ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 440 ประหลาดใจ (กลาง)
“เห็นบอกว่าไปไหว้วานป้าเถา แต่จริงๆ แล้วป้าเถามักจะช่วยฮูหยินคนก่อนรับมือกับเหล่าบรรดาพ่อบ้านและป้ารับใช้ผู้ดูแลหญิงที่อยู่ในจวนเสียส่วนใหญ่ หรือไม่ก็ช่วยฮูหยินคนก่อนบำรุงรักษาร่างกาย ในตอนนั้น ถึงแม้ว่าฮูหยินคนก่อนจะแท้งบุตรไปร่วมหนึ่งปีแล้ว แต่ร่างกายกลับยังขับออกมาไม่สะอาดเสียที หากไม่ใช่เร็วเกินก็ช้าเกิน บางครั้งก็ใช้เวลานับสิบวันหรือแม้กระทั่งครึ่งเดือน ป้าเถาร้อนใจเป็นอย่างมาก จึงไม่ค่อยได้ซักถามเรื่องของพวกข้าเท่าไรนัก เวลามีเรื่องอันใด ฮูหยินคนก่อนก็จะให้ป้ารับใช้ที่ประจำอยู่ในเรือนของพวกข้าเป็นคนแจ้งข่าวแทนเจ้าค่ะ”
เช่นนั้นก็แสดงว่าเหล่าบรรดาอี๋เหนียงถูกปล่อยให้เป็นอิสระ!
สืออีเหนียงถามต่อว่า “แล้วถงอี๋เหนียงแท้งบุตรได้อย่างไรกัน”
“รายละเอียดรูปธรรมของเหตุการณ์นั้นข้าไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนัก” เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา “ข้าทำได้แค่เล่าเหตุการณ์ที่ข้าพอจะรู้ในตอนนั้นให้ฮูหยินฟัง”
นางเริ่มเล่าว่า “ตอนนั้นข้าจำได้ว่าประมาณเดือนที่สองในฤดูใบไม้ผลิของเจี้ยนอู่ปีห้าสิบสาม เพราะการป่วยและการจากไปอย่างกะทันหันของคุณชายสองทำให้ไท่ฮูหยินเปลี่ยนไปกราบไหว้ที่วัดเย่าหวังแทน เช้าตรู่วันนั้น ตอนที่พวกข้าไปคารวะฮูหยินคนก่อน ฮูหยินคนก่อนและป้าเถากำลังปรึกษาหารือเรื่องจัดเตรียมรถม้าที่จะใช้เดินทางไปที่วัดเย่าหวัง ป้าเถาให้ฮูหยินคนก่อนติดตามไท่ฮูหยินไปไหว้พระที่วัดเย่าหวังด้วย เพื่อขอพรให้ฮูหยินคนก่อนมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงและสงบสุข ฮูหยินคนก่อนได้ยินแล้วก็รู้สึกเห็นด้วย แต่ก็เป็นห่วงว่าหากตนเดินทางไปด้วยแล้วจะไม่มีใครดูแลจวน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลใจ ป้าเถาจึงตบอกพร้อมกับรับปากว่านางจะเป็นคนดูแลและจัดการธุระในจวนเอง ฮูหยินคนก่อนจึงตัดสินใจติดตามไท่ฮูหยินไปไหว้พระที่วัดเย่าหวังในที่สุด
ป้าเถาก็ออกไปป่าวประกาศที่ลานนอกด้วยความดีอกดีใจ ส่วนพวกเราทุกคนก็พากันปรนนิบัติฮูหยินคนก่อนรับประทานอาหารเช้า ตอนนั้นฮูหยินอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ยังได้พูดว่าท้องของถงอี๋เหนียงนั้นแหลมกลม ไม่แน่บางทีอาจจะเป็นบุตรชายก็ได้ แล้วก็ได้ให้ขนมถั่วซงเหริ่นกับถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงคนละหนึ่งจาน หลังจากที่ทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้มาให้พวกข้านั่ง และยังได้ถามไถ่ถึงเด็กๆ ในครรภ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง…”
จู่ๆ สืออีเหนียงพูดตัดบทสนทนาของเหวินอี๋เหนียง “ให้ขนมถั่วซงเหริ่นกับถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียง แล้วให้อะไรกับเหวินอี๋เหนียงหรือ”
เหวินอี๋เหนียงตอบด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “ตอนนั้นข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ แม่นมบอกข้าว่าอย่าทานอาหารซี้ซั้ว แต่ข้าก็กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดเอา จึงบอกไปแค่ว่าทานอะไรไม่ลง ผ่านไปพักใหญ่ สุดท้ายทุกคนก็ไม่ได้คะยั้นคะยอให้ข้าทานต่อ”
คงกลัวว่ามีคนแอบใส่อะไรลงไปในอาหารกระมัง
หยวนอีเหนียงฉลาดหลักแหลม เป็นไปไม่ได้ว่านางจะดูไม่ออก แต่เหวินอี๋เหนียงกลับมองออกได้อย่างไรกัน แต่ดูจากนิสัยใจคอของหยวนเหนียงแล้ว ก็ไม่ใช่คนที่ทะนงตนหรือยึดถือในอำนาจ ไปบีบบังคับอนุภรรยาให้ลำบากใจ
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นเล็กน้อย
เหวินอี๋เหนียงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด นางพูดต่อไปว่า “ฮูหยินคนก่อนค่อนข้างเจ้าอารมณ์ พึ่งแต่งเข้าจวนมาไม่นาน ก็อบรมสั่งสอนจนถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงทั้งนอบน้อมและเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ข้าพึ่งมาใหม่ ก็อดไม่ได้ที่จะระแวดระวัง” น้ำเสียงของนางค่อนข้างกระอักกระอ่วนใจ
สืออีเหนียงเข้าใจความรู้สึกของนางดี จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับถามขึ้นว่า “แล้วต่อมาเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เหวินอี๋เหนียงตอบกลับไปว่า “ตอนนั้นข้ารู้สึกหิวเป็นอย่างมาก ก็เลยอ้างว่าไม่ค่อยสบายและขอตัวกลับเรือนไปก่อน เมื่อถึงตอนเที่ยงก็ได้เวลาไปปรนนิบัติฮูหยินทานอาหารเที่ยง แต่กลับรู้สึกว่าสีหน้าอารมณ์ของฮูหยินคนก่อนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฮูหยินกำลังนั่งไขว้ขาบนเตียงเตาริมหน้าต่าง มือที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นกำแน่น และกำลังจ้องมองป้าเถาที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ส่วนป้าเถานั้นหน้าดำคร่ำเครียดและกำลังบ่นเรื่องอะไรบางอย่างด้วยความโมโห ถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงยืนเรียงกันอยู่ข้างโต๊ะด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว ข้าเห็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยชอบมาพากล และก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงพยายามนึกว่าควรจะพูดอะไรดี ก็หันไปเห็นถงอี๋เหนียงส่งสายตามาให้ข้าพอดี” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น สายตาของนางก็หม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด นางทอดถอนใจออกมาเบาๆ “ปี้อวี้คนนี้ ไม่เพียงแต่หน้าตาดีเท่านั้น กิริยามารยาทก็ดี ทั้งนอบน้อมและมีคุณธรรม แต่เป็นคนที่หัวอ่อนเกินไปหน่อย…” นางชะงักไป เหมือนว่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบเสียง
เป็นเพราะตนเป็นน้องสาวของหยวนเหนียง จึงไม่สะดวกพูดอย่างนั้นหรือ หรือเป็นเพราะไม่สามารถหาคำพูดมาอธิบายความรู้สึกที่มีต่อถงอี๋เหนียงได้
สืออีเหนียงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าน้ำชาเย็นชืดหมดแล้ว
“พอข้าเห็นแล้ว ก็ได้เดินเข้าไปยืนเรียงข้างๆ พวกนางอย่างเงียบๆ” เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เพิ่งจะไปยืนข้างๆ เสร็จ จู่ๆ ฮูหยินคนก่อนก็เหลือบมามองข้าด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก จากนั้นก็ได้สั่งให้ป้าเถาจัดเตรียมอาหาร ป้าเถาไม่พอใจเท่าไรนัก ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงค่อยขานรับว่า ‘เจ้าค่ะ’ พร้อมกับถอยออกไป ถงอี๋เหนียงก็รีบเข้าไปรินน้ำชาถ้วยใหม่ให้กับฮูหยินคนก่อน ฮูหยินคนก่อนยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ สีหน้าและอารมณ์ก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย ข้าจึงถือโอกาสนี้เดินเข้าไปเพื่อที่จะพูดเรื่องตลกเสียหน่อย ป้าเถาก็ได้สั่งให้คนยกอาหารเข้ามาพอดี พวกข้าก็เลยจะเข้าไปช่วยงาน แต่ฮูหยินคนก่อนกลับโบกมือให้พวกข้าออกไปก่อน เหลือป้าเถาไว้อยู่คุยคนเดียวเท่านั้น
ข้าจึงแอบถามถงอี๋เหนียงว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นถงอี๋เหนียงจึงเล่าให้ข้าฟังว่าป้าเถาได้ไปหาพ่อบ้านที่ลานนอกเพื่อที่จัดเตรียมรถม้าสำหรับวันที่แปดเดือนสี่ แต่แล้วจู่ๆ รถม้าหลายคันกลับกำลังซ่อมแซมพร้อมๆ กัน ซ้ำยังซ่อมไม่เสร็จอีกด้วย ไม่นานก็มารายงานว่าคนขับรถม้าไม่พอเพราะพ่อบ้านไป๋ยังไม่ได้รับสมัคร อ้างโน่นอ้างนี่ตลอด ที่แน่ๆ คือไม่สามารถสรรหารถม้ามาให้ได้ ป้าเถาจนปัญญา สุดท้ายก็ได้ตัดสินใจไปหาพ่อบ้านไป๋ พ่อบ้านไป๋จึงพาบ่าวรับใช้ชายคนสนิทไปเลือกม้าและรถม้าที่โรงม้าด้วยตัวเอง จึงจัดการเรื่องรถม้าได้ในที่สุด
ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ท่านโหวจะไปเชื้อเชิญอี๋ฮูหยินมาโดยเฉพาะ และเวลานี้เองที่ลูกพี่ลูกน้องหญิงของไท่ฮูหยินก็เดินทางมาถึงพอดี พี่น้องเก่าแก่ที่ไม่ได้เจอกันมานานนับสิบปี แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเป็นธรรมดา ไท่ฮูหยินจึงได้ชวนอี๋ฮูหยินไปที่วัดเย่าหวังด้วย เพียงแต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ ก็จะต้องเพิ่มรถม้ามาอีกหนึ่งคัน ฮูหยินคนก่อนจึงคิดว่าหากต้องเพิ่มรถม้ามาอีกหนึ่งคัน ก็จะต้องลำบากยุ่งยากไปจัดหาใหม่อีกหนึ่งระลอก หลังจากกลับไปถึงที่เรือนแล้วก็ได้บอกกับป้าเถาว่านางไม่ไปที่วัดเย่าหวังแล้ว
แต่ป้าเถากลับรู้สึกไม่เห็นด้วย นางบอกว่าหากมีคนที่จะไม่ไป ก็ควรเป็นแม่หม้ายเช่นฮูหยินสองหรือฮูหยินสามที่กำลังตั้งครรภ์เสียมากกว่า เหตุใดถึงให้ฮูหยินที่เป็นผู้ดูแลหลักของเรือนชั้นในเป็นคนไม่ไปด้วยเล่า นางยังบอกอีกว่า หากฮูหยินคนก่อนไม่สะดวกใจจะพูดกับฮูหยินสอง นางจะเป็นคนไปช่วยพูดเอง
ฮูหยินคนก่อนได้ยินแล้วก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที บอกว่าหากฮูหยินสองถามขึ้นมาว่าเหตุใดถึงไม่ให้นางไปด้วย จะให้ตอบนางว่ารถม้าไม่พอหรืออย่างไรกัน ฮูหยินสองเคยเป็นผู้ดูแลหลักเรื่องการหุงต้มและอาหารการกินของเรือนชั้นใน ทั้งยังช่วยไท่ฮูหยินดูแลลานนอกอีกด้วย สถานการณ์ภายในของจวนเป็นอย่างไรนางย่อมรู้ดีที่สุด หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็คงจะถูกนางหัวเราะเยาะจนไม่เหลือชิ้นดี ว่าเป็นถึงฮูหยินของหย่งผิงโหว รถม้าเพียงแค่ไม่กี่คันก็ยังจัดการไม่ได้
ป้าเถารู้สึกว่ามีเหตุผล จึงออกความคิดเห็นว่าให้ฮูหยินสามไม่ต้องไป แต่ฮูหยินคนก่อนไม่เห็นด้วย ฮูหยินสามจิตใจคับแคบและชอบคิดเล็กคิดน้อยที่สุด ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว หากนางรู้ว่าคนในจวนจะไปเที่ยววัดวาอารามแต่กลับไม่ยอมให้นางไปด้วย นางจะต้องโวยวายไปฟ้องไท่ฮูหยินอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นหากไท่ฮูหยินถามขึ้นมา จะยิ่งขายหน้าเข้าไปใหญ่
ป้าเถาเองก็ร้อนใจขึ้นมา นางบอกว่า ฟ้าสูงแผ่นดินใหญ่แค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าบุตรชาย จะให้ยอมเช่นนี้หรืออย่างไรกันฮูหยินคนก่อนได้ยินแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจว่าไม่ไปแล้วป้าเถาและฮูหยินคนก่อนจู่ๆ ก็พากันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา”
“เช่นนี้ก็แสดงว่าพี่หญิงใหญ่ของข้ากับป้าเถาโมโหเรื่องนี้หรือ” สืออีเหนียงหันมาถามเหวินอี๋เหนียง
“อีกทั้งยังไม่รู้สึกดีใจแม้แต่นิดเดียว” เหวินอี๋เหนียงพยักหน้าเบาๆ “ตกบ่าย ป้ารับใช้ที่ดูแลเรื่องเย็บปักถักร้อยก็ได้มาหา บอกว่าตามกฎระเบียบดั้งเดิม เวลานี้ของปีที่ผ่านๆ มานั้นได้สั่งทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงถามว่าปีนี้จะจัดการอย่างไร หากว่าจะให้พ่อบ้านทางฝั่งลานนอกช่วยสั่ง ก็ให้เอาป้ายคู่ไปแจ้งกับทางลานนอกสักคำ แต่หากเรือนชั้นในจะสั่งกันเอง ก็สั่งให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ มิเช่นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิก็จะไม่ทันการณ์เอา
ในตอนแรกมันเป็นแค่เรื่องธรรมดาอย่างมาก แต่กลับทำให้ฮูหยินคนก่อนเดือดดาล ถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงตกใจกลัวจนไม่กล้าไปหา จึงพากันมานั่งเย็บปักถักร้อยที่เรือนของข้าแทน ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าสีหน้าของถงอี๋เหนียงไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ดูค่อนข้างเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย ก็เลยให้นางไปนอนพักที่เตียงของข้าเสียหน่อย แต่นางกลับบอกว่าไม่เป็นไร เพราะเราทั้งสามต่างก็ตั้งครรภ์เหมือนกัน เรื่องบางเรื่องก็ไม่สะดวกจะไปฝืนใจ นางบอกว่าไม่เป็นไร พวกข้าก็เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ พอถึงเวลาพลบค่ำ พวกข้าทั้งสามก็พากันไปปรนนิบัติฮูหยินคนก่อนรับประทานอาหารค่ำ หว่านเซียงกลับบอกว่าฮูหยินคนก่อนกำลังตรวจทานบัญชีกับป้าเถา ให้พวกข้ารออยู่ที่ข้างนอกก่อน
พวกข้าพากันรออยู่ครู่ใหญ่ ที่เรือนหลักก็ไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหว ข้าเองก็ยืนจนปวดขา ส่วนถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าเท่าไรนัก พากันเปลี่ยนท่ายืนอยู่ตลอดเวลา ข้าเห็นว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ก็เลยอ้างว่าปวดท้องแล้วจึงขอตัวไปที่ห้องชำระ แอบไปนั่งพักอยู่ครึ่งชั่วยามจึงค่อยออกมา
แต่ใครจะไปนึกว่าฮูหยินคนก่อนจะยังตรวจทานบัญชีกับป้าเถาอยู่ พวกข้าก็เลยพากันยืนรออยู่พักหนึ่ง พอหันไปก็เห็นถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงกำลังยืนโคลงเคลงไม่มั่นคง ราวกับว่ากำลังจะล้มอย่างไรอย่างนั้น ข้ากำลังจะส่งสายตาให้กับพวกนางเพื่อให้ไปที่ห้องชำระ แต่แล้วจู่ๆ ประตูเรือนหลักก็ถูกเปิดออก ป้าเถาก็ออกมาสั่งกับสาวใช้น้อยให้ไปจัดเตรียมอาหาร ข้าจึงกลืนคำพูดลงคอไป
หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้าเถาก็พาฮูหยินคนก่อนไปหาฮูหยินสอง ส่วนพวกข้าก็พากันแยกย้ายกลับเรือนของตัวเอง
หลังจากที่ข้าล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้ารับใช้ที่ติดตามข้ามาจากหยางโจวก็มานั่งเฝ้าข้าที่ข้างเตียงเตา นางพูดคุยกับข้าพร้อมกับเย็บเสื้อผ้าให้เด็กในท้องไปพลางๆ ฉินอี๋เหนียงก็มายืมแบบอย่างลายปักของข้าพอดี ข้าจึงเอนตัวนอนแล้วคุยกับนางบนเตียง ป้ารับใช้ก็ไปเอาแบบอย่างผ้าปักมาให้นาง ข้าเองก็ได้ถามไถ่ถึงเรื่องถงอี๋เหนียงขึ้นมา ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ ฉินอี๋เหนียงก็เลยบอกว่าถงอี๋เหนียงรู้สึกค่อนข้างเหนื่อย ก็เลยพักผ่อนไปแล้ว ข้าก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ขึ้นมา ก็เลยถามฉินอี๋เหนียงว่าถงอี๋เหนียงไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่ ฉินอี๋เหนียงบอกว่ามีป้ารับใช้ที่ฮูหยินสี่คนก่อนสั่งให้ไปดูแลที่เรือนของนางแล้ว คงจะไม่เป็นอะไรกระมัง”
ขณะที่เหวินอี๋เหนียงกำลังเล่าอยู่นั้น สีหน้าของนางก็ปรากฏความไม่แน่ใจขึ้นมา
“ตอนที่พวกข้ากำลังคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ สาวใช้น้อยของฉินอี๋เหนียงก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา นางรีบเล่าด้วยใบหน้าที่ขาวซีดว่าถงอี๋เหนียงตกเลือด
ข้าตกใจเป็นอย่างมาก ส่วนฉินอี๋เหนียงก็รีบวิ่งไปที่เรือนทันที
ข้าอยากจะไปดูเสียหน่อย แต่กลับถูกป้ารับใช้ของข้าดึงไว้
นางพูดกับข้าว่า ‘ดึกดื่นเช่นนี้ จะไปหาหมอจากที่ไหนกัน เกรงว่าลูกของถงอี๋เหนียงคงจะไม่รอดแล้ว คนอื่นเขาจะล้างมือให้สะอาดยังแทบจะไม่ทัน ท่านยังจะโง่เขลาโดดเข้าไปในน้ำสกปรกนั่นอีก’”
เหวินอี๋เหนียงก้มหน้าลงต่ำ
“ข้าลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็รู้สึกทนไม่ไหว จึงสะบัดมือของป้ารับใช้ออกแล้วปีนขึ้นไปดูที่หน้าต่างข้างเตียงเตาใหญ่ ก็เห็นฉินอี๋เหนียงกำลังไปที่เรือนหลักคนเดียวด้วยความเร่งรีบ
บรรยากาศในเรือนเงียบสนิทและไม่มีผู้ใดมา ข้าที่คุกเข่าเกาะริมหน้าต่างอยู่ก็รู้สึกเข่าเกร็งและชา จึงนั่งลงกับพื้นเพื่อที่จะเปลี่ยนท่านั่ง จู่ๆ สาวใช้คนสนิทของถงอี๋เหนียงก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก บอกว่าถงอี๋เหนียงเลือดไหลไม่หยุด ป้ารับใช้ที่ฮูหยินคนก่อนสั่งให้มาดูแลที่เรือนของนางก็ทำอะไรไม่ถูก ขอให้ข้าส่งป้ารับใช้ของข้าที่พามาจากหยางโจวไปช่วยดูหน่อย ป้ารับใช้ของข้าปฏิเสธทันทีโดยที่ไม่คิดพิจารณาเลย สาวใช้น้อยคนนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น ขอร้องให้ข้าช่วยสั่งคนไปตามหาฉินอี๋เหนียงที บอกว่าฉินอี๋เหนียงออกไปตามหาคนมาช่วย ป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมา นางตั้งครรภ์ท้องโต หากเกิดอะไรขึ้น บ่าวรับใช้อย่างพวกนางก็อย่าหวังว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อเลย
ป้ารับใช้ของข้าก็ดันสาวใช้น้อยคนนั้นออกไปที่นอกประตูโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ”