัว แน่นอนว่าต้องร้องไห้งอแง!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม
หน้าของสืออีเหนียงยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม
หลินปัวพาแม่นมของจวนแม่นมมาพอดี สาวใช้พาแม่นมสามคนเข้ามาก่อน สวีลิ่งอี๋หุบยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไปที่เรือนของท่านแม่ก่อน ตั้งชื่อลูกแล้วค่อยปรึกษาเรื่องพิธีสรงสามกับนาง เจ้ากำลังอยู่เดือน คงต้องให้ท่านแม่ออกหน้ารับแขกแทนไปก่อน”
การเลือกแม่นมเป็นเรื่องในเรือน สวีลิ่งอี๋ไม่ควรเข้ามายุ่ง
สืออีเหนียงพยักหน้า หลังจากที่สวีลิ่งอี๋ออกไปแล้ว ป้าวั่นก็เรียกบรรดาแม่นมเข้ามา
แม่นมแปดคนยืนเรียงกัน ตัวอ้วนตัวผอม ล้วนแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คืออายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวขาวและหน้าอกโต
สืออีเหนียงถามพวกนางสองสามประโยค เลือกสองคนที่พูดจาฉะฉาน สองคนที่คลอดลูกใกล้เคียงกับตัวเอง ให้พวกนางลองป้อมนมจิ่นเกอ
แต่จิ่นเกอเอาแต่นอนหลับ ปลุกให้เขาตื่น เขาก็ร้องไห้ด้วยความไม่พอใจ
ป้าวั่นอุ้มเขามาเกลี้ยกล่อม
แม่นมแซ่กู้คนหนึ่งยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายน้อยกำลังง่วง ถูกปลุกให้ตื่น แน่นอนว่าต้องไม่พอใจ หากเขาหิว ประเดี๋ยวเขาก็ตื่นมาเอง รอให้คุณชายน้อยตื่นแล้วค่อยป้อมนมก็ไม่สายเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรีบพูด “เจ้าไม่รู้ เขาไม่ได้ทานอะไรมาวันหนึ่งแล้ว ดื่มน้ำไปแค่สองจิบ”
แม่นมกู้ยิ้มแล้วพูดว่า “อาจจะเป็นเพราะพึ่งคลอดออกมา ยังไม่มีความอยากอาหาร ฮูหยินไม่ลองให้ท่านหมอสั่งยาปรับสภาวะกระเพาะอาหารสักสองถ้วยดูล่ะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงเห็นว่านางพูดจาทำอะไรมีความคิดเป็นของตัวเอง ดูเหมือนจะรู้เรื่องการเลี้ยงเด็กเป็นอย่างดี สืออีเหนียงจึงสำรวจมองนาง
แม่นมกู้สวมเสื้อสีฟ้า กระโปรงสีดำ กระโปรงสั้นไปหน่อย เผยให้เห็นรองเท้าผ้าสีดำและถุงเท้าผ้าสีขาวที่ซักอย่างสะอาดสะอ้าน
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าเบาๆ
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ หมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงบอกให้ป้าวั่นอุ้มลูกน้อยไปให้หมอหลวงดูก่อน แต่ป้าวั่นก็กลับมาอย่างรวดเร็ว “หมอหลวงบอกว่า ใต้เท้าอู๋ของสำนักหมอหลวงเชี่ยวชาญในการรักษาโรคของเด็กเล็กเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงได้ฟังแล้วจึงบอกให้ชิวอวี่นำป้ายคู่ของตัวเองออกไปบอกให้ผู้ดูแลลานข้างนอกให้ไปเชิญใต้เท้าอู๋มา มีแค่ป้าเถียนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ปล่อยม่านเตียงลง วางผ้าเช็ดหน้าไว้บนข้อมือให้หมอหลวงจับชีพจรแล้วสั่งยา
ป้าเถียนรับใช้สืออีเหนียงทานยา
ฮูหยินสองประคองไท่ฮูหยินเข้ามา
จิ่นเกอพึ่งหยุดร้องไห้ไป เขากำลังตื่นอยู่ เบิกตากว้าง ดวงตาสุกใสจนสะท้อนเห็นภาพคน ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็เอ็นดูเขาเป็นอย่างมาก นางพูดว่า “เมื่อครู่คุณชายสี่ไปหาข้า บอกว่าตั้งชื่อเขาว่า ’จิ่น’ เช่นนั้นหรือ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ ท่านโหวและข้าคิดว่าชื่อนี้ไม่เลวทีเดียว!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างแผ่วเบา
สายตาของไท่ฮูหยินมีความพอใจ นางหัวเราะแล้วพูดกับจิ่นเกอ “เช่นนั้นต่อไปเราก็เรียกเจ้าว่าจิ่นเกอ เจ้าคิดว่าดีหรือไม่”
จิ่นเกออ้าปากหาว จากนั้นก็หลับตาแล้วหลับไป
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็ใจอ่อนยวบ นางพูดกับสืออีเหนียง “หากเจ้าดูแลไม่ไหว ก็อุ้มไปที่เรือนของข้า อีกไม่นานจุนเกอก็ต้องย้ายออกไปอยู่ลานข้างนอกแล้ว”
สืออีเหนียงตกใจจนเหงื่อตก นางรีบพูด “ท่านอายุมากแล้ว จิ่นเกอยังเล็ก เกรงว่าจะเอะอะโวยวาย รอให้เขาโตกว่านี้อีกสักหน่อยก็ไม่สายเจ้าค่ะ” จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนเจี้ยเกอนอนที่เรือนของท่าน รบกวนท่านหรือไม่”
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน!” ไท่ฮูหยินหัวเราะ “สองพี่น้องอยู่ด้วยกันล้วนแต่รู้ความ เป่าขลุ่ยสักประเดี๋ยว ท่องหนังสือสักประเดี๋ยวแล้วก็นอน ยามเช้า จุนเกอก็ไม่ต้องให้คนไปปลุก ตัวเองตื่นเองแล้วยังเรียกเจี้ยเกอตื่นด้วย รู้ความขึ้นไม่น้อย”
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดว่า “พี่น้องสองคนอยู่ด้วยกัน จุนเกอเป็นพี่ชาย แน่นอนว่าจะทำตัวเหมือนตอนที่อยู่กับท่าน ทำตัวเป็นเด็กไม่ได้”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ถามถึงจิ่นเกอของสืออีเหนียง รู้ว่าเขาร้องไห้เพราะปัสสาวะราด นางก็หัวเราะแล้วพูดกับฮูหยินสอง “เจ้าดูสิ เด็กคนนี้ฉลาดเสียจริง!” พอรู้ว่าจิ่นเกอยังไม่ได้ทานนม นางก็เป็นห่วง “ต้องให้หมอหลวงมาดู”
“ส่งคนเชิญหมอหลวงอู๋ที่สำนักหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ!”
พูดจบ ฮูหยินห้าก็อุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามา
ซินเจี่ยเอ๋อร์เบิกตากว้าง มองไปยังจิ่นเกอที่อยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยินด้วยความสงสัย เห็นท่านย่า ท่านป้าสอง ท่านป้าสี่และท่านแม่กำลังพูดคุยกัน นางก็ยื่นนิ้วออกมาเงียบๆ แตะที่หน้าของจิ่นเกอเบาๆ จิ่นเกอขยับปากแล้วก็นอนต่อ ซินเจี่ยเอ๋อร์รู้สึกว่ามันสนุก นางจึงแตะที่หน้าของจิ่นเกออีกครั้ง จิ่นเกอย่นจมูกอยู่นาน ซินเจี่ยเอ๋อร์ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ แตะจิ่นเกออีกสองครั้ง กระทั่งจิ่นเกอร้องไห้ขึ้นมา ทำเอาซินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจตัวแข็งอยู่ตรงนั้น
ไท่ฮูหยินรีบเอ่ยปลอบจิ่นเกอ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ซินเจี่ยเอ๋อร์แค่หยอกเจ้าเล่น!”
ฮูหยินห้าหน้าแดง นางรีบไปอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์แล้วตำหนิสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “พาเจ้ามาด้วยก็เพื่อให้เจ้ามาดูแลคุณหนูสอง แต่เจ้ากลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น” จากนั้นก็เอ่ยขอโทษสืออีเหนียง “เด็กไม่รู้ความ พี่สะใภ้สี่อย่าถือสาเลย!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ยังเด็ก สืออีเหนียงจะโกรธนางได้เช่นไร แต่เมื่อเห็นจิ่นเกอร้องไห้ นางก็รู้สึกปวดใจ
“ซินเจี่ยเอ๋อร์หยอกล้อเขาก็เพราะว่าชอบเขา!”
ฮูหยินห้าพูดอีกสองสามประโยค อ้างว่ามีธุระที่เรือน จากนั้นก็พาซินเจี่ยเอ๋อร์กลับไป
อยู่ด้วยกันมาตั้งครึ่งวัน สืออีเหนียเริ่มรู้สึกเหนื่อย นางยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากหาว
ฮูหยินสองเห็นเช่นนี้ก็ดึงแขนเสื้อไท่ฮูหยินเบาๆ จากนั้นก็พูดถึงเรื่องพิธีสรงสาม “…ท่านแม่ร่างรายการไว้แล้ว น้องสะใภ้สี่ดูว่ามีอะไรขาดเหลือหรือไม่ หากไม่มี ก็จะนำไปให้ฝ่ายรายงานยามบ่าย”
เช่นนั้นก็หมายความว่า ต้องจัดการเรื่องนี้ก่อนยามบ่าย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วขานรับ
ไท่ฮูหยินบอกให้สืออีเหนียงพักผ่อน “หมอหลวงว่าเช่นไร ถึงตอนนั้นก็ส่งคนไปรายงานข้าด้วย” จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่เรือนกับฮูหยินสอง
สืออีเหนียงเริ่มรู้สึกง่วง จึงเอ่ยบอกป้าวั่น “ท่านดูแลจิ่นเกอ หากเขาตื่น ก็ให้แม่นมกู้ป้อนนมเขา หากเขาไม่ทาน ก็ลองให้คนอื่นป้อนนมเขา”
ป้าวั่นรู้ว่านางชอบแม่นมกู้คนนั้น จึงยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอไปนั่งที่เตียงเตาข้างหน้าต่าง
สืออีเหนียงเพียงเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นบุตรชายจึงรู้สึกสบายใจ จากนั้นก็ค่อยๆ หลับไป