ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 454 ระลอกคลื่น (กลาง)
ถัดมาอีกไม่กี่วัน เด็กในท้องก็เหมือนกับกำลังเล่นซ่อนแอบกับสวีลิ่งอี๋อย่างไรอย่างนั้น เวลาที่สวีลิ่งอี๋วางมือไว้บนท้องของสืออีเหนียงอย่างไม่ตั้งใจ เด็กในท้องก็จะดิ้นอย่างคึกคัก แต่หากเขาลูบคลำท้องของสืออีเหนียงอย่างตั้งใจ เด็กในท้องกลับไม่ดิ้นแม้แต่นิดเดียว
สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างตั้งหน้าตั้งตารอคอยเด็กคนนี้ คงจะเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก!
สืออีเหนียงยิ้มกว้าง
ร่าเริงแจ่มใสกับซุกซน ขั้นกลางเพียงแค่เส้นบางๆ เท่านั้น!
เพียงไม่กี่วัน จวนสกุลกานก็ได้ส่งเทียบเชิญสีแดงสดที่เขียนด้วยอักษรสีทองมาให้
งานแต่งของเฉาเอ๋อร์กำหนดเป็นวันสิบค่ำเดือนเก้า
“แต่งงานออกเรือนเร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน” สืออีเหนียงถอนหายใจกับสวีลิ่งอี๋ว่า “หากอยู่ที่จวนนั้นต่อ ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง! ไปถึงบ้านสามีแล้วถึงแม้ว่าจะไม่คุ้นชิน แต่อย่างน้อยๆ ยังมีสินเดิมอยู่ในมือ ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อย”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่โลภในสินเดิมของภรรยา หากไม่มีจวนสกุลเดิมที่แข็งแรงพอ การดูแลรักษาสินเดิมถือเป็นการยากยิ่งสำหรับหญิงสาว
“เฉาเอ๋อร์แต่งงานออกเรือน เจ้าจะไปส่งนางหรือไม่” เขาเป็นกังวลใจกับเรื่องนี้มากกว่า
สืออีเหนียงเข้าใจถึงเจตนาของสวีลิ่งอี๋ จึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “วันที่นางแต่งงานออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝา ข้าก็ไม่ไปแล้ว แต่ของที่จะให้นางไว้เป็นสมบัติก้นหีบข้าอยากจะไปส่งมอบให้นางด้วยตัวเอง ถือโอกาสนี้ล่ำลากับนางดีๆ”
เฉาเอ๋อร์แต่งงานไปที่ฝูเจี้ยน บางทีชีวิตนี้ก็อาจไม่มีโอกาสที่จะได้พบกันอีก!
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงถือโอกาสหลังจากที่ฝนตกบรรยากาศเย็นสดชื่น เดินทางไปยังจวนจงฉินปั๋ว
ในจวนไม่มีการเฉลิมฉลองร่วมยินดีกับเจ้าสาวที่จะแต่งงานออกจวน บนใบหน้าของบ่าวรับใช้เต็มไปด้วยสีหน้าที่หวาดผวาและระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
กานฮูหยินรับชุดกาน้ำชาลวดลายดอกเหมยที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บของหิมะแบบเดียวกันกับราชวังจากสืออีเหนียง สีหน้าของนางค่อนข้างฝืนยิ้ม “รบกวนฮูหยินลำบากมาถึงที่นี่” จากนั้นก็เดินไปส่งสืออีเหนียงที่เรือนของเฉาเอ๋อร์
ตอนที่เฉาเอ๋อร์เห็นหน้ากานฮูหยิน สายตาของนางค่อนข้างเย็นชา จากนั้นก็ไปรินน้ำชาให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง สีหน้าจึงดูดีขึ้นมานิดหน่อย นางถามสืออีเหนียงว่า “เจ้าสบายดีหรือไม่!” สายตาของนางจับจ้องไปที่ท้องของสืออีเหนียง
“สบายดี!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดถึงจุดประสงค์การมาของนาง
เฉาเอ๋อร์เดาจุดประสงค์การมาของสืออีเหนียงได้ นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “โทษก็แต่ข้าที่เลือกวันได้ไม่ดี”
กานฮูหยินได้ยินแล้วก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก พูดขัดขึ้นว่า “วันที่กำหนดนั้นคณะดาราศาสตร์เป็นคนคำนวณให้ หากฟังพี่ชายของเจ้ากำหนดเป็นเดือนสิบก็ชนกับเดือนที่ฮูหยินสี่คลอดพอดี เช่นนั้นก็ยิ่งมาไม่ได้ไปกันใหญ่!”
เฉาเอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหันไปมองนางแม้แต่นิดเดียว ก็อย่าไปนึกว่านางจะตอบเลย เมื่อนางพูดจบ เฉาเอ๋อร์ก็พูดกับสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้มว่า “ข้านึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาเร็วขนาดนี้” จากนั้นนางก็สั่งสาวใช้น้อยที่อยู่ข้างๆ ว่า “ไปนำห่อผ้าสีน้ำเงินสดของข้ามา” พูดพลางหันไปมองสืออีเหนียง “ท่านแม่บอกว่านางเป็นหญิงหม้าย กลัวว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ดังนั้นจึงไหว้วานข้าช่วยมอบเสื้อผ้ารองเท้าและถุงเท้าให้กับคุณชายน้อยที่กำลังจะถือกำเนิดแทน…ยังมีผ้าคลุมอีกหนึ่งผืน เหลือนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว อีกสักสองวันหลังจากที่ข้าทำเสร็จ ข้าจะให้สาวใช้น้อยส่งไปให้เจ้า” ขณะที่พูดอยู่นั้น สาวใช้น้อยก็นำห่อผ้าขนาดใหญ่เข้ามาถึงพอดี
สืออีเหนียงตื้นตันใจเป็นอย่างมาก รีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ “เจ้าเองก็มีงานเย็บปักถักร้อยที่จะต้องทำอยู่แล้ว ยังจะรบกวนเจ้าช่วยทำเสื้อผ้าเด็กให้ข้าอีก”
“ข้าวของของข้าท่านแม่ใหญ่เตรียมเสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว” เฉาเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “แค่เอาออกจากห้องเก็บของก็เท่านั้น ฮูหยินสี่ไม่ต้องเกรงใจไป!”
ทุกคำพูดของนางประชดประชันกานฮูหยินอย่างจัง จนกานฮูหยินหน้าเสีย สีหน้าค่อนข้างแย่ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าสืออีเหนียง จึงไม่สะดวกจะพูดโต้ตอบอะไร
ทุกครอบครัวย่อมมีปัญหาภายในอยู่แล้ว
สืออีเหนียงจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น จากนั้นก็ให้จู๋เซียงพานางไปทักทายกานไท่ฮูหยิน แล้วจึงขอตัวลากลับ
หลังจากกลับไปถึงจวน หู่พั่วที่เปลี่ยนไปสวมชุดของสตรีที่แต่งงานแล้วกำลังยืนคุยกับป้าซ่งอยู่ใต้ชายคา
เมื่อเห็นสืออีเหนียง ทั้งคู่ก็รีบเข้ามาย่อตัวทำความเคารพ ป้าซ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นางตั้งใจมาคารวะท่านโดยเฉพาะ แต่ท่านไปที่จวนจงฉินปั๋วเสียก่อนเจ้าค่ะ”
ปลายเดือนเจ็ด สืออีเหนียงไหว้วานให้เหวินอี๋เหนียงช่วยจัดงานแต่งให้กับหู่พั่ว ให้พ่อบ้านไป๋เตรียมห้องที่เรือนปีกของเรือนซีฉวิ๋นออกมาสามห้องเพื่อใช้เป็นเรือนหอให้กับหู่พั่ว วันค่ำหนึ่งเดือนแปด หู่พั่วก็ได้แต่งงานออกเรือนท่ามกลางความปิติยินดี สืออีเหนียงกำชับนางว่าเดือนสิบค่อยกลับมาทำงาน นึกไม่ถึงเลยว่านางจะกลับมาวันนี้เลย
“เหตุใดถึงไม่มาบอกสักคำ!” หู่พั่วประคองสืออีเหนียงเข้าไปในเรือน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
“เพราะบ่าวมีเรื่องจะขอร้องฮูหยินเจ้าค่ะ!” หู่พั่วพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมกับหันไปมองป้าซ่ง
ป้าซ่งเองก็เม้มปากยิ้มขึ้น
สืออีเหนียงค่อยๆ ขึ้นไปบนเตียงเตาด้วยท่าทีที่งุ่มง่าม จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรื่องอันใดหรือ ทำตัวมีลับลมคมใน”
ป้าซ่งยิ้มพร้อมกับให้เหล่าบรรดาสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในเรือนชั้นในออกไปจนหมด “สะใภ้ก่วนชิงอยากจะให้ฮูหยินช่วยรับคนไว้หนึ่งคนเจ้าค่ะ!”
สะใภ้ก่วนชิงก็คือหู่พั่ว
สืออีเหนียงเพิ่งจะรู้สึกชินกับการเรียกเช่นนี้
หลายวันมานี้ ที่เรือนของนางกำลังคัดเลือกสาวใช้
“เรื่องนี้บ่าวบังเอิญไปได้ยินเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยเกิดความคิดนี้ขึ้นมาเจ้าค่ะ” หู่พั่วอธิบายเสียงเบา “นางมีนามว่าซิ่วเหลียน ตั้งแต่ยังเล็กก็ถูกหมั้นให้กับอู๋ลิ่วยามรักษาการ บ่าวได้ยินก่วนชิงบอกว่าเดิมทีอู๋ลิ่วนั้นเป็นผู้คุ้มกัน ฝีไม้ลายมือถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ เหล่าบรรดาพ่อบ้านผู้ดูแลต่างก็ให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก ส่วนซิ่วเหลียนนั้นบ่าวแอบไปดูนางมาแล้ว หน้าตาสะอาดสะอ้าน ฝีมือการเย็บปักถักร้อยก็ดี เป็นคนที่มีนิสัยใจคออ่อนโยนเป็นอย่างมาก นางจะสามารถเป็นสาวใช้ใหญ่ได้หรือไม่ก็ต้องรอดูผลงานนางแล้ว แต่หากให้เป็นสาวใช้ระดับสองไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”
ที่ลานนอกของจวนโหวมีผู้ดูแลอยู่คนหนึ่ง ดูแลรับผิดชอบงานทั่วไปของลานนอก ดูแลเหล่าบรรดาพ่อบ้านราวสามสิบกว่าคน แตกต่างก็คือดูแลฝ่ายรายงาน ฝ่ายดูแลทั่วไป ห้องตำรา ห้องบันทึกข้อมูล ห้องเก็บของ ศาลบรรพชน ห้องครัว ห้องน้ำชา โรงเย็บปักถักร้อย ห้องแจ้งชั่วยาม โรงม้า ฝ่ายส่วนไร่นาและทางหน้าร้านค้า ฝ่ายรายงานรับผิดชอบสัมพันธไมตรีของแขกที่มาเยี่ยมเยียน ดูแลและรับของขวัญจากแขก ห้องบันทึกข้อมูลจะบันทึกเกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินที่เข้าออกภายในจวน ฝ่ายดูแลความเรียบร้อยทั่วไปรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของจวน ทั้งสามฝ่ายนี้สำคัญและมีผลต่อจวนเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ว่านต้าเสี่ยนประจำอยู่ที่ห้องบันทึกข้อมูล ก่วนชิงและเฉาอานประจำอยู่ที่โรงเก็บของ เรียนรู้งานเกี่ยวกับงานของฝ่ายรายงาน ส่วนก่วนชิงนั้นตอนนี้ไม่สามารถอยู่ที่โรงเก็บของได้เพราะหู่พั่ว ฝ่ายรายงานและฝ่ายสวนไร่นาได้ผลประโยชน์ที่สุด อย่างแรกเมื่อมีแขกมาก็จะได้รับซองแดง ส่วนอย่างหลังสามารถแสวงหาผลกำไรจากการให้เช่าที่ดิน ทั้งสองฝ่ายนี้ไม่ใช่คนของฮูหยิน หากแต่เป็นคนของสวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควน การแทรกแซงเข้าไปจึงไม่ใช่เรื่องง่ายและค่อนข้างเป็นที่จับจ้อง บวกกับก่วนชิงไม่มีศิลปะป้องกันตัว จึงควรเลือกร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆ หรือสวนไร่นาจะดีกว่า
เรื่องของฉินอี๋เหนียงทำให้สืออีเหนียงรับรู้ได้ถึงความเปราะบางของชีวิตภายใต้ลำดับชั้นที่เหนือกว่าและความต้อยต่ำกว่าอย่างชัดเจน
บางทีเรื่องแบบนี้อาจมีอยู่ในสังคมที่นางเคยสนใจเรื่องความเท่าเทียมและเสรีภาพ หากนางไม่ได้เป็นชนชั้นพิเศษ ผลกระทบก็คงจะไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้
เรื่องนี้ทำให้นางหนักแน่นในแผนการของนางมากยิ่งขึ้น ในเมื่อไม่สามารถหนักแน่นและเด็ดขาดเท่าไท่ฮูหยินได้ เช่นนั้นก็รอให้คุณหนูเก้าสกุลเจียงแต่งงานเข้าจวนมาแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ มอบสิทธิ์และอำนาจผู้ดูแลหลักให้กับฮูหยินของซื่อจื่อก็แล้วกัน!
แต่ในใจของสืออีเหนียงก็เข้าใจเป็นอย่างดี คนเรามักเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม หลังจากที่นางมอบอำนาจและสิทธิ์ทั้งหมดออกไป หากจะมุ่งหวังให้คนที่กตัญญูเช่นสวีซื่อจุนให้มาใช้ชีวิตที่ทรงเกียรติและน่าเกรงขาม ก็คงจะเป็นเพียงแค่ในอุดมคติ กลายเป็นแค่กานไท่ฮูหยินคนที่สองเท่านั้น! นางจำเป็นที่จะต้องติดตามและควบคุมความเคลื่อนไหวของจวนสกุลสวีอยู่เสมอ เข้าใจปัญหาทุกอย่างเป็นอย่างดี ตัดสินใจให้ถูกต้องเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ความขัดแย้งก็ต้องปกป้องสิทธิและอำนาจของตัวเอง มิเช่นนั้นจะมีคติพจน์ที่ว่า ‘ไม่ควรมีจิตใจที่ประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น และไม่ควรขาดจิตใจที่ระมัดระวังภัยและป้องกันตนเอง’ ได้อย่างไรกันเล่า
เมื่อนึกถึงตรงนี้ มันจำเป็นที่จะต้องอาศัยความสัมพันธ์ทางแวดวงสังคม จะพูดให้ถูกก็คือหากสามารถมีคนของตนอยู่ในห้องบันทึกข้อมูล ฝ่ายรายงานหรือฝ่ายดูแลความเรียบร้อยทั่วไปได้…
สืออีเหนียงก็หันไปสั่งกับป้าซ่งโดยที่ไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวว่า “เรื่องนี้ ท่านต้องไปจัดการด้วยตัวเอง”
ป้าซ่งขานรับด้วยความสุขุม
จากนั้นสืออีเหนียงก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
“วันนี้หู่พั่วตั้งใจมาคารวะข้าโดยเฉพาะ” สืออีเหนียงถือโอกาสตอนที่ไท่ฮูหยินพึ่งเล่นไพ่จีนจบไปหนึ่งตา นางพูดขึ้นว่า “อยากของานให้ก่วนชิงสักงาน ข้าคิดว่าพวกเขาเพิ่งจะแต่งงานไป อีกทั้งยังเป็นคู่สามีภรรยาที่อายุน้อย ก็เลยตั้งใจมาขอความเมตตาจากไท่ฮูหยิน ของานในเมืองเยี่ยนจิงให้ก่วนชิงสักงานเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว เจ้าไปปรึกษาหารือกับเจ้าสี่จัดการกันเองก็พอ!”
สืออีเหนียงหย่อนกายนั่งลงข้างๆ ไท่ฮูหยิน “ท่านช่วยบอกกล่าวกับท่านโหวทีเถิดนะเจ้าคะ!” ราวกับว่านางไม่กล้าจะเอ่ยปากเองอย่างไรอย่างนั้น
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
ตกกลางคืนก็ได้คุยเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นสืออีเหนียงนั่งอยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยินอย่างสนิทสนม เขาก็ขานรับด้วยความนอบน้อม
หลังจากกลับเรือนไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้ดีจริงเชียวว่าต้องเอาอกเอาใจท่านแม่!”
“เอาอกเอาใจอะไรกัน!” สืออีเหนียงพูดขึ้นพึมพำ “ที่ข้าทำอยู่เรียกว่าให้เกียรติและเคารพต่างหาก!”
“เช่นนั้นหรือ!” สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้วขึ้นสูง จ้องมองนางด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แววตาอ่อนโยน “แล้วเจ้าจะแสดงความเคารพต่อข้าที่กำลังจะจัดหาหน้าที่การงานให้กับพวกเขาอย่างไร!”
สืออีเหนียงนึกถึงช่วงเช้าของหลายวันที่ผ่านมานี้ ความเป็นชายของเขาที่ฮึกเหิมและพร้อมจะสู้อย่างเต็มที่อยู่หว่างกลางขาอ่อนของนาง…ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที นางไม่ตอบกลับคำพูดของเขา หันไปรับถ้วยน้ำชาจากสาวใช้น้อยมาให้เขาแทน จากนั้นนางก็ย่อตัวทำความเคารพด้วยความนอบน้อม “ท่านโหว เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ!” ดวงตาของนางแวววาวเป็นประกาย เคล้าด้วยสีหน้าที่หยอกล้อเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋จึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับดึงนางเข้ามากอด จากนั้นก็หอมแก้มนางไปฟอดใหญ่
เขารู้สึกว่าสืออีเหนียงที่ฉลาดหลักแหลมนั้นน่ารักเป็นอย่างมาก
*****
ต่อมาเพียงไม่กี่วัน ฟังซีและชิวอวี่สาวใช้ในเรือนของสืออีเหนียงก็ได้เลื่อนขั้นเป็นสาวใช้ระดับสอง จากนั้นก็มีการเพิ่มสาวใช้น้อยเข้ามาใหม่อีกสามคน มีซิ่วเหลียน อวี้เหมยและหงเหลียน
สืออีเหนียงค่อนข้างให้ความสำคัญกับการหาคู่ครองให้ลี่ว์อวิ๋น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถึงเทศกาลทานปู เชยชมดอกเบญจมาศเสียแล้ว
จี้ถิงได้ทำการปลูกพืชพันธุ์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เนินเขาดอกเบญจมาศเล็กๆ ถูกสร้างขึ้นในลานสวนของไท่ฮูหยิน ทั้งเนินเขาเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศ แต่ละเรือนยังได้นำดอกเบญจมาศไปจัดใส่แจกันแล้วนำไปประดับเรือน เมื่อทอดสายตามองออกไป ก็จะเห็นว่าทั้งจวนหย่งผิงโหวนั้นเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศ อีกทั้งยังมีคุณนายใหญ่สกุลหงจากเมืองหนานจิงที่ให้คนส่งปูมาฝากสี่ตะกร้า สวีลิ่งควนจึงเอะอะว่าอยากจะจัดงานเลี้ยงในจวน ดูละครงิ้ว เชยชมดอกเบญจมาศและทานปู
ปูเป็นอาหารฤทธิ์เย็น สืออีเหนียงทานอาหารฤทธิ์เย็นไม่ได้ ส่วนสวีซื่อจุนไม่กล้าที่จะแตะปูเพราะกลัว
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ปูสี่ตะกร้าจะไปจัดงานเลี้ยงอะไรกัน พวกเจ้าอยากทานอยากเล่น เหตุใดต้องลำบากคนไปทั่วทั้งจวน ห้ามใครตะกละอยากทานของอร่อยในบ้าน” จากนั้นก็ให้ป้าตู้เตรียมส่งปูทั้งสี่ตะกร้าให้กับจวนอื่นแทน “นำไปมอบให้นายท่านผู้เฒ่าตรอกหงเติงหนึ่งตะกร้า มอบให้หวงฮูหยินจวนหย่งชังโหวหนึ่งตะกร้า มอบให้หลินฮูหยินที่อยู่ใกล้ๆ หนึ่งตะกร้า แล้วก็มอบให้ซื่ออี๋หนึ่งตะกร้า”
ซื่ออี๋ที่ไท่ฮูหยินพูดถึงนั้นหมายถึงซื่อเหนียงพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงและฮูหยินห้าหันมาส่งยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณไท่ฮูหยิน
หลังจากที่นำไปฝากให้กับซื่อเหนียงเรียบร้อยแล้ว ซื่อเหนียงก็ได้มอบสุราจินหวากลับมาให้สี่ไห
“ฮูหยินของบ่าวกำลังตั้งครรภ์” ป้ารับใช้สูงวัยที่นำของขวัญตอบแทนมามอบให้กำลังยืนอยู่หน้าประตูด้วยความนอบน้อม “อยู่ในช่วงเคลื่อนไหวตัวลำบาก ก็เลยสั่งให้บ่าวมาแทน ยังให้บ่าวฝากมาเรียนอีกด้วยว่ารอให้เด็กโตขึ้นสักหน่อย จะมากล่าวขอบคุณไท่ฮูหยินด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับถามไถ่ไปยกใหญ่ว่า “ตั้งครรภ์ได้กี่เดือนแล้ว สุขภาพครรภ์แข็งแรงดีหรือไม่” จากนั้นจึงค่อยให้ป้ารับใช้สูงวัยเดินทางกลับไป
ส่วนคุณชายห้าสวีลิ่งควนหลังจากที่ได้รับคำสั่งจากไท่ฮูหยินแล้ว ก็อาศัยประโยชน์จากข้ออ้างนี้เพื่อที่จะไปเที่ยวเล่นข้างนอกกับสหายร่วมคณะและสหายคนสนิท หลายต่อหลายครั้งที่คุณชายห้าแอบให้ฮูหยินห้าสวมชุดบ่าวรับใช้ชายปลอมตัวออกไปเที่ยวข้างนอกด้วย สวีซื่อเจี่ยนเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก จึงไปออดอ้อนขอให้อาจารย์จ้าวหยุดสอน เช่นนี้เขาก็จะสามารถปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ชายติดตามอาจารย์จ้าวออกไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาและพบปะสหายข้างนอกนั่นได้
สวีซื่อฉินเห็นแล้วก็ทั้งโมโหและรู้สึกขำในเวลาเดียวกัน แต่คำพูดของสวีซื่อเจี่ยนก็ได้เตือนสติเขา เขาจึงไปเก็บดอกเบญจมาศที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงจากเรือนหน่วนเก๋อมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็อาศัยวันหยุดพักผ่อนชวนสวีซื่อเจี่ยนไปที่ลั่วเย่ว์