ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 446 กลับจวน (ต้น)
หลังจากคืนที่สวีซื่อจุนเกิดเรื่อง สืออีเหนียงก็ไม่เคยเอ่ยถึงฉาเซียงอีกเลย
ในการเผชิญหน้ากับความอยู่รอด ทุกคนล้วนเป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ เท่านั้น
สืออีเหนียงไม่อยากให้สวีซื่อจุนสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ก่อนวัยอันควร แต่ก็ไม่อยากจะโกหกเขา
“ฉาเซียงเป็นสาวใช้คนสนิทที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเจ้า หน้าที่ของนางก็คือต้องดูแลและปกป้องเจ้าให้ดี แต่นางกลับพาเจ้าออกไปข้างนอกกลางค่ำกลางคืนโดยที่ไม่รายงานไท่ฮูหยินหรือป้าตู้เลย ตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ควรจะทำ ถือเป็นการบกพร่องในหน้าที่ จึงไม่สามารถกลับมาปรนนิบัติรับใช้เจ้าได้อีก”
สวีซื่อจุนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เขาคอยถามผู้คนมากมาย รวมถึงป้าตู้ด้วย ทุกคนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าขอแค่เขาตั้งใจบำรุงรักษาร่างกายให้ดี รอร่างกายกลับมาแข็งแรงแล้ว ไท่ฮูหยินดีใจขึ้นมา ไม่แน่ว่าไท่ฮูหยินอาจจะเรียกตัวฉาเซียงให้กลับมาปรนนิบัติรับใช้เขาเหมือนเดิมก็ได้ เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกกับเขาตรงๆ โดยที่ไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ ฉาเซียงไม่สามารถกลับมาได้อีก
“แต่ว่า…” สวีซื่อจุนอดไม่ได้ที่จะแก้ตัวแทนฉาเซียง “เป็นเพราะข้าสั่งให้นางพาข้าออกไปเอง ฉาเซียงก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นขอรับ”
“นางอายุมากกว่าเจ้า รู้เรื่องมากกว่าเจ้า ดังนั้นไท่ฮูหยินจึงได้ให้นางมาดูแลรับใช้ที่เรือนเจ้า อีกทั้งยังให้นางดูแลปี้หลัวและคนอื่นๆ ด้วย” ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่การสื่อสารระหว่างกันเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง สืออีเหนียงจึงอธิบายให้สวีซื่อจุนฟังอย่างละเอียด “เจ้าทำผิด นางควรจะชี้ให้เห็นและห้ามปรามเจ้าจึงจะถูก หากเป็นเพราะความแตกต่างระหว่างนายกับบ่าว นางไม่สามารถจะหยุดยั้งเจ้าได้ ก็ควรจะรีบไปรายงานเรื่องนี้กับป้าตู้ ไม่ใช่ไปตัดสินใจเอาเอง แล้วพาเจ้าออกไปข้างนอกโดยพลการเช่นนี้”
สวีซื่อจุนหลุบตาลงต่ำ
ที่มารดาพูดมานั้นมีเหตุผล แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ในใจของเขากลับรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก!
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “แต่…แต่นางเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้นนะขอรับ”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นสาวใช้และบ่าวรับใช้ชายบางคนสามารถทำงานจนได้รับตำแหน่งเป็นพ่อบ้านหรือป้ารับใช้ได้ สาวใช้บางคนเมื่อถึงเวลาอันควรแล้วก็จะต้องแต่งงานออกจากจวนไป และบ่าวรับใช้ชายบางคนจนแก่เฒ่าแล้วก็เป็นได้แค่คนที่ช่วยวิ่งทำธุระให้พ่อบ้านเท่านั้น สาวใช้และบ่าวรับใช้ชายบางคนได้รับเบี้ยหวัดถึงสองตำลึงต่อเดือน อีกทั้งยังได้รับเงินรางวัลจากเจ้านายต่างหากอยู่เสมอ แต่สาวใช้และบ่าวรับใช้ชายบางคนกลับไม่มีเบี้ยหวัด อีกทั้งยังชอบถูกลงโทษอยู่เป็นประจำ สิ่งเหล่านี้คือความเกี่ยวข้องของการตั้งใจและไม่ตั้งใจทำงานของคนคนหนึ่ง”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับจับไหล่ของเขาไว้ “พอแล้ว รีบพักผ่อนแต่เช้า! พรุ่งนี้เรายังต้องไปสั่งกับทางลานนอกเตรียมของเซ่นไหว้ทั้งสามให้ป้าเถาด้วย!”
ใบหน้าของสวีซื่อจุนพลันปรากฏสีหน้าที่เศร้าสร้อยขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นจะต้องใช้เวลา
สืออีเหนียงมองดูสวีซื่อจุนที่กำลังเอนตัวนอนลง ช่วยเขาห่มผ้า ย้ายตะเกียงไฟไปไว้นอกห้อง กำชับแม่นมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยออกจากเรือนไป
ไท่ฮูหยินยังไม่ได้เข้านอน นางกำลังคุยอะไรบางอย่างกับป้าตู้อยู่ เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินออกมา นางก็ยิ้มพร้อมกับกวักมือเรียกสืออีเหนียง “มานั่งนี่มา!”
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหย่อนตัวนั่งลงข้างไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินกุมมือของนางเอาไว้ “บอกเรื่องป้าเถากับจุนเกอแล้วหรือ”
ป้าตู้ยกน้ำชาเข้ามาให้ด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “บอกแล้วเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็ได้พูดต่ออีกว่า “ส่งเขาเข้านอนแล้ว ข้าจึงค่อยออกมา”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจออกมาเบาๆ พูดขึ้นว่า “วันนี้ป้าตู้ไปดูฉินอี๋เหนียงมา อาการของนางไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่เพียงแต่พูดจาไม่รู้เรื่องเท่านั้น แม้แต่ป้าตู้ก็จำไม่ได้ ข้าว่าเจ้าควรส่งคนไปที่เล่ออานอีกครั้ง ให้อวี้เกอเอ๋อร์รีบกลับมาให้เร็ววันดีกว่า”
ฉินอี๋เหนียงไม่ได้ป่วย ทุกคนต่างรู้ดี ทันทีที่ป้าตู้กลับมาจากเขาลั่วเย่ว์ อาการป่วยของฉินอี๋เหนียงก็หนักลงกว่าเดิม…สีหน้าของสืออีเหนียงหม่นหมองลงเล็กน้อย ขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ”
ตกกลางคืนก็ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เลยไม่รู้สึกง่วงแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ไม่อยากปลุกให้สวีลิ่งอี๋ที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ตื่น นางจึงเอาแต่จ้องมองถุงหอมบนเพดานเตียงด้วยอาการเหม่อลอยไม่ขยับตัวใดๆ
สวีซื่ออวี้ไม่ได้เหมือนเช่นสวีซื่อจุน ที่เกลี้ยกล่อมเพียงไม่กี่คำก็จะยอมไปแต่โดยดี
อ่านตำราพันเล่มไม่สู้เดินทางหมื่นลี้ สองปีมานี้ เขามักจะเดินทางไปกลับระหว่างเยี่ยนจิงและเล่ออานอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังได้เล่าเรียนกับอาจารย์เจียงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ เขาไม่ใช่คุณชายน้อยสองคนเดิมที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในจวนอีกต่อไป ที่จวนเองก็ติดต่อเขาน้อยครั้ง จึงไม่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาได้อย่างถ่องแท้ หากบอกเรื่องที่ฉินอี๋เหนียงกระทำทั้งหมดกับเขา ก็จะเป็นการดีกับสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยิน แต่สำหรับนางนั้น ถึงแม้ว่าจะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างหมดจด แล้วความรู้สึกเล่า
ความรู้สึกสามารถจัดการได้ด้วยคำว่าหน้าที่หรือ
แล้วใครเล่าที่จะมาปลอบโยนและอบรมสอนสั่งเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบสี่ปีกัน
สืออีเหนียงนึกถึงฮูหยินสองขึ้นมา!
นางยังจำได้ตอนที่สวีซื่ออวี้จะเปลี่ยนบ่าวรับใช้ชาย ฉินอี๋เหนียงก็ได้เขียนจดหมายส่งให้ฮูหยินสองที่ซีซานด้วยความรีบร้อน…ฉินอี๋เหนียงไม่ไปหาไท่ฮูหยิน ไม่ไปหาสวีลิ่งอี๋ แต่กลับเลือกที่จะไปหาฮูหยินสองแทน และฮูหยินสองเองก็ไม่ได้ละเลยคำขอของฉินอี๋เหนียง รีบสั่งให้เสี่ยวลู่ไปปรนนิบัติรับใช้ข้างกายคุณชายน้อยสองทันที สำหรับฉินอี๋เหนียงแล้ว นางเชื่อถือและไว้วางใจฮูหยินสองมากกว่าสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินหรืออย่างไรกัน ยังมีสวีซื่ออวี้อีกคน เพราะฟังคำพูดของฮูหยินสอง เขาจึงสามารถคลายปมในใจไปได้ และเดินทางไปที่เล่ออานได้อย่างสบายใจ ทุกครั้งที่กลับมาจากเล่ออาน เขาก็มักจะไปทักทายฮูหยินสองด้วยความนอบน้อมเสมอ อีกทั้งยังไปปรึกษาหารือเรื่องการเรียนอยู่บ่อยครั้ง สำหรับสวีซื่ออวี้แล้ว เขาเชื่อมั่นและไว้วางใจฮูหยินสองมากกว่าสวีลิ่งอี๋และฉินอี๋เหนียงอีกหรือ
เมื่อทุกการกระทำของฉินอี๋เหนียงถูกเปิดเผยต่อเบื้องหน้าสวีซื่ออวี้ จะสามารถอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินสองกับฉินอี๋เหนียงสองแม่ลูก ขอให้ฮูหยินสองช่วยออกหน้าปลอบโยนสวีซื่ออวี้ได้หรือไม่นะ
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีแขนที่แข็งแรงและกำยำค่อยๆ โอบกอดเอวของสืออีเหนียงอย่างเบามือ
“กำลังคิดอะไรอยู่” น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นข้างหูของสืออีเหนียง ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นและสงบอย่างบอกไม่ถูก “นอนไม่หลับหรือ”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงอิงแนบอ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋ “กำลังคิดถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้…”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “ข้าเองก็รู้…แต่ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่…เรื่องบางเรื่อง ก็ควรให้ท่านแม่ช่วยเจ้าจัดการ…แต่อย่างไรเสีย ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะต้องรับหน้าที่เหล่านี้อยู่ดี…” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความลังเลใจ
“ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงข้า” ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็ถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ของนางอยู่แล้ว สืออีเหนียงพูดขึ้นเสียงเบา “ข้าก็เพียงแต่เป็นห่วงอวี้เกอเอ๋อร์เท่านั้น กลัวว่าถึงเวลานั้น หลังจากที่เขารู้เรื่องของฉินอี๋เหนียงแล้ว…”
สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าลงอย่างช้าๆ จุมพิตหน้าผากของสืออีเหนียงอย่างแผ่วเบา
“อวี้เกอไม่เหมือนเช่นจุนเกอ” เขาพูดขึ้นเสียงเบา “เขาเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ละเอียดอ่อนและรอบคอบ อีกทั้งยังมีจิตใจที่หนักแน่น เรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นว่า “แม้ว่าสองปีมานี้เขาจะเอาแต่ติดตามและเล่าเรียนกับอาจารย์เจียงจนบรรลุอย่างถ่องแท้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่พูด เขาก็สามารถเดาได้อยู่ดี บางทีเขาอาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายก็ได้ บางทีอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจู่ๆ เขาอาจจะขุดคุ้ยเรื่องพิธีสาปแช่งขึ้นมา เรื่องราวอาจจะแย่ไปกันใหญ่ แต่หากว่าพูดออกไปตรงๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเจ็บปวดและเสียใจ แต่จากนิสัยใจคอของเขาแล้ว เขาจะสามารถก้าวผ่านได้อย่างรวดเร็ว และจะเป็นผลดีกับเขาในภายภาคหน้าเสียมากกว่า”
นี่เป็นครั้งแรกที่สวีลิ่งอี๋พูดถึงสวีซื่ออวี้กับสืออีเหนียงอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา
หากตัดความแตกต่างระหว่างบุตรของภรรยาเอกและอนุทิ้งไป สำหรับสวีลิ่งอี๋แล้ว เกรงว่าสวีซื่ออวี้คงจะเหมาะกับตำแหน่งผู้สืบทอดของจวนหย่งผิงโหวมากกว่าสวีซื่อจุนกระมัง
เพราะเหตุนี้หรือไม่ ความรู้สึกของเขาถึงได้ลึกซึ้งมากมายขนาดนี้
สืออีเหนียงกุมมือใหญ่ของสวีลิ่งอี๋ที่วางอยู่บนเอวของนาง “ข้ารู้สึกว่าอวี้เกอเอ๋อร์ไม่ใช่คนเช่นนั้น!”
สวีลิ่งอี๋รู้ดีว่าสืออีเหนียงหมายถึงอะไร
หากว่าด้วยความรู้สึก เขาเองไม่เชื่ออย่างแน่นอน
และหากว่าด้วยหลักการและเหตุผล ไม่มีหลักฐาน เขาก็ยังจะต้องสงสัยอยู่ดี
เรื่องแบบนี้ แค่คิดก็พลอยแต่จะทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
สวีลิ่งอี๋ไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับสืออีเหนียงไปมากกว่านี้
“รีบเข้านอนเถิด! มีเรื่องอันใดก็รอให้เขากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ก็จริง ตอนนี้พูดอะไรไปก็เป็นการตีตนไปก่อนไข้เท่านั้น ต้องรอให้สวีซื่ออวี้กลับมาแล้วจึงจะสามารถรู้ได้
เพียงไม่นานก็ถึงช่วงปลายเดือนของเดือนหก ดอกบัวในทะเลสาบปี้อีกำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นของดอกบัวยามเย็น ตลบอบอวลไปทั่วทั้งเรือน
ทางซังโจวก็ได้ส่งคนมาปรึกษาหารือเรื่องสินสอดทองหมั้น
ตระกูลที่มั่งคั่งแต่งบุตรสาวทั้งที ขนบธรรมเนียมและขั้นตอนพิธีรีตองจึงค่อนข้างมาก อีกทั้งยังต้องให้ความสำคัญกับประโยคที่ว่า ‘แต่งบุตรสาวออกเรือนควรต้องแหงนหน้ามองสูงเข้าไว้ และเมื่อสู่ขอลูกสะใภ้ควรต้องก้มหน้ามองลงให้ต่ำ’ นอกจากจะต้องกักตัวอยู่แต่ในเรือนแล้ว การเตรียมตัวแต่งงานหนึ่งครั้งอาจใช้เวลาสามถึงห้าปีก็ว่าได้ นับย้อนกลับไปตอนที่สกุลเซ่ากำหนดวันหมั้นหมาย ตอนนี้ก็ถึงเวลาอันควรแล้วที่ครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะต้องมานั่งเจรจาปรึกษาหารือเรื่องงานแต่งด้วยกัน
เรื่องงานแต่งดำเนินมาจนถึงตอนนี้ หลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องของเหล่าบรรดาสตรีแล้ว ต่อจากนี้ก็จะเป็นหน้าที่ของสวีลิ่งอี๋และเหล่าบรรดาพ่อบ้านของฝั่งลานนอก แต่เหวินอี๋เหนียงยังคงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางตรวจทานรายการสินเดิมกับตงหงครั้งแล้วครั้งเล่า กลัวว่าจะมีอะไรตกหล่นอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงกำลังคิดบัญชีรายการหนึ่ง สวีลิ่งอี๋ได้นำเงินไปสองหมื่นตำลึง ต่อมาก็ได้เอาเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นตำลึง แต่ตอนนี้ดูจากสินเดิมที่เหวินอี๋เหนียงเตรียมให้เจินเจี่ยเอ๋อร์แล้ว เกรงว่าคงจะต้องใช้ราวสี่ถึงห้าหมื่นตำลึงจึงจะพอ บวกกับสมบัติและที่ดินที่สวีลิ่งอี๋จะมอบให้เจินเจี่ยเอ๋อร์อีกต่างหาก มูลค่าร่วมสองหมื่นแท่งเงิน…เกรงว่าตอนนั้น เจินเจี่ยเอ๋อร์คงจะกลายเป็นเศรษฐินีตัวน้อยไปแล้ว
นางอดไม่ได้ที่จะแอบครุ่นคิดในใจ สวีซื่ออวี้ สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย บวกกับอีกคนที่ยังอยู่ในท้องของนางเอง สวีลิ่งอี๋ต้องใช้เงินทองมากมายเท่าไรจึงจะสามารถทำภารกิจเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นได้!
เมื่อหาเวลาว่างได้ สืออีเหนียงก็ได้เดินทางเข้าวัง
ผิวพรรณขององค์หญิงใหญ่ขาวเนียนดุจแป้งผัดหน้าและหยกขาวก็ไม่ปาน น่ารักน่าชังและสดใสร่าเริง ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงรักและหวงแหนยิ่งกว่าสมบัติอื่นใด ย้อนแย้งทัศนคติของคนสมัยโบราณอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้ยกให้แม่นมเลี้ยงดูแทนแต่อย่างใด แต่กลับถูกเลี้ยงดูด้วยฮองเฮาในพระตำหนักคุนหนิง
ตอนที่สืออีเหนียงไปถึงนั้น ฮองเฮากำลังจูงมือขององค์หญิงใหญ่ที่อายุราวหนึ่งขวบฝึกเดินอยู่
ฮองเฮาได้งดการทำความเคารพของสืออีเหนียงไป จากนั้นก็ไปคุยกับนางที่ตำหนักข้างๆ
“อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้าเองก็อายุครรภ์มากขนาดนี้แล้ว มีธุระอะไรก็ใช้ให้ผู้บัญชากองร้อยสวีเข้าวังมาบอกข้าสักคำก็พอ”
ผู้บัญชากองร้อยสวีก็คือสวีลิ่งควน
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าฮองเฮาและฮูหยินสองนั้นสนิทสนมเป็นการส่วนตัว อีกอย่างฮูหยินสองก็เป็นคนตรงไปตรงมา จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันมีธุระก็เลยมา จะกล้าไปรบกวนคุณชายห้าได้อย่างไรกันเล่าเพคะ”
ฮองเฮาไม่ได้โกรธแต่กลับยิ้มขึ้นมาแทน สั่งให้นางในไปนำเก้าอี้จิ่นอู้มาให้นางนั่ง แล้วสั่งให้นางข้าหลวงหวงยกน้ำแกงเม็ดบัวไป่เหอมาให้สืออีเหนียงทาน
สืออีเหนียงกล่าวขอบพระทัย หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้ หลังจากที่ดื่มน้ำแกงเม็ดบัวไป่เหอเสร็จแล้ว ก็ได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของการมา “…เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังจะเจรจาเรื่องการแต่งงานกับทางสกุลเซ่า จึงอยากจะมาขอฮองเฮาช่วยประทานรูปปั้นเทพเจ้าฮกลกซิ่วทั้งสามเพื่อเป็นสิริมงคลแก่สินเดิมยกแรกเพคะ”
“เรื่องแค่นี้เอง ถึงขั้นต้องให้เจ้าลำบากเข้าวังเชียว” ฮองเฮาทรงตรัสขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ประเดี๋ยวข้าจะไปดูที่โรงเก็บของเสียหน่อย หาแบบสามองค์ที่ไม่ใหญ่จนเกินไป แต่ฝีไม้ลายมือละเอียดและประณีต”
ตรงกับเจตนาของสืออีเหนียงพอดี สีหน้าของสืออีเหนียงจึงดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
ฮองเฮาเห็นแล้วก็แอบพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้คุยเรื่องทั่วไปกับสืออีเหนียง แน่นอนว่าย่อมหนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร “…ต้นเดือนสิบใช่หรือไม่ ลูกหลานของท่านโหวสำคัญยิ่งนัก หมอหลิวเป็นคนมาเรียนข้า ข้าเองก็ได้คำนวณวันแล้ว ในวังมีหมอหญิงอยู่คนหนึ่ง นางเป็นคนทำคลอดให้ข้าเอง นางมีความรู้ด้านการแพทย์ ข้าเห็นว่าไม่เลวทีเดียว เลยให้นางอยู่ในวังก่อน เพื่อเก็บไว้ให้เจ้าใช้ ถึงเวลานั้นก็ให้นางไปช่วยเจ้าทำคลอด ส่วนเรื่องแม่นมก็ไม่ต้องเป็นกังวล ถึงเวลานั้นก็ค่อยเลือกคนที่กิริยาท่าทีใช้ได้จากจวนแม่นมสักสองสามคนมาปรนนิบัติรับใช้”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ขันทีเน่ยซื่อของทางฝั่งไท่จื่อเฟยก็เข้ามาพอดี
“ขอให้ฮองเฮาและไท่จื่อเฟยทรงมีข่าวดีในเร็ววันพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม!” ทั้งฮองเฮาและสืออีเหนียงต่างก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ฮองเฮาก็ทรงยิ้มเข้าไปใหญ่ พร้อมกับตรัสขึ้นว่า “เด็กสองคนนี้ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจริงเชียว…” จากนั้นก็ได้หันไปตรัสกับสืออีเหนียงว่า “หวังว่าครั้งนี้ สวรรค์จะประทานลูกกิเลน[1]มาให้”
—————————————————
[1]ลูกกิเลน กิเลนถือเป็นสัตว์มงคลของจีน มีความหมายหนึ่งในด้านความเฉลียวฉลาด เด็กที่ฉลาดจะถูกเรียกว่า ลูกกิเลน เชื่อกันว่ากิเลนจะประทานบุตรให้ กับครอบครัวที่มีคุณธรรมแต่ไม่มีบุตร
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง