ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 460 อันตราย(กลาง)
ไท่ฮูหยินคุกเข่าลงบนเบาะรองเข่าสีแดง จุดธูปแล้วก้มหัวให้บรรพบุรุษของสกุลสวีด้วยความเคารพ
ป้าตู้เดินเข้าไปประคองไท่ฮูหยินลุกขึ้น
“สถานการณ์เป็นเช่นไรแล้ว” ไท่ฮูหยินยืนนิ่ง
ป้าตู้ไม่กล้าพูดความจริง นางตอบเบาๆ “หมอหลวงใช้ยาเร่งคลอดเจ้าค่ะ”
แต่ไท่ฮูหยินรู้อยู่แก่ใจ
หากยาเร่งคลอดได้ผล ตอนนี้ก็ต้องคลอดออกมาแล้ว
ฝีมือของหมอหลวงนางก็รู้ดี
ยาเร่งคลอดไม่ได้ผล ก็ต้องใช้ยาที่ออกฤทธิ์แรงกว่า…แม่หรือว่าลูกจะรอด ก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว!
คิดเช่นนี้ ไท่ฮูหยินก็น้ำตาคลอเบ้า นางเหลือบไปมองป้ายชื่อของหยวนเหนียง
หยวนเหนียงพยายามให้สืออีเหนียงแต่งเข้ามา ตอนนี้นางกำลังอยู่ในช่วงชี้เป็นชี้ตาย หากเจ้าอยู่บนฟ้า ถือว่าทำเพื่อจุนเกอ ปกป้องนางให้ปลอดภัยให้ราบรื่นด้วยเถิด!
*****
“หิว?” สวีลิ่งอี๋ทั้งตกใจและดีใจ สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดก็คือการที่สืออีเหนียงไม่ให้ความร่วมมือ เขารีบถาม “เจ้าอยากทานอะไร ข้าจะให้ป้าวั่นไปเตรียมมาให้เจ้า!”
“อะไรก็ได้เจ้าค่ะ!” ตอนนี้นางจะหิวได้เช่นไร นางแค่กลัวว่าถึงตอนนั้นตัวเองจะไม่มีแรงก็เท่านั้น
สืออีเหนียงนึกถึงลูกในท้องที่ถูกทรมานเช่นนี้ นางไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสถานการณ์จะเป็นเช่นไร แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากนางลังเล มันจะทำให้นางและลูกตกอยู่ในอันตราย…ต้องตัดสินใจอย่างไม่ลังเลเท่านั้น นางปรับท่าให้หมอตำแยเอง…แต่ในใจกลับเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดแทง นางร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
หมอตำแยเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางรีบพูด “นำโสมมาให้ฮูหยินเถิด! เสริมพละกำลัง หรือว่าจะดื่มน้ำตาลทรายแดงดีเจ้าคะ”
โสมย่อมดีกว่าแน่นอน
แต่ว่าโสมเป็นสมุนไพรบำรุงร่างกาย
สวีลิ่งอี๋บอกหู่พั่ว “เจ้าไปถามหมอหลวง ฮูหยินเป็นเช่นนี้ทานโสมได้หรือไม่!”
หู่พั่วออกไปและกลับมาอย่างรวดเร็ว “หมอหลวงบอกว่าทานโสมดีกว่าเจ้าค่ะ”
ของพวกนี้เตรียมไว้ตั้งนานแล้ว
ป้าเถียนรีบนำโสมมาให้สืออีเหนียงทาน
หมอตำแยสองคนที่เหลือก็กล้าหาญมากขึ้น คนหนึ่งเดินเข้ามาช่วย อีกคนหนึ่งคอยดูอาการของสืออีเหนียง
*****
เมื่อแสงไฟในห้องค่อยๆ มืดลง บรรดาท่านป้าก็เริ่มจุดตะเกียง
สืออีเหนียงนอนอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋อย่างไร้เรี่ยวแรง นางหอบหายใจ หมอตำแยสองคนที่ช่วยนางนวดท้องก็มีเหงื่อท่วมเต็มตัว
สวีลิ่งอี๋หยิบผ้าเช็ดหน้าในมือของหู่พั่วมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้สืออีเหนียง
นางเป็นผู้ใหญ่ยังรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กที่ยังไม่เกิด
“ทำเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงกลั้นน้ำตา “ให้หมอหลวงต้มยามาให้ข้า ข้ากลัวว่าประเดี๋ยวข้าจะไม่มีแรง!”
แม้แต่โสมยังช่วยอะไรไม่ได้ หากทานยาอีกก็ต้องทานยาที่ออกฤทธิ์แรงเท่านั้น
“เจ้าหลับตาพักสักประเดี๋ยว!” เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้หู่พั่วแล้วจับมือสืออีเหนียง “หากไม่ไหวจริงๆ เราค่อยทานยา”
“ตอนนี้ข้าก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว…” สืออีเหนียงพูดเสียงเบา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงตกอกตกใจของหมอตำแยดังขึ้นมา “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ ปากช่องคลอดเปิดแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ สืออีเหนียงจะขยับตัวขึ้นมานั่ง ทำเอาหมอตำแยคนนั้นรีบกดกายของสืออีเหนียงเอาไว้ “นอนลง นอนลงเจ้าค่ะ”
หมอตำแยคนอื่นรีบเดินเข้ามาล้อมรอบ คนหนึ่งแขวนผ้าสีขาวไว้บนเตียงเพื่อให้สืออีเหนียงดึงออกแรง ส่วนอีกคนหนึ่งช่วยปูผ้าฝ้ายสะอาดไว้ใต้ตัวสืออีเหนียง แล้วยังมีอีกคนหนึ่งนำหมอนหนาๆ มาวางไว้ข้างหลังสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่ตรงนั้น เขาดูเกะกะขึ้นมาทันที
สวีลิ่งอี๋จึงลุกออกมา
ป้าเถียนถือโอกาสเข้าไปนั่งข้างเตียง ยัดโสมให้สืออีเหนียงก่อนชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็บอกนางว่าต้องออกแรงอย่างไร
เวลาต่อมา เมื่อเทียบกับความทุลักทุเลก่อนหน้านี้ มันกลับราบรื่นจนทำให้ผู้คนล้วนคาดไม่ถึง
เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป หมอตำแยก็เห็นหัวเด็กโผล่ออกมา ระหว่างนั้นนอกจากไหล่ของเด็กติดแค่นิดเดียว ก็ไม่มีสถานการณ์ผิดปกติอื่นเกิดขึ้น
ตามมาด้วยเสียงร้องตะโกนว่า “คลอดแล้ว คลอดแล้ว” สืออีเหนียงพลันรู้สึกโล่งไปหมด
นางยังจำเรื่องตัดสายสะดือได้ รีบเอ่ยเตือนหู่พั่ว “กรรไกร กรรไกร…”
หู่พั่วรีบไปหยิบกรรไกรมา
หมอตำแยจะกล้าปฏิเสธได้เช่นไร นางรับกรรไกรมาตัดสายสะดือ ยกเท้าของเด็กขึ้นแล้วตบที่ก้นสองที เมื่อได้ยินเสียงร้องของเด็ก หัวใจที่ราวกับห้อยอยู่กลางอากาศก็หล่นลงมา นางอุ้มเด็กที่ยังเปื้อนเลือดไปให้สวีลิ่งอี๋ดู “ยินดีกับท่านโหวด้วยเจ้าค่ะ เป็นบุตรชายเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋มองดูทารกเปื้อนเลือดที่กำลังส่งเสียงร้องไห้อย่างมีความสุข จู่ๆ ก็รู้สึกสับสน อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบผมสีดำที่เปียกชื้นของเขา แล้วหันไปบอกสืออีเหนียงว่า “เป็นบุตรชาย!”
สืออีเหนียงราวกับพึ่งวิ่งในระยะทางที่เกินกำลังของตัวเองเสร็จ ถึงแม้ว่าทั้งตัวจะรู้สึกอ่อนล้าไปหมด แค่ขยับนิ้วก็ยังรู้สึกเหนื่อย แต่นางกลับรู้สึกตื้นเต้น ได้ยินเช่นนี้ก็รีบยื่นแขนออกไป “ขอข้าดูหน่อย!”
“ฮูหยินอย่าพึ่งขยับเจ้าค่ะ!” หมอตำแยที่ดูแลนางยกยิ้ม “รกยังไม่ออกมาเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ รีบถาม “เป็นอะไรหรือไม่”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หมอตำแยตอบ “ออกมาแล้วเจ้าค่ะ”
ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกแล้วใช่หรือไม่!
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างมีความสุข
บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปในทันที ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความปิติยินดี
มีสาวใช้วิ่งไปรายงานไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและฮูหยินห้า
ป้าวั่นและหู่พั่วช่วยกันทำความสะอาดตัวให้สืออีเหนียง
ป้าเถียนและหมอตำแยอุ้มเด็กไปล้างตัว
สืออีเหนียงเหนื่อยล้ามาก แต่นางกลับรู้สึกไม่สบายใจ เอ่ยถามป้าเถียน “บอกว่าไหล่ติด เจ้าดูสิว่าแขนของเขาขยับหรือไม่” แล้วก็ถามอีกว่า “เขามีปัญหาอะไรหรือไม่” จากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงเด็กร้อง นางจะลุกขึ้นนั่ง “ทำไมเขาไม่ร้องไห้”
สวีลิ่งอี๋เห็นนางสีหน้าซีดเซียว ท่าทีเหนื่อยล้า เขาก็กดไหล่ของนางลง “เจ้าดูแลตัวเองก่อนเถิด! ลูกมีป้าเถียนช่วยดูแลอยู่!”
ป้าเถียนได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ คุณชายน้อยสบายดี รู้ว่าเรากำลังอาบน้ำให้เขา ไม่ร้องไห้งอแง ลืมตาโตมองไปรอบๆ เจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็พูดเบาๆ “คุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาอย่างมาก! ผมดกดำ ดวงตาสดใส ผิวสีแดง ว่ากันว่าตอนคลอดออกมาหากผิวสีขาว โตขึ้นผิวจะยิ่งดำคล้ำ แต่หากคลอดออกมามีผิวสีแดง โตขึ้นผิวจะยิ่งขาวเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็เหลือบมองสวีลิ่งอี๋ “บ่าวคิดว่าหน้าตาเหมือนท่านโหว แต่สีผมและผิวเหมือนกับฮูหยิน”
หมอตำแยอีกคนหนึ่งก็พยักหน้า “ข้าก็คิดเหมือนกัน ข้าทำคลอดมาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่พึ่งเกิดมาก็ลืมตา เด็กคนนี้ช่างมีชีวิตชีวาเสียจริง โตขึ้นแล้วน่าจะเหมือนกับท่านโหว เป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เหมือนกันเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นคำยกยอ แต่เมื่อได้ยินว่าบุตรของตัวเองสุขภาพร่างกายแข็งแรง สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็นอนหลับไปท่ามกลางผ้าเช็ดหน้าที่อบอุ่น
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นยามจื่อแล้ว
มีเสียงกลองดังขึ้นจากไกลๆ ท่ามกลางแสงไฟสลัว สวีลิ่งอี๋ที่รูปร่างสูงใหญ่กำลังอุ้มบุตรชายเดินไปรอบห้อง แล้วยังหยุดเดินก้มหน้าส่งยิ้มให้เด็กทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองเป็นครั้งคราว
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอุ่นใจ นางยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็ขานเรียกท่านโหวเสียงเบา แล้วพูดว่า “บ่าวรับใช้ในเรือนล่ะเจ้าคะ?”
“เจ้าตื่นแล้วหรือ!” เมื่อได้ยินเสียง สวีลิ่งอี๋ก็ยิ้มแล้วอุ้มลูกมานั่งข้างเตียง “หิวหรือไม่ อยากทานอะไรหรือไม่”
เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ สืออีเหนียงก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ แต่ลูกที่ถูกห่อตัวอยู่ในผ้าอ้อมสีแดงอยู่ตรงหน้า นางอยากเห็นหน้าลูกก่อนจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง “ขอข้าดูหน่อยเจ้าค่ะ!” ฉับพลันก็รู้สึกตัวชาไปหมด
“เจ้ารีบนอนลง!” สวีลิ่งอี๋รีบพูด “หมอหลวงบอกว่าร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอ แล้วยังทรมานเช่นนี้ หากไม่รักษาตัวสักสองสามเดือน ก็จะไม่กลับมาเป็นปกติ” เขาพูดพร้อมกับอุ้มลูกยื่นให้นางดู
เด็กน้อยกำลังนอนหลับสนิท ท่าทีสงบ ใบหน้าสีแดงก่ำ หน้าตายังมองไม่ค่อยออก แต่จมูกโด่ง มองออกว่าเหมือนสวีลิ่งอี๋ มีผมสีดำเหมือนกับที่ป้าเถียนบอก
เด็กคนนี้เอง ที่ทรมานตนขนาดนั้น!
สืออีเหนียงครุ่นคิด แต่นางกลับรู้สึกถึงความสุขที่แผ่ซ่านอยู่ในจิตใจ
นางอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงไป ใช้ปลายจมูกแตะที่แก้มของเขาอย่างแผ่วเบา
จู่ๆ ก็มีคนมารบกวน ถึงแม้ว่าจะเป็นมารดาของตัวเอง แต่เขาก็ย่นจมูกอย่างไม่ไว้หน้านาง จากนั้นก็เบะปากด้วยความไม่พอใจ มุดหัวเข้าไปในผ้าอ้อมแล้วหลับไปอีกครั้ง
สืออีเหนียงรู้สึกอุ่นใจ
“สนุกมากใช่หรือไม่” สวีลิ่งอี๋มองดูสืออีเหนียงที่สีหน้าอ่อนโยน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่เขายังพ่นฟองน้ำใส่ข้า” พูดจบก็ชี้ไปที่มุมปากด้านขวาของเด็กน้อย “ที่นี่ เล็กๆ เล็กเท่าเมล็ดข้าว”
ทารกมักจะพ่นฟองน้ำหรือนมออกมาหลังจากที่ทานนมหรือน้ำเสร็จ
สืออีเหนียงรีบพูด “เขาทานอะไรหรือยังเจ้าคะ”
ก่อนที่ลูกจะคลอด นางดูแม่นมเอาไว้สองสามคน แต่เพราะว่าน้ำนมแรกดีที่สุด ดังนั้นนางจึงอยากหาคนที่คลอดช่วงเวลาใกล้เคียงกับตัวเองมากที่สุด จึงยังไม่ได้ตัดสินใจ
“ยังไม่ได้ทาน!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยท่าทีเป็นกังวล “เขานอนหลับตลอด แม่นมสามคนที่หามาก่อนหน้านี้ลองป้อนนมเขา เขาก็ไม่ยอมทาน ป้าเถียนบอกว่า อย่าป้อนนมหรือน้ำให้เขาทานตอนที่เขายังไม่หิว ข้าจึงคิดว่า บางทีเขาอาจจะไม่ชอบแม่นมคนนี้ ข้าบอกแล้วว่า พรุ่งนี้เช้าจะเรียกแม่นมจากจวนแม่นมมาลองอีกสักสองสามคน” เขาพูด “เจ้านอนลงเถิด หมอตำแยบอกว่าเจ้ามีแผล ห้ามขยับตัวบ่อย!”
เขาพูดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็นึกถึงพวกบ่าวที่คอยรับใช้ในเรือนขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเห็นว่าสาวใช้ที่เฝ้ายามในเรือนเจ้าล้วนแต่นอนห้องข้างนอก ข้ากลัวว่าพวกนางจะทำให้เจ้าตื่น จึงให้พวกนางเฝ้าอยู่ข้างนอก”
สืออีเหนียงถึงได้นึกออก เมื่อครู่สวีลิ่งอี๋เดินเสียงเบาผิดปกติ นางไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด สวีลิ่งอี๋ก็เอ่ยเรียกป้าเถียนเสียงเบาแล้วพูดว่า “ฮูหยินตื่นแล้ว!” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ท่านแม่ พี่สะใภ้สองและน้องสะใภ้ห้ามาหาเจ้า เห็นว่าเจ้าหลับอยู่จึงไม่ได้ปลุก บอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาใหม่ จุนเกอและเจี้ยเกอก็มาดูน้องชายแล้วเหมือนกัน” พูดจบเขาก็หัวเราะ “พวกเขาทั้งสองคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ถามว่านอนกับน้องได้หรือไม่”
เมื่อนึกถึงสองพี่น้องนั่น สืออีเหนียงก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “พวกเขาสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
“สบายดี” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “พวกเขาทั้งสองคนไปเรียนด้วยกันทุกวัน เลิกเรียนด้วยกัน เป่าขลุ่ยด้วยกัน ทำโคมไฟด้วยกัน…คิดไม่ถึงว่าเจี้ยเกอจะสนิทกับจุนเกอขนาดนี้” พูดพลางถอนหายใจ