ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 451 จมปลัก (ปลาย)
“ฉินอี๋เหนียงบอกว่าจุนเกอตายแล้ว ฮูหยินสี่ก็แท้งบุตรอย่างนั้นหรือ” ไท่ฮูหยินเหลือบตาไปมองป้าตู้
ป้าตู้ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มขึ้นบางๆ โดยที่ดวงตาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย
เหลียนเจียวรีบพยักหน้าทันควัน สายตาจับจ้องไปยังสืออีเหนียงที่กำลังหลุบตาลงต่ำอยู่ “อี๋เหนียง…อี๋เหนียงพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“ดูท่าแล้ว ฉินอี๋เหนียงคงจะเลอะเลือนจริงๆ” ไท่ฮูหยินถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ได้ให้เหลียนเจียวถอยออกไป หันไปถามกับป้าตู้ว่า “ตอนนี้อวี้เกอเอ๋อร์อยู่ที่ไหน”
ช่วงบ่ายของเมื่อวานสวีซื่ออวี้ได้รีบเดินทางกลับมาจากเล่ออาน หลังจากที่คารวะทำความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปที่ลั่วเย่ว์ บ่ายวันนี้เพิ่งจะกลับจากลั่วเย่ว์ ไท่ฮูหยินจึงได้เรียกเหลียนเจียวไปถาม
ป้าตู้จึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ท่านโหวกำลังคุยกับคุณชายน้อยสองอยู่ที่ห้องตำราเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงที่นั่งเงียบมาโดยตลอดว่า “พ่อลูกกว่าจะได้เจอหน้ากันไม่ใช่เรื่องง่าย ดูท่าแล้วคงจะคุยกันอีกนาน พวกเราก็ไม่ต้องรอแล้ว” พูดจบก็หันไปสั่งให้สาวใช้น้อยไปตั้งโต๊ะอาหาร
สืออีเหนียงขานรับ จากนั้นก็ไปที่ห้องปีกทิศตะวันออกพร้อมกับไท่ฮูหยิน นางทานอาหารไปนิดหน่อย แล้วพาสวีซื่อเจี้ยกลับเรือน
ระหว่างทาง สวีซื่อเจี้ยก็คอยสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียงเป็นพักๆ
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับถามเขาว่า “เป็นอะไรไป”
สวีซื่อเจี้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือขอรับ”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
สวีซื่อเจี้ยเห็นว่านางยังคงเงียบไม่พูดอะไร จึงมั่นใจว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นเป็นจริง เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าเป่าขลุ่ยให้ท่านฟังดีหรือไม่ พอข้าเป่าขลุ่ยแล้วข้าก็จะอารมณ์ดีขึ้นมา ท่านก็อาจจะอารมณ์ดีไปด้วยขอรับ”
สืออีเหนียงรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก ความรู้สึกย่ำแย่เมื่อครู่นี้จางลงไปไม่น้อย
นางลูบใบหน้าของสวีซื่อเจี้ยเบาๆ ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ดีเลย!”
สวีซื่อเจี้ยดีอกดีใจ รีบจูงมือของสืออีเหนียงวิ่งไปด้านหน้า “เช่นนั้นเรารีบกลับเรือนกันเถิดขอรับ!”
พลอยทำให้สะใภ้หนานหย่งตกใจจนรีบไปขวางเขาไว้ “คุณชายน้อยห้า ระวังเจ้าค่ะ ระวังหน่อยเจ้าค่ะ ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์อยู่นะเจ้าคะ!”
สวีซื่อเจี้ยรีบปล่อยมือของสืออีเหนียงทันที พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าดึงท่านแรงไปหรือขอรับ”
“ไม่เป็นอะไรๆ” หลังจากที่นางตื่นขึ้นในเช้าวันนั้น จู่ๆ อาการแพ้ท้องของนางก็หายไปอย่างน่าแปลกประหลาด สืออีเหนียงสามารถทานอาหารและนอนพักผ่อนได้ตามปกติ ถึงแม้ว่าท่าทางของนางจะไม่ได้คล่องตัวเหมือนเช่นเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้เทอะทะจนไม่เป็นอันทำอะไร เมื่อเห็นว่าสวีซื่อเจี้ยเป็นห่วง นางก็จูงมือของเขาไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นอะไร!”
สวีซื่อเจี้ยจึงค่อยรู้สึกวางใจลง พากันกลับไปที่เรือนพร้อมกับสืออีเหนียงด้วยความร่าเริง จากนั้นเขาก็เป่าขลุ่ยให้สืออีเหนียงฟังอยู่หลายบทเพลง
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
หลายวันมานี้เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องของสวีซื่อจุน ช่วงนี้จึงไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังสวีซื่อเจี้ยเป่าขลุ่ยดีๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะฝึกเป่าบทเพลงใหม่ได้ตั้งหลายเพลง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด จึงโอบกอดสวีซื่อเจี้ยไว้ในอ้อมกอด “เจี้ยเกอเอ๋อร์เรียนรู้เร็วจริงๆ!”
สวีซื่อเจี้ยได้ฟังแล้วก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “ท่านอาจารย์ก็บอกว่าข้าเก่งมาก คนอื่นใช้เวลาฝึกตั้งหนึ่งเดือน แต่ข้าใช้เวลาแค่สองสามวันก็เป็นแล้ว อีกสองสามวันก็จะเริ่มสอนข้าดีดพิณด้วย” ข ณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ชะงักไป ก่อนจะค่อยๆ พูดต่อไปว่า “แต่ทว่า ท่านอาจารย์บอกว่าเรื่องนี้ต้องได้รับอนุญาตจากท่านพ่อก่อนถึงจะได้”
“เจ้าหมายถึงเรื่องเรียนดีดพิณหรือ” สืออีเหนียงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยฝึกเป่าขลุ่ยกับเขาก็ไม่เห็นว่าจะเป็นทางการขนาดนี้
“ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยตอบกลับไปว่า “ท่านอาจารย์เคยถามว่าข้ายินดีที่จะกราบไหว้เขาเป็นอาจารย์สอนดีดพิณหรือไม่ ข้าจึงตอบกลับไปว่าข้ายินดี ท่านอาจารย์ดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นท่านอาจารย์ก็ลูบศีรษะของข้าเบาๆ แล้วพูดกับข้าว่า รอท่านอาจารย์ปรึกษาหารือกับท่านพ่อก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
คงจะเป็นการกราบไหว้อาจารย์อย่างเป็นทางการแบบถ่ายทอดและสืบสานที่ตกทอดกันมากระมัง
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ
อาจารย์จ้าวผู้นี้ ดูแล้วไม่เพียงแต่มากวิชาความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่มีศิลปะและมากความสามารถอีกด้วย
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาถึงพอดี
สีหน้าของเขาค่อนข้างเคร่งขรึม เมื่อเห็นสวีซื่อเจี้ยกำลังพูดคุยอยู่ในอ้อมกอดของสืออีเหนียง สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เห็นว่าในมือของสวีซื่อเจี้ยถือขลุ่ยไม้ไผ่ไว้หนึ่งเลา จึงนึกว่าเขากำลังฝึกเป่าขลุ่ยอยู่ ก็เลยตักเตือนเขาว่า “ต่อไปอย่าเป่าขลุ่ยจนดึกเช่นนี้อีก” จากนั้นก็ได้ให้สะใภ้หนานหย่งพาเขาไปเข้านอน
หลังจากที่สวีลิ่งอี๋ชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองสามีภรรยาก็นอนคุยกันอยู่บนเตียง
“ท่านโหวไปคารวะท่านแม่แล้วหรือเจ้าคะ”
“ไปแล้ว!”
เช่นนี้ก็แสดงว่าเขาคงจะรู้สถานการณ์ของฉินอี๋เหนียงแล้ว เรื่องบางเรื่องนางก็ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำอีกรอบ
สืออีเหนียงพูดขึ้นว่า “อวี้เกอเอ๋อร์ว่าอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เขาพูดกับข้าอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ถามข้าว่าฉินอี๋เหนียงทำพิธีสาปแช่งจุนเกอใช่หรือไม่!”
เด็กคนนี้ ตอนแรกเขาเพียงแค่ฉลาดเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับทั้งหัวไวและเฉียบแหลม
“เช่นนั้น…ท่านโหวตอบกลับไปว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“ในเมื่อเขาเดาได้แล้ว ข้าเองก็เลยไม่ปิดบัง” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “เขานั่งก้มหน้าก้มตาเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ถามว่าเรื่องนี้จะพูดกับคนข้างนอกว่าอย่างไร ข้าเห็นว่าเขาฉลาดและชัดเจน จึงได้กำชับเรื่องที่สำคัญกับเขาไป เขาก็ได้คุกเข่าลงกับพื้นคำนับข้าไปสามครั้ง ขอร้องให้ข้าอนุญาตให้เขาไปปรนนิบัติฉินอี๋เหนียงที่ลั่วเย่ว์” ขณะที่พูดอยู่นั้นก็ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “วาจาและการกระทำของเขาทั้งสุขุมและหนักแน่น ราวกับผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ไม่ปาน”
เปรียบเทียบกับซื่อจื่อผู้สืบทอดที่ยังเหมือนเด็กน้อยเช่นสวีซื่อจุน เหตุใดสวีลิ่งอี๋จะไม่รู้สึกผิดหวังเล่า
*****
สวีซื่ออวี้รู้สึกว่าคอเสื้อของเขาเปียกชุ่มไปหมด
เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนากับบิดา และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่บิดาไม่ใช้สายตาที่คาดหวังในการมองเขา แต่กลับใช้สายตาที่ชื่นชมในการมองเขาแทน!
เขาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงโดยหงายหน้าขึ้น ใบหน้าของฉินอี๋เหนียงพลันปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ดวงตาก็ค่อยๆ รื้นขึ้นมา
เหวินจู๋เข้ามาช่วยสวีซื่ออวี้ถอดรองเท้าอย่างเบามือเบาเท้า พอเห็นว่าสวีซื่ออวี้กำลังหลับตาอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า นางจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นำผ้าห่มบางมาห่มให้สวีซื่ออวี้
จู่ๆ สวีซื่ออวี้ก็พูดขึ้นว่า “เจ้าไปเก็บข้าวเก็บของ เช้าตรู่พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปที่ลั่วเย่ว์ ให้เหลียนเจียวไปกับข้าด้วย”
เหลียนเจียวรู้เรื่องเยอะขนาดนี้ ชีวิตของนางคงจะอันตรายไม่น้อย แทนที่จะดึงใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สู้เลือกนางเสียยังดีกว่า
เหวินจู๋ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ขานรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” แล้วจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณชายน้อยสอง ท่านทานอาหารค่ำแล้วหรือยังเจ้าคะ เมื่อวานนี้บ่าวเพิ่งไปขอแป้งข้าวสาลีใหม่จากห้องครัวมาจำนวนหนึ่ง ให้บ่าวทำขนมเปี๊ยะทอดต้นหอมให้ท่านทานสักชามดีหรือไม่เจ้า…”
“ไม่ต้องแล้ว” สวีซื่ออวี้ตัดบทสนทนาของเหวินจู๋ไป “ข้าเพิ่งทานกับท่านพ่อที่ลานนอกมา!”
เขาเพิ่งจะพูดจบ ชิ่นเซียงก็เข้ามาพอดี “คุณชายน้อยสอง คุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ!”
เวลานี้?
สวีซื่ออวี้ลุกขึ้นนั่งด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็ให้ชิ่นเซียงเชิญเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปนั่งรอที่ห้องโถง ส่วนตัวเองก็ให้เหวินจู๋มาปรนนิบัติล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนชุดใหม่ แล้วจึงค่อยไปเจอเจินเจี่ยเอ๋อร์
ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายเดือน เจินเจี่ยเอ๋อร์ดูผิวพรรณนวลผ่องกว่าเดิมค่อนข้างมาก
“ได้ยินว่าพี่สองกลับมาแล้ว” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มขึ้นบางๆ พร้อมกับพูดต่อไปว่า “ก็เลยนำแตงโมดำของผังเก้อจวงมาให้พี่สองดับร้อนเสียหน่อย”
สวีซื่ออวี้จึงกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ให้เหวินจู๋ตักน้ำมาแช่แตงโมไว้ แล้วจึงพูดกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “ น้องหญิงใหญ่อย่าพึ่งรีบกลับ ข้าขอยืมดอกไม้มาถวายพระ เชิญเจ้าทานแตงโมด้วยกัน”
“ได้สิ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์ตกปากรับคำอย่างเต็มใจ แล้วถามถึงเรื่องของฉินอี๋เหนียงขึ้นมา “…ยังสบายดีหรือไม่”
“ยังสบายดี!” นอกจากคำนี้แล้ว สวีซื่ออวี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ในใจของเขาสับสนวุ่นวายและไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้ต่อ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นก็พากันพูดคุยเกี่ยวกับเล่ออานกับสวีซื่ออวี้ “..เคยเจอหน้าคุณหนูเก้าสกุลเจียงแล้วหรือไม่ ตอนนี้นางคงจะตัวสูงขึ้นแล้วกระมัง นางได้เล่าเรียนกับท่านอาจารย์เจียงหรือไม่ หรือว่าไปเรียนงานเย็บปักถักร้อยกับอาสะใภ้สกุลเจียง ปกติแล้วท่านไปเที่ยวกับสหายร่วมคณะที่ไหนบ้าง” คำถามมากมาย
สวีซื่ออวี้จึงตอบกลับไปว่า “ตอนที่ไปขอคำชี้แนะการเรียนกับท่านอาจารย์เจียง ก็เจออยู่หลายครั้ง แต่เพราะไม่ได้สังเกตดูดีๆ จึงไม่รู้ว่านางตัวสูงขึ้นหรือไม่ นางไม่ได้ร่ำเรียนกับท่านอาจารย์เจียง แต่ร่ำเรียนกับอาจารย์หญิงภรรยาของท่านอาจารย์เจียงแทน” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นว่า “มีครั้งหนึ่ง อาจารย์หญิงเคยเรียกข้าไปถามว่าฝีมืองานเย็บปักถักร้อยของท่านแม่ดีมากใช่หรือไม่ ยังพูดอีกว่า ตอนที่อยู่ในเมืองเยี่ยนจิง มักจะได้ยินผู้คนพูดถึงฝีเข็มการเย็บปักถักร้อยของท่านแม่อยู่บ่อยครั้ง ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดฝีมือแห่งเมืองเยี่ยนจิงเชียว”
“ยอดฝีมือแห่งเมืองเยี่ยนจิงหรือ” เจินเจี่ยเอ๋อร์หัวเราะออกมาเบาๆ “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเช่นนี้”
“ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน” สวีซื่ออวี้นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นบางๆ “ตอนคุยกับอาจารย์หญิงข้าโอ้อวดเกินจริงไปมาก แต่อาจารย์หญิงกลับรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา จึงไปเชิญช่างปักเย็บที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเล่ออานมาสอนการเย็บปักถักร้อยให้กับคุณหนูเก้า”
เหวินจู๋ยกแตงโมเข้ามาพอดี
สองพี่น้องก็พากันทานแตงโม เจินเจี่ยเอ๋อร์ถามคำถาม สวีซื่ออวี้ก็ตอบคำถาม พูดคุยเกี่ยวกับเมืองเล่ออาน เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วขอตัวลากลับเรือน
สวีซื่ออวี้ก็ได้เดินไปส่งนางที่ประตู
เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้พูดถึงจุดประสงค์ของการมาหา นางคงจะตั้งใจนำแตงโมมาให้เขาจริงๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
หลังจากกลับไปที่เรือนแล้ว ก็เห็นเหวินจู๋และชิ่นเซียงกำลังเก็บข้าวของเครื่องใช้ของเขา ยังดีที่เขาเพิ่งจะกลับมา ข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่จึงยังไม่ได้ถูกนำออกมา เพียงแค่จัดระเบียบนิดๆ หน่อยๆ ก็เพียงพอ
รู้สึกว่าทุกครั้งที่กลับมาก็มักเป็นเช่นนี้เสียทุกครั้ง เขาไม่ได้รีบนำข้าวของออกมาจัดระเบียบในทันที เพราะรู้สึกว่าอีกไม่กี่วันก็จะต้องเดินทางไปที่เล่ออาน ถึงเวลานั้นก็จะต้องเก็บข้าวของเข้าหีบใหม่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สวีซื่ออวี้ถึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
จากนั้นเขาก็ชะงักไปชั่วขณะ
เหตุใดถึงรู้สึกผ่อนคลายลง…
สวีซื่ออวี้นึกถึงเมื่อครู่นี้ เขาพูดค่อนข้างเยอะ เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นฝ่ายนั่งฟังเขาอย่างเงียบๆ เสียส่วนใหญ่
ที่เจินเจี่ยเอ๋อร์มาหา ก็เพียงเพื่อต้องการจะมาปลอบโยนตนหรืออย่างไรกัน
แล้วเจินเจี่ยเอ๋อร์รู้เรื่องแค่ไหนกัน
สวีซื่ออวี้เหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
*****
วันถัดมา สวีซื่ออวี้ก็ได้เดินทางไปที่ลั่วเย่ว์
ป้าหยางอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “การมีบุตรชายก็ดีเยี่ยงนี้ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ยังมีคนปรนนิบัติดูแล!”
หยางอี๋เหนียงจ้องมองผ้าไหมที่ต้องปักรูปเด็กน้อยอีกสองคนก็จะเป็นอันเสร็จเรียบร้อย นางยิ้มขึ้นบางๆ
ใช้เวลาอีกประมาณครึ่งเดือน งานปักชิ้นนี้ก็จะสามารถนำไปมอบให้ผู้อื่นได้แล้วกระมัง!
ทางด้านเฉียวเหลียนฝัง พอได้ยินแล้วก็เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ เท่านั้น นางปรึกษาหารือกับซิ่วหยวนว่า “เช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าไปขอร้องกับทางพ่อบ้านไป๋อีกรอบ ป้าตู้ไม่รู้จักบ่าวรับใช้ชายอายุน้อยเหล่านั้น พ่อบ้านไป๋ก็คงจะไม่ได้ไม่รู้จักด้วยกระมัง!”
คนอื่นเขาจะไม่รู้จักได้อย่างไรกันเล่า ก็เพียงแค่ไม่อยากที่จะยื่นมือมายุ่งกับเรื่องนี้ก็เท่านั้น!
ซิ่วหยวนตอบกลับอย่างนุ่มนวลว่า “บ่าวได้ยินมาว่าเรือนที่ตรอกจินอวี๋ของฮูหยินใกล้จะเสร็จแล้ว พ่อบ้านไป๋กำลังยุ่งวุ่นกับเรื่องนี้อยู่ คงจะไม่ว่างมาดูแลเรื่องพวกนี้หรอกกระมัง บ่าวว่าช่างเถิดเจ้าค่ะ!” แล้วหันไปย้ำเตือนกับเฉียวเหลียนฝังอีกทีว่า “ท่านว่าเราควรส่งของขวัญอวยพรไปก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ใช่พิธีขึ้นบ้านใหม่อะไรเสียหน่อย จะส่งของขวัญอวยพรไปทำไมกัน” เฉียวเหลียนฝังรีบปฏิเสธอย่างไม่เห็นด้วย “ทางฝั่งนั้นมีเหวินอี๋เหนียงคอยสร้างความครึกครื้นอยู่แล้ว พวกเราไม่ต้องทำอะไรก็แล้วกัน” ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เราไปคุยเรื่องนี้กับเหวินอี๋เหนียงดีหรือไม่! จวนสกุลเหวินของนางมีพ่อบ้านมากมาย จะหาใครสักคนที่เหมาะสมไม่ได้เชียวหรือ!” พูดจบ นางก็ไปยังเรือนของเหวินอี๋เหนียงทันที
เหวินอี๋เหนียงกำลังครุ่นคิดเรื่องของฉินอี๋เหนียง
นี่ก็เดือนกว่าแล้ว คุณชายน้อยสองก็กลับมาแล้ว คาดว่าฉินอี๋เหนียงคงจะเหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วกระมัง…
พอได้ยินว่าเฉียวเหลียนฝังมาหา นางก็รีบทิ้งความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นไป รีบตรงไปยังห้องโถง
หลังจากที่รู้จุดประสงค์การมาของนาง เหวินอี๋เหนียงก็ค่อนข้างลำบากใจ
หากเป็นเมื่อหลายปีที่แล้ว เรื่องแค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กและธรรมดามาก หากได้ช่วยเฉียวเหลียนฝังจัดการเรื่องนี้แล้ว ก็ถือเป็นการกระชับมิตรภาพไปในตัว แต่สองปีมานี้ จวนสกุลเหวินเกลียดนางและไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ร้านค้าที่เปิดในเขตจี่หนานก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย…แต่หากปฏิเสธเฉียวเหลียนฝังไปตรงๆ เฉียวเหลียนฝังคงจะต้องนึกว่าตนไม่ยินดีที่จะช่วยอย่างแน่นอน
นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อีกสองวันข้าค่อยส่งคนไปช่วยถามให้ได้หรือไม่! สักสองสามวันข้าค่อยให้คำตอบกับเฉียวอี๋เหนียงอีกที”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
ผ่านไปสองวัน ทางลั่วเย่ว์ก็ได้ส่งข่าวมาว่า ฉินอี๋เหนียงได้เสียชีวิตลงแล้ว
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง