ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 43 งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ (ปลาย)
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางตำหนิคุณชายห้าสกุลสวี “ชอบทำอะไรแปลกๆ อยู่เรื่อย ไม่กลัวว่าน้องๆ จะตกใจบ้างหรือ” แล้วหันไปมองฮูหยินห้าที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง “ตานหยาง เจ้าควรจะดูแลเขาให้ดี”
ฮูหยินห้าเดินไปยืนข้างๆ ไท่ฮูหยินแล้วหันไปยิ้มให้สามี
“คุณชายห้าทำไปเพราะความหวังดี” ฮูหยินสามยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ที่นี่มีทั้งผู้อาวุโสและสาวๆ มากมาย หากให้นักร้องเหล่านั้นเข้ามาเสนอรายชื่อละครเพลงก็คงจะไม่เหมาะเจ้าค่ะ” พูดพลางเดินไปรับรายชื่อละครเพลงจากคุณชายห้าสกุลสวีแล้วนำมามอบให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินนำรายการละครเพลงส่งให้เจิ้งไท่จวิน “ท่านดูซิว่าอยากจะดูเรื่องไหน”
เจิ้งไท่จวินบ่ายเบี่ยง ยืนยันให้ไท่ฮูหยินเป็นคนเลือก “ตามใจเจ้างานดีกว่า”
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นว่านางตั้งใจปฏิเสธจริงๆ จึงนำรายการละครเพลงส่งให้หวงฮูหยินที่อยู่ข้างๆ
หวงฮูหยินยิ้มแล้วรับรายการละครเพลงมาด้วยความเต็มใจ “พวกเจ้าเอาแต่เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา เวลานี้ร้องเพลงไปได้หนึ่งเพลงแล้ว” สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังยื่นแว่นตามาให้
นางรับมาแล้วมองดูรายการอย่างละเอียด “ตำนานสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว ตำนานม่านประเพณี บันทึกผีผา ตำนานจินเตียว ตำนานตราประทับทองคำ…ข้าว่าดูละครวรรณกรรมดีกว่า ละครศิลปะการต่อสู้มีการใช้กำลัง ก็แค่กระโดดไปกระโดดมา ไม่รู้ว่าร้องอะไร” พูดพลางมองทุกๆ คนที่นั่งอยู่
ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง ต่างพากันบอกว่า “พวกเราเห็นด้วยกับท่าน”
หวงฮูหยินปิดป้ายรายการละครเพลง ยิ้มแล้วพูดกับคุณชายห้าสกุลสวีว่า “เช่นนั้นก็แสดงเรื่องบันทึกผีผาเถิด ข้าชอบฟัง”
คุณชายห้าสกุลสวีตอบรับ “ขอรับ” เลียนแบบนักแสดงชายในโรงละคร จากนั้นก็ถือป้ายรายการละครเพลงไปห้องข้างหลังเวที
ไม่นานประตูบานหนึ่งก็เปิดออก มีชายสองสามคนถือเครื่องดนตรีต่างๆ เดินออกมาแล้วไปนั่งทางด้านขวาของเวที
มีชายอายุสี่สิบปีเดินขึ้นมาบนเวทีแล้วกล่าวคำปราศรัยอย่างตลกขบขัน จากนั้นเสียงฆ้องและกลองก็ดังขึ้นเป็นการเริ่มการแสดง
เพลงเกอหยางนั้นสูงส่งและทรงพลัง ดนตรีหลักถูกบรรเลงด้วยฆ้องใหญ่และกลองเล็ก เสียงดังมีพลังเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันได้เริ่มบรรยาย บนเวทีก็เต็มไปด้วยความครึกครื้นมีชีวิตชีวา
นี่ขนาดเป็นละครวรรณกรรม หากเป็นละครศิลปะการต่อสู้เสียงจะไม่ดังกว่านี้หรือ
สืออีเหนียงคิดถึงละครงิ้ว การร่ายรำภายใต้การสวมใส่ชุดสีขาวนั้นดูมีศิลปะเป็นอย่างมาก
นางไม่เคยดูละครประเภทนี้มาก่อนจึงมองดูอย่างละเอียดอยู่เงียบๆ
ฉากแรกของละครเรื่องบันทึกผีผาคือ ‘พลัดพราก’ เป็นเรื่องราวของไช่ปั๋วเจียนักวิชาการที่พึ่งแต่งงานใหม่ได้ไม่นานก็ต้องพลัดพรากแยกทางกับภรรยาของเขาที่มีนามว่าจ้าวอู่เหนียงเพราะต้องไปเข้าร่วมการสอบในเมืองหลวง
นักแสดงบนเวทีร้องได้ถึงอารมณ์ ท่าทางและสายตาก็สมจริงเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่พวกเขาร้องด้วยภาษาถิ่น สืออีเหนียงต้องใช้สมาธิจดจ่อเป็นอย่างมากจึงจะฟังเข้าใจเจ็ดถึงแปดส่วน
คงจะดีหากมีตัวหนังสือเล็กๆ ให้คนดูเปรียบเทียบไปด้วย…สืออีเหนียงจำได้ว่าเมื่อก่อนที่นางไปดูละครที่โรงละครเป็นเพื่อนท่านตากับท่านยายก็จะมีตัวหนังสือเล็กๆ คอยเขียนบรรยายไว้
ทันใดนั้นก็มีคนดึงแขนเสื้อข้างขวาของนาง
ไม่ต้องหันไปสืออีเหนียงก็รู้ว่าเป็นอู่เหนีย ง“สืออีเหนียงจะให้สือเหนียงโดดเด่นไม่ได้…” นางพูดเสียงเบามากๆ
สืออีเหนียงหันกลับไป เบิกตาโตแล้วพูดว่า “พี่หญิงพูดอะไร ข้าไม่ได้ยินเจ้าค่ะ”
เมื่อเสียงฆ้องและกลองหยุดไปครู่หนึ่ง เสียงของนางจึงชัดเจนดังกังวาน
สายตาของทุกคนต่างมองมายังนาง
สืออีเหนียงมองไปที่ทุกคนแล้วยิ้มเป็นการขอโทษ
อู่เหนียงยิ้มอย่างลำบากใจ “ข้าบอกว่าให้เจ้าขยับไปหน่อย ข้ามองไม่เห็น”
“อ้อ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วขยับเข้าไปใกล้นายหญิงใหญ่ เสียงฆ้องและกลองได้ดังขึ้นอีกครั้ง
ฉากที่สองคือ ‘ชั้นศึกษา’ บรรยาว่าไช่ปั๋วเจียเป็นลูกศิษย์อันดับต้นๆ ในสถาบันศึกษา เขาเตรียมพร้อมที่จะกลับบ้านเกิดอย่างมีความสุข แต่ว่าเขาได้เป็นที่ถูกใจของหนิวเฉิงเซี่ยงที่ต้องการรับเขามาเป็นลูกเขย
สืออีเหนียงมองดูคุณหนูเจ็ดสกุลกานที่กำลังแอบมองซ้ายมองขวา ท่าทางดูเหมือนจะทนไม่ไหว แต่คุณหนูสามสกุลกานกลับนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จนกระทั่งหนิวเฉิงเซี่ยงบอกว่าต้องการให้ไช่ปั๋วเจียมาเป็นลูกเขย มือทั้งสองข้างของนางก็กำหมัดแน่น
มองดูบรรดาคุณหนูคนอื่นๆ
เฉียวเหลียนฝังดูเหมือนไม่ค่อยสนใจ คุณหนูหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าคุณหนูถังจะนั่งนิ่งไม่ขยับแต่สีหน้ากลับยิ้มและโศกเศร้าไปตามบทละคร
สืออีเหนียงจึงอดยิ้มไม่ได้
มองดูฮูหยินห้า
ไม่คิดว่านางจะเหมือนกับคุณหนูถังที่เข้าถึงบทละครเช่นนี้
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปมองอู่เหนียงกับสือเหนียง
อู่เหนียงหน้าตาดูเบื่อหน่าย แม้แต่แป้งฝุ่นก็ไม่สามารถปกปิดอารมณ์เบื่อหน่ายของนางได้ ไม่มีกระจิตกระใจจะดูละคร แต่สือเหนียงกลับยิ้มแล้วมองไปที่เวทีด้วยท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นเองสืออีเหนียงก็นึกถึงเรื่องที่นกกับหอยกาบต่อสู้กัน คนที่ได้ผลประโยชน์คือชาวประมง
เมื่อฉากที่สองจบลงก็มีการพักช่วงสั้นๆ
มีการพูดล้อเลียนและมุกตลกคั่นกลาง
ในเวลานี้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ถูกดึงดูด พากันดูไปยิ้มไป
ไท่ฮูหยินจึงให้รางวัล
มีคนนำถาดชาลายดอกเหมยเคลือบสีแดงประกายทองมารับทองคำก้อนระยิบระยับห้าอันไป
สืออีเหนียงตะลึงจนพูดไม่ออก
ทองคำก้อนแต่ละอันมีค่าถึงยี่สิบตำลึง ทั้งถาดนั้นเป็นราคาหนึ่งร้อยตำลึง นางทำงานเย็บปักเกือบหนึ่งปีก็ยังขายไม่ได้เงินเท่านี้ ซ้ำยังต้องฝากให้อาจารย์เจี่ยนช่วยขาย…
ฉากที่สามคือ ‘บังคับให้แต่งงาน’ เขียนไว้ว่าหนิวเฉิงเซี่ยงเกลี่ยกล่อมอย่างไรบ้างให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรส และวิธีที่เขาบังคับให้ไช่ปั๋วเจียอยู่ที่เมืองหลวง
เมื่อร้องถึงตอนที่ไช่ปั๋วเจียนั่งโศกเศร้าอยู่คนเดียวในห้องหนังสือ มีคนรับใช้หัวโล้นวิ่งเข้ามาในโถงแต่ยืนมองอยู่ด้านนอกห้องไม่กล้าเข้ามาในห้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ฮูหยินสามจึงแอบเดินไปแล้วพูดเบาๆ กับคนรับใช้ผู้นั้นสองสามประโยค จากนั้นก็รีบกลับมากระซิบที่ข้างหูไท่ฮูหยิน
“คุณชายสี่กลับมาแล้ว” ไท่ฮูหยินประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมวันนี้กลับมาเร็วเช่นนี้ ให้เขาเข้ามา ที่นี่มีแต่คนกันเองทั้งนั้น” ยิ้มแล้วพูดกับเจิ้งไท่จวินที่อยู่ข้างๆ ว่า “ท่านโหวกลับมาแล้ว ได้ยินว่าทุกท่านต่างก็อยู่ที่นี่จึงอยากจะเข้ามาคารวะ”
“ข้าจะกล้ารับคารวะท่านโหวได้อย่างไรกัน” เจิ้งไท่จวินดีใจเป็นอย่างมาก แต่ปากกลับพูดบ่ายเบี่ยง
หวงฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เจอท่านโหวมาหลายปีแล้ว สองปีที่แล้วเขาไปออกรบ ปีที่แล้วข้าไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงในวังเนื่องจากว่าสุขภาพไม่ค่อยดี…เกรงว่าตอนนี้จะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปเสียแล้ว” ฮูหยินสามเข้าใจความหมายของไท่ฮูหยินจึงออกไปกำชับคนรับใช้เบาๆ สองสามประโยค คนรับใช้พยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกไป
ไท่ฮูหยินยิ้ม “เขาเป็นคนเงียบๆ มาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็ไม่ค่อยจะพูดจากับใครอย่างกับท่อนซุง”
“ข้าไม่เคยเห็นคนที่เข้มงวดไปกว่าไท่ฮูหยินอีกแล้ว” ถังฮูหยินขยับเข้ามาแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าว่าคุณชายห้านั้นดีจะตายไป ยอมที่จะเป็นสีสันให้กับทุกคน แต่ท่านกลับเอาแต่บอกว่าเขาก่อกวน เล่นซนเป็นลิง” พูดพลางมองฮูหยินห้า ปิดปากแล้วหัวเราะ “จนเด็กทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะประจบประแจงท่านอย่างไรแล้ว ส่วนท่านโหว ทุกคนต่างก็ชื่นชมว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่และค่อนข้างเก็บตัว แต่ท่านกลับมองว่าเขาเป็นคนเงียบๆ อย่างกับท่อนซุง…เฮ่อ ก็ไม่รู้ว่าลูกๆ ของข้าทั้งสองคนเมื่อไหร่จะเป็นคนเงียบๆ อย่างท่านโหว หรือเป็นคนก่อกวนเหมือนคนชายห้าบ้าง เพียงแค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว” คำพูดฟังดูประจบประแจงเป็นอย่างมาก ทั้งชมสวีลิ่งอี๋ ทั้งชมคุณชายห้าสกุลสวี แล้วยังยกย่องฮูหยินห้า แต่คนเดียวที่ไม่ได้พูดถึงคือฮูหยินสามที่คอยปรนนิบัติรับใช้ต่อหน้าทุกคน
สืออีเหนียงสอดส่องไปมา
ไท่ฮูหยินหัวเราะสีหน้าอิ่มเอมใจ
คนอื่นๆ ก็หัวเราะเช่นกัน มีเพียงนายหญิงใหญ่ที่ในแววตาดูผิดหวัง
สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ
หากหยวนเหนียงไม่ป่วยนายหญิงใหญ่ก็คงจะรู้สึกภูมิใจกว่านี้
เสียงคนรับใช้ตะโกนมา “ท่านโหวมาแล้วขอรับ”
เวทีละครที่กำลังครึกครื้นได้หยุดลงอย่างกะทันหัน ทุกอย่างเงียบสงบ นักดนตรีและนักแสดงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน
คุณชายห้าได้ปรากฏตัวขึ้นมาในทันที “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” เขายังคงสวมชุดเดิมของเขา วาดลวดลายงิ้วครึ่งใบหน้า
เมื่อฮูหยินห้าเห็นก็หัวเราะดังลั่น “ท่านโหวมาแล้ว เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร”
“ไอ๊หยา!” เขาร้องออกมา จากนั้นก็รีบเข้าไปในห้อง “ห้ามบอกเด็ดขาดว่าข้าอยู่ที่นี่…”
ผู้คนในเรือนต่างพากันหัวเราะจนตัวงอ
ฮูหยินสามหัวเราะแล้วพาบรรดาคุณหนูไปหลบอยู่หลังม่านกันลมฝั่งตะวันตก
ด้านหลังม่านกันลมเป็นสถานที่จัดเลี้ยงทุกคนจึงแยกย้ายกันไปนั่ง มีเพียงคุณหนูเจ็ดสกุลกานที่แอบมองสถานการณ์ด้านนอกผ่านช่องว่างของม่านกันลม
คุณหนูสามสกุลกานรีบไปลากน้องสาวมา “มีอะไรน่าดู อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดท่านปู่ ท่านโหวต้องไปอวยพรอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยดูเสียให้พอ อย่ามาทำขายหน้าที่นี่” ประโยคสุดท้ายพูดออกมาเบาที่สุด แต่ว่าในห้องไม่มีใครสนทนากัน ดังนั้นทุกคนจึงได้ยินที่สองพี่น้องคุยกันอย่างชัดเจน
คุณหนูเจ็ดสกุลกานสะบัดมือพี่สาว “ข้าแค่ดูเฉยๆ น้องหกเอาแต่พูดอยู่ทุกวันว่าเขาเก่งแค่ไหน ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขามีสามหัวหกแขนหรือไม่”
คุณหนูสามสกุลกานจับมือน้องสาวไว้ไม่ยอมปล่อย “หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ข้าจะไม่พาเจ้าไปไหนด้วยอีกแล้ว”
คุณหนูหลินปิดปากแล้วหัวเราะ คุณหนูถังแสดงสีหน้าดูหมิ่น มีเพียงเฉียวเหลียนฝังที่มองดูคุณหนูสามสกุลกานด้วยสีหน้าครุ่นคิด
มีเสียงกล่าวทักทายดังอยู่ด้านนอก “ท่านโหวมาแล้ว!”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนได้ทะลุผ่านเสียงดังเอะอะโวยวายเข้าไปถึงหัวใจผู้คน “คารวะท่านแม่”
คุณหนูสกุลกานทั้งสองยืนตกตะลึงอยู่หน้าม่านกันลม คนอื่นๆ พากันนั่งตัวตรงแทบไม่กล้าหายใจ รวมถึงสืออีเหนียง
“รีบลุกขึ้นเร็ว” น้ำเสียงของไท่ฮูหยินไม่อาจปกปิดความดีใจได้ “ทำไมวันนี้กลับจากว่าราชการเร็วเช่นนี้ ราชสำนักไม่มีเรื่องอันใดแล้วหรือ”
“สองสามวันนี้ค่อนข้างว่าง” จังหวะการพูดไม่ช้าไม่เร็ว ทำให้คนฟังรู้สึกสงบนิ่ง “ได้ยินมาว่าฮูหยินทั้งหลายอยู่ที่นี่จึงตั้งใจมาคารวะขอรับ”
“ไม่ควร ไม่ควร” เหล่าบรรดาฮูหยินพูดด้วยความเกรงใจ แต่ก็สามารถฟังออกได้ว่าพวกนางมีความสุขเป็นอย่างมากกับการแสดงออกของสวีลิ่งอี๋
คุณหนูเจ็ดสกุลกานกวาดตามอง จากนั้นก็ไปแอบมองที่หน้าม่านกันลมอีกครั้ง คุณหนูสามสกุลกานที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็กลัวว่าหากไปดึงน้องสาวกลับมาจะทำให้คนที่อยู่ด้านนอกรู้ถึงการเคลื่อนไหว แต่หากไม่ไปลากน้องสาวมาก็กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาท กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อึดอัดเป็นอย่างมาก
เฉียวเหลียนฝังปิดปากหัวเราะ แม้แต่สืออีเหนียงเองก็อดยิ้มไม่ได้
หลังจากที่ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป สวีลิ่งอี๋ก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา “…ไม่ขอรบกวนความสุขของฮูหยินทุกท่านแล้วขอรับ”
ทุกคนต่างพากันพูดขึ้นว่า “ท่านโหวค่อยๆ เดิน”
คุณหนูสามสกุลกานอาศัยช่วงที่ข้างนอกมีการเคลื่อนไหวเสียงดังไปดึงน้องสาวกลับมา “กลับไปข้าจะไปบอกท่านแม่!”
คุณหนูเจ็ดสกุลกานกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย มองไปที่ทุกคนอย่างมีชัยแล้วพูดว่า “ข้าได้เห็นหน้าท่านโหวแล้ว”
เฉียวเหลียนฝังและคนอื่นๆ มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร สือเหนียงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “มีสามหัวหกแขนอย่างที่เจ้าว่าหรือไม่”
น้ำเสียงดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
คุณหนูเจ็ดสกุลกานประหลาดใจเล็กน้อย มองนัยน์ตาสือเหนียงด้วยความชื่นชม จากนั้นก็กวาดตามองคนอื่นๆ ในห้อง เงยหน้ายิ้มแล้วพูดว่า “มีเพียงแค่เราสองคนที่อยากรู้ว่าท่านโหวหน้าตาเป็นอย่างไร” สีหน้ามีความหยอกล้อเล็กน้อย “เจ้ามานี่เร็ว ข้าจะบอกเจ้าแค่คนเดียว”
สือเหนียงหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปหาคุณหนูเจ็ดสกุลกาน
อู่เหนียงพูดอย่างรีบร้อน “สือเหนียง เจ้าจะทำอะไร”