ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 448 กลับจวน (ปลาย)
จู่ๆ ฉินอี๋เหนียงก็สะบัดมือออกอย่างเต็มแรง “ไม่ เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่ใช่คุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยสองยังอยู่ที่เล่ออาน ชุ่ยเอ๋อร์นังสารเลวคนนั้นเอาจดหมายของข้าไปให้ไท่ฮูหยิน ข้ารู้…นางกลัวว่าข้าจะไปคิดบัญชีกับนาง นางก็เลยชิงผูกคอฆ่าตัวตายไปเสียก่อน ข้ารู้ทุกอย่าง ข้ารู้ทุกเรื่อง ข้าไม่บอกกับพวกเจ้าหรอก…” สีหน้าของนางในตอนแรกนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสนวุ่นวาย พอพูดมาจนถึงตอนท้ายใบหน้าของนางก็ดูคล้ายจะยิ้มก็ไม่เชิง บวกกับใบหน้าที่ผอมและซูบตอบจนเห็นกระดูกของนาง พลอยทำให้เหลียนเจียวและเสี่ยวลู่จื่อที่ติดตามสวีซื่ออวี้มาพลอยรู้สึกตกใจไปด้วย ทั้งสองหันมาสบตากัน ไม่รู้ว่าควรฟังหรือไม่ควรฟังดี แต่เมื่อตอนหันกลับมา ไม่รู้ว่าประตูถูกปิดลงไปตั้งแต่เมื่อไร ป้ารับใช้ที่นำทางพวกเขาเข้ามาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สวีซื่ออวี้พลันรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดแทง เขาค่อยๆ คลานขึ้นไปบนเตียง จากนั้นก็จับมือของฉินอี๋เหนียงอีกครั้ง “ข้าคืออวี้เกอ ข้าคืออวี้เกอจริงๆ หลังจากที่รับจดหมายจากท่านแล้ว ข้าก็รีบกลับมาทันที หากท่านไม่เชื่อ ลองลูบศีรษะของข้าดู” พูดจบ เขาก็ก้มศีรษะลง จากนั้นก็นำมือของฉินอี๋เหนียงมาลูบผมของเขาเบาๆ
รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ เป็นรอยแผลเป็นที่ได้มาเพราะปีนต้นไม้ไปเล่นรังนกแล้วตกลงมา จนเกือบตายเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าคือคุณชายน้อยสอง เจ้าคือคุณชายน้อยสองจริงๆ ด้วย” ฉินอี๋เหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดีอกดีใจอย่างล้นพ้น จากนั้นก็โอบกอดสวีซื่ออวี้ไว้แน่น “ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าเจ้าจะต้องกลับมา เจ้าไม่ได้เป็นเหมือนคนเหล่านั้น เห็นว่าข้าเกิดจากครอบครัวที่ต้อยต่ำ ก็ทิ้งข้าอย่างไม่สนใจไยดี หากเจ้ารู้ว่าข้าป่วย เจ้าจะต้องกลับมาดูข้าอย่างแน่นอน…” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ นางก็ชะงักไป สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดระแวง “ยังมีใครอยู่ตรงนั้น ใคร เป็นคนที่ไท่ฮูหยินส่งมาใช่หรือไม่” ใบหน้าของนางท่วมท้นไปด้วยความหวาดกลัว
อี๋เหนียงกลัวไท่ฮูหยินเป็นอย่างมาก นางมักจะรู้สึกว่าไท่ฮูหยินนั้นทั้งเก่งกาจและน่ากลัว เวลาที่นางอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ก็สามารถสั่งเอาชีวิตของเหล่าบรรดาอี๋เหนียง สาวใช้หรือป้ารับใช้ได้เลย ตามหลักความเป็นจริงแล้ว ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในวงจรวัฏจักรแห่งห่วงโซ่ทั้งสิ้น สำหรับอี๋เหนียงแล้ว ไท่ฮูหยินเป็นคนที่สูงส่งและไม่อาจจะแตะต้องได้ คำพูดเพียงคำเดียวสามารถตัดสินความเป็นความตายของคนคนหนึ่งได้ แต่สำหรับไท่ฮูหยินแล้ว เบื้องบนของนางยังมีฮ่องเต้ ฮองเฮาและชื่อเสียงเรียงนามนับร้อยปีของสกุลสวี จึงไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ นี่คงเป็นดังคำพูดที่อาจารย์เจียงเคยสอนว่า วิสัยทัศน์ของคนเรามีทั้งใกล้และไกลฉันใด จิตใจของคนเราก็ย่อมมีทั้งแคบและกว้างฉันนั้น!
สวีซื่ออวี้ค่อยๆ สางผมที่ยุ่งเหยิงของฉินอี๋เหนียงอย่างเบามือ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ไม่มีคนนอก ที่นี่มีเพียงเสี่ยวลู่จื่อและเหลียนเจียว พวกเขามาเยี่ยมท่านเป็นเพื่อนข้าเท่านั้น”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วไม่เพียงแต่ไม่ผ่อนคลายลงเท่านั้น แต่กลับเครียดหนักกว่าเดิม สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ตะโกนโวยวายเสียงดังลั่นว่า “ให้พวกเขาออกไป…ให้พวกเขาออกไปให้หมด” จากนั้นก็หันมากระซิบข้างหูสวีซื่ออวี้ว่า “ข้าจะบอกอะไรเจ้า สาวใช้และบ่าวรับใช้ชายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นนกสองหัวทั้งนั้น เจ้าดูอย่างชุ่ยเอ๋อร์สิ ข้าดีกับนางถึงขนาดนั้น นางยังทำร้ายข้าได้ลงคอ…คนเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้เลย”
สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็ค่อนข้างกระอักกระอ่วนใจ
เมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นสาวใช้หรือป้ารับใช้ หยวนเหนียงก็เป็นคนจัดหาเองทั้งสิ้น คนเหล่านั้นไม่เคยห้ามปรามตอนที่เขาทำความผิดเลย ตอนนั้นเขายังเด็กมาก จึงไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง พอโตขึ้นมาหน่อยก็ได้ร่ำเรียนกับป้าสะใภ้สอง ถึงแม้ว่าจะเก่งขึ้นมากแล้ว แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย จนมาได้เสี่ยวลู่จื่อที่ป้าสะใภ้สองแนะนำมา เขาไม่เพียงแต่ซื่อสัตย์และภักดีเท่านั้น มีตรงไหนที่ตนคิดไม่ถึงหรือขาดตกบกพร่องไป เสี่ยวลู่จื่อก็มักจะคอยช่วยเตือนสติอยู่เสมอ ไม่ใช่บ่าวรับใช้ประเภทที่คอยแต่จะประจบสอพลอหรือประเภทที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่มีปากไม่มีเสียงไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น
อี๋เหนียงพูดเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เสี่ยวลู่จื่อเสียใจ!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง
แต่ในเรือนกลับว่างเปล่า ไม่มีเสี่ยวลู่จื่อและเหลียนเจียวเลย
เสี่ยวลู่จื่อฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถ ทั้งยังสังเกตสีหน้าเป็นอีกด้วย คงจะถอยออกไปแล้วกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ๆ สวีซื่ออวี้ก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ตั้งแต่เข้าประตูมา เสี่ยวลู่จื่อก็รู้สึกว่าฉินอี๋เหนียงแปลกๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นมารดาของคุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยย่อมไม่อยากให้คนอื่นเห็นฉินอี๋เหนียงที่กำลังตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้
เขาจึงแอบดึงแขนเสื้อของเหลียนเจียวเบาๆ ส่งสายตาบอกเป็นนัยให้นางออกไปรอข้างนอกพร้อมกับเขา
แต่เหลียนเจียวก็เอาแต่นึกถึงคำพูดที่หู่พั่วได้สั่งไว้ ‘ตอนนี้ฉินอี๋เหนียงจำใครไม่ได้เลย ประเดี๋ยวเจ้าอย่าออกห่างคุณชายน้อยสองจนเกินไป ระวังฉินอี๋เหนียงเป็นบ้าขึ้นมาแล้วจะไปทำร้ายคุณชายน้อยสองเข้า’
นางจึงเล่าคำพูดที่หู่พั่วสั่งไว้ให้เสี่ยวลู่จื่อฟัง “คนหนึ่งสติดี คนหนึ่งสติเลอะเลือน คนหนึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด ส่วนอีกคนเป็น…”
เหลียนเจียวยังไม่ทันจะพูดจบ เสี่ยวลู่จื่อก็ได้ยินฉินอี๋เหนียงพูดขึ้นว่าชุ่ยเอ๋อร์ทำร้ายนาง
เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “เราไปหลบอยู่หลังซุ้มไม้แกะสลักดีกว่า หากฉินอี๋เหนียงเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา เจ้าก็เข้าไปดึงคุณชายน้อยสอง ส่วนข้าจะไปขวางฉินอี๋เหนียงไว้เอง”
เหลียนเจียวพยักหน้ารับรู้ ทั้งคู่พากันไปหลบอยู่หลังซุ้มไม้แกะสลักอย่างเบามือเบาเท้า
สวีซื่ออวี้เอ่ยปลอบโยนฉินอี๋เหนียงเสียงเบา “ไม่เป็นไร พวกเขาเป็นคนของข้า อี๋เหนียงมีอะไรก็พูดออกมาได้เลย…”
อี๋เหนียงเอาแต่หวาดระแวงบ่าวรับใช้ของเขา เอาแต่คิดว่าคนเหล่านั้นมีเจตนาแอบแฝง แต่สำหรับเขาแล้ว ถึงแม้บางคนจะประจบสอพลอไปบ้าง แต่หากว่าจะพูดถึงเรื่องเจตนาร้ายแอบแฝง ตอนที่หยวนเหนียงเป็นผู้ดูแลหลักอาจจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ส่วนสืออีเหนียงถึงแม้ว่าภายในจะดูโอหัง ใช่ว่าจะไร้ซึ่งแผนการหรือกลอุบายใดๆ แต่ถ้าหากชัยชนะนั้นได้มาด้วยความไม่ซื่อสัตย์ ก็ไม่ควรค่าให้ความสนใจใดๆ
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วกลับรีบผลักสวีซื่ออวี้ออกพร้อมกับตะโกนด้วยความแปลกใจ
“เจ้าไม่ใช่คุณชายน้อยสอง เจ้าไม่ใช่คุณชายน้อยสอง” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางรีบถอยเข้าไปที่มุมเตียงอีกครั้ง กอดผ้าห่มไว้แน่นพร้อมกับพูดขึ้นพึมพำว่า “คุณชายน้อยสองไม่พูดจาเช่นนี้กับข้า! ข้ารู้…ข้ารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเจ้าปลอมตัวเป็นคุณชายน้อยสองมาหลอกข้า…”
“อี๋เหนียง!” สวีซื่ออวี้จ้องมองฉินอี๋เหนียงด้วยความตกใจ พลันรู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยชอบมาพากล
เขาจ้องมองฉินอี๋เหนียงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวาราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ คลานเข้าไปหาฉินอี๋เหนียง
“ท่านเป็นอะไรไป” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “อี๋เหนียงเป็นคนเขียนจดหมายให้ข้าเองไม่ใช่หรือ ท่านเขียนจดหมายมาบอกข้าว่าอาการใจสั่นของท่านกำเริบอีกแล้ว ให้ข้ารีบกลับมาที่บ้านไม่ใช่หรือ เหตุใดท่านถึงจำมันไม่ได้แล้ว”
ฉินอี๋เหนียงขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับเอียงศีรษะเล็กน้อย
สวีซื่ออวี้จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสนิทสนมมากกว่าเดิมว่า “ท่านจำได้หรือไม่ ตอนที่ข้ายังเด็ก เราเคยสัญญาด้วยกัน” เขาพูดขึ้นพร้อมกับหันกลับไปมองด้านหลัง “ปีนั้นดอกกุ้ยฮวาบานสะพรั่งไปทั่ว ท่านจึงทำน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาแล้วแอบเอาไปฝังไว้ที่ใต้ต้นไม้ พอถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิท่านก็นำออกไปทำขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยฮวา ไท่ฮูหยินมอบหมายให้ท่านป้าสะใภ้สองเป็นคนดูแลข้า ท่านจึงไม่กล้ามาหาข้าตามอำเภอใจ จึงฉวยโอกาสตอนที่หิมะตกหนักและไม่มีใครอยู่ที่เรือน แอบเอาขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยฮวาซ่อนไว้ในเสื้อแล้วเอามาให้ข้าทาน จากนั้นท่านก็คอยย้ำคอยเตือนข้านับครั้งไม่ถ้วน ว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร หากว่าไท่ฮูหยินรู้เรื่องเข้า ท่านก็จะไม่สามารถมาหาข้าได้อีก จนถึงตอนนี้ข้าก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลย แล้วอี๋เหนียงเล่า…ได้บอกเรื่องนี้กับผู้อื่นหรือไม่”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้ว ใบหน้าของนางก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นมา “ข้าจำได้ ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว เพราะกลัวว่าขนมเปี๊ยะดอกกุ้ยฮวาเย็นแล้วจะไม่อร่อย ก็เลยนำไปซุกไว้ในเสื้อ พอกลับไปแล้วแผ่นอกของข้าก็พลอยเป็นรอยแดงขนาดใหญ่ไปด้วย” นางพูดขึ้นพลางกวาดตามองไปหาสวีซื่ออวี้ด้วยแววตาที่ว่างเปล่า “ข้าเองก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผู้อื่น เจ้าเป็นคุณชายน้อยสอง เจ้าเป็นคุณชายน้อยสองจริงๆ…”
สวีซื่ออวี้กุมมือของนางไว้แน่น นึกถึงคำพูดของบิดาขึ้นมา ว่าอี๋เหนียงคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน น้ำตาของเขาก็ค่อยๆ ซึมออกมา “อี๋เหนียงมีอะไรที่จะกำชับข้าหรือไม่ ข้ายังเป็นคนเดิมเหมือนเช่นเมื่อก่อน จะไม่บอกกับใครทั้งนั้น!”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
ฉินอี๋เหนียงผลักผ้าห่มที่อยู่ในอ้อมกอดไปไว้ข้างๆ จากนั้นก็จับมือของสวีซื่ออวี้ไว้ ดวงตาที่มองไม่เห็นอะไรแต่กลับกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง “เจ้าเงียบๆ ไว้ ข้าจะลองฟังดูว่าในนี้มีคนหรือไม่!” จากนั้นนางก็เอียงศีรษะและเงี่ยหูฟังอีกครั้ง ฟังอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ นั่งตัวตรงขึ้นมาแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าฟังดูแล้ว ในนี้ไม่มีคน!” จากนั้นนางก็ค่อยๆ ไล่สัมผัสไปตามแขนของเขา หยุดลงตรงไหล่ทั้งสองข้างของเขา ดึงเขาให้นั่งตัวตรง พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “คุณชายน้อยสอง เจ้าตั้งใจฟังให้ดี เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างมาก” พูดจบ นางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พูดต่อไปด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและจริงจังยิ่งกว่าเดิม “เจ้าต่างหากที่เป็นซื่อจื่อที่แท้จริงของจวนหย่งผิงโหว!”
อีกแล้ว…
สวีซื่ออวี้อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา พูดขึ้นอย่างจนใจว่า “อี๋เหนียง ข้าเคยบอกท่านไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นบุตรชายคนโต แต่เป็นบุตรชายที่เกิดจากอนุ บุตรชายของภรรยาเอกเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ขึ้นเป็นซื่อจื่อ นี่เป็นกฎเกณฑ์…”
“ไม่ใช่” ฉินอี๋เหนียงโต้แย้งเสียงดังว่า “สิ่งเหล่านั้นเชื่อถือไม่ได้ ก็เหมือนกับฮ่องเต้ คนที่สามารถขึ้นครองราชย์ได้ คือลิขิตสวรรค์ และคนที่สามารถเป็นซื่อจื่อสืบทอดตระกูลหย่งผิงโหวได้ ก็เป็นลิขิตสวรรค์เช่นกัน เจ้าก็คือซื่อจื่อแห่งตระกูลหย่งผิงโหวที่สวรรค์ได้เลือกแล้ว ต่อไปภายภาคหน้า เจ้าก็จะกลายเป็นหย่งผิงโหว ผู้สืบทอดกิจการและมรดกอายุนับร้อยปีของจวนสกุลสวี…”
สวีซื่ออวี้ตะโกนเรียกเสียงดัง “อี๋เหนียง!” ราวกับว่าต้องการจะปลุกมารดาของเขาให้ตื่นขึ้นมาจากฝันก็ไม่ปาน “สวีซื่อจุนได้เป็นซื่อจื่อไปแล้ว ท่านพ่อได้แต่งตั้งให้สวีซื่อจุนขึ้นรับตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว!”
ฉินอี๋เหนียงกลับหัวเราะดังลั่น
“ข้าบอกแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ยึดถือไม่ได้”
สวีซื่ออวี้ชะงักไปชั่วขณะ
เขานึกถึงคำพูดบิดาของตนขึ้นมา ‘มารดาของเจ้าด้อยประสบการณ์วิสัยทัศน์คับแคบ จึงได้ทำอะไรบางอย่างผิดไป แต่เห็นแก่นางที่ป่วยจนดวงตามืดบอด ข้าจึงไม่ได้สืบสาวราวเรื่องอะไรมากมาย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นกังวลและร้อนใจ เจ้ารีบไปเยี่ยมนางก่อนก็แล้วกัน หลังจากกลับมาแล้ว เราสองพ่อลูกค่อยมานั่งคุยกันอีกที’ จากนั้นเขาก็ได้นึกถึงท่านย่าของเขาที่เข้มงวดกับเขากว่าปกติที่ผ่านมา สืออีเหนียงที่ดูเหมือนพยายามหลบสายตา และสวีซื่อจุนที่จู่ๆ ก็เกิดป่วยขึ้นมา…
“ท่านทำอะไรลงไป”
คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยถูกเอ่ยออกมาจากปากของเขา
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย!” จู่ๆ ฉินอี๋เหนียงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!”
สวีซื่ออวี้จ้องมองนางด้วยความตะลึง เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมากำลังพรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขาเต็มไปหมด
“หากเจ้าเชื่อฟังฮูหยินสอง ตั้งใจเรียนรู้สิ่งที่นางสอนดีๆ นางเป็นสตรีที่สามารถดูแลลานนอกได้ เป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมและเก่งกาจ ถึงเวลานั้น พอท่านโหวเห็นว่าเจ้ารู้กระทั่งเรื่องของลานนอก ก็จะรู้ได้ในทันทีว่าใครกันแน่ที่เหมาะสมกับการรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลต่อ”
บิดาของเจ้าพึ่งชนะสงครามกลับมา แน่นอนว่าต้องดีใจเป็นอย่างมาก เขาเป็นคนที่จิตใจกล้าหาญ ดังนั้นเขาย่อมชอบคนที่จิตใจกล้าหาญอยู่แล้ว ประเดี๋ยวตอนที่เจ้าไปคารวะบิดาของเจ้า จำไว้ว่าห้ามทำตัวขลาดกลัวเป็นอันขาด หากเจ้าขลาดกลัวขึ้นมา บิดาของเจ้าก็จะไม่ชอบเจ้าอีก เจ้าอย่าได้เป็นเหมือนเช่นจุนเกออย่างเด็ดขาด…
ในเรือนหลัง ไท่ฮูหยินมีอำนาจสูงสุด ขอแค่เจ้าสามารถทำให้ไท่ฮูหยินรักและเอ็นดูเจ้าได้ แม้แต่แม่ใหญ่ของเจ้าก็จะไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้!
เจ้าจะกลัวไปทำไม เดิมทีเจ้าก็เป็นคนฉลาดหลักแหลมกว่าจุนเกอ มีความสามารถมากกว่าจุนเกออยู่แล้ว…เขาเป็นบุตรของภรรยาเอกแล้วอย่างไรเล่า เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโตเชียวนะ”
ไรผมของเขาค่อยๆ ผุดเม็ดเหงื่อขึ้นมา
“อี๋เหนียง” สวีซื่ออวี้พยายามข่มความเจ็บปวดที่ขมขื่นเอาไว้ “ท่านทำใช่หรือไม่…”
ทำอะไรบางอย่างที่ผิดต่อสวีซื่อจุนใช่หรือไม่!
แต่ในใจของเขากลับยังพอมีความหวังอันริบหรี่
เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าอี๋เหนียงจะวาดหวังอยู่เสมอว่าอยากให้เขาขึ้นมาเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอด แต่ฉินอี๋เหนียงเพียงแค่บ่นพึมพำกับเขาตามประสาเท่านั้น เวลาเจอไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองหรือคนอื่นๆ กลับเกรงกลัวเหมือนหนูที่เจอแมวอย่างไรอย่างนั้น ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรงเสียด้วยซ้ำ คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เขารู้ดีเป็นที่สุด
ฉินอี๋เหนียงจ้องมองเขาพลางหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ให้ข้าสาบานต่อหน้าพระโพธิสัตว์ก็ยังได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น! หากข้าได้ทำอะไรลงไปจริงๆ ตอนที่ถงอี๋เหนียงเสียชีวิต บิดาของเจ้าก็รู้ แล้วยังจะให้ข้ามีชีวิตอยู่รอดจนถึงตอนนี้หรือ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก จึงได้หัวเราะเสียงดังออกมา
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง