ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 429 ความสัมพันธ์(ปลาย)
ส่งสาวใช้มาเวลานี้!?
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงต่างก็แปลกใจ
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าเหวินอี๋เหนียงก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่เรือนหลักเหมือนกัน จึงรีบพูดกับสาวใช้คนนั้น “ให้นางเข้ามา!”
สาวใช้คนนั้นตอบรับแล้วเดินออกไป พาตงหงเข้ามา
“ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ” พูดพลางตัวสั่น มองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยท่าทีที่หวาดกลัว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ ก่อนจะเรียกตงหง “มา มาหาข้าเถิด”
ตงหงเดินเข้าไปหาสืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง
“เหวินอี๋เหนียงบอกให้เจ้ามาหาข้าหรือ!” สืออีเหนียงจับมือนางอย่างเป็นมิตร
ตงหงรีบพยักหน้า สายตาเหลือบมองไปที่สวีลิ่งอี๋อีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋จะไม่เข้าใจได้เช่นไร เขากระแอม จากนั้นก็ออกไปยังห้องปีกทิศตะวันออก
ตงหงเห็นว่าในห้องเหลือเพียงแค่สืออีเหนียงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็รีบกระซิบข้างหูสืออีเหนียง “อี๋เหนียงบอกให้บ่าวมาบอกฮูหยินว่า ช่วงก่อนหน้านี้ฉินอี๋เหนียงให้นางนำของไปแลกเงินเป็นจำนวนมากเจ้าค่ะ ช่วงเวลาสั้นๆ แค่สองสามเดือน รวมกันแล้วเป็นเงินกว่าสองร้อยตำลึงเงิน ไม่รู้ว่าฉินอี๋เหนียงต้องการเงินมากมายขนาดนั้นไปทำอะไร”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ตกใจ แต่เห็นตงหงมองนางอย่างระมัดระวัง ก็รีบยิ้มออกมา “เจ้ากลับไปบอกเหวินอี๋เหนียงว่าข้ารู้แล้ว”
ตงหงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยิ้มย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
หลังจากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา
สืออีเหนียงจึงเล่าเรื่องที่ตงหงบอกนางเมื่อครู่ให้เขาฟัง
ทันทีที่สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ เขาก็ขมวดคิ้วแน่น “ฉินอี๋เหนียง?”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “เหวินอี๋เหนียงเป็นคนรอบคอบมาตลอด นางพูดเรื่องเช่นนี้ตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ กำลังจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตูเอ่ยเรียก “คุณชายห้าเจ้าคะ” เมื่อเปิดม่านออก สวีลิ่งควนก็เดินเข้ามา
ตัวเขาเปียกแฉะไปหมด สีหน้าก็ซีดเซียว เดินเข้ามาถึงก็เอ่ยปากเรียก “พี่สี่” จากนั้นก็ขยับปากกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นสืออีเหนียง เขาก็เม้มปากแน่นกลืนคำที่กำลังจะพูดออกมาลงไป หยุดชะงักแล้วเรียก “พี่สะใภ้สี่” เบาๆ ด้วยความเคารพ
“คุณชายห้า!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วทักทายเขา บอกให้หู่พั่วยกชาเข้ามา
สวีลิ่งควนมองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เป็นกังวล เห็นได้ชัดว่าเขามีเรื่องสำคัญจะพูดกับสวีลิ่งอี๋
“ข้าไปบอกสาวใช้ตักน้ำอุ่นมาให้คุณชายผ้าเช็ดหน้าดีกว่า!” สืออีเหนียงพูดขึ้นทันที หาข้ออ้างออกไปห้องปีกทางทิศตะวันออก
ทันทีที่นางหยุดเดิน ก็ได้ยินเสียงขว้างข้าวของออกมาจากข้างใน
“เจ้าว่าอะไรนะ!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำราวกับก้อนเมฆที่หนาทึบ อยู่หลังม่านยังสามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรง
สืออีเหนียงตกใจ นางพยายามเงี่ยหูฟังแต่กลับได้ยินเพียงเสียงที่คลุมเครือของสวีลิ่งควน
หู่พั่วพาสาวใช้ตักน้ำอุ่นเข้ามา
สืออีเหนียงบอกให้นางไม่ต้องเข้าไป พวกนางสองคนรออยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
มองดูไอร้อนในกะละมังที่ค่อยๆ จางหายไป ปิดม่านลง ในห้องก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร
สืออีเหนียงเป็นกังวล อดไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่าน
สวีลิ่งควนเจออะไรกันแน่ เหตุใดถึงทำให้สวีลิ่งอี๋ที่สุขุมเย็นชามาโดยตลอดโมโหขนาดนั้น นานขนาดนี้แล้วยังไม่ออกมา หลักฐานไม่ดีต่อเยี่ยนหรง? หรือไม่ดีต่อฉินอี๋เหนียง? หรือว่าเจอหลักฐานอะไรใหม่? แล้วยังมีเหวินอี๋เหนียง รีบบอกให้ตงหงมาบอกตนเช่นนั้น หรือว่านางกำลังจะเตือนว่าให้ระวังฉินอี๋เหนียง? เหวินอี๋เหนียงเจออะไรกันแน่ หากตัวเองไปถามนาง ไม่รู้ว่านางจะพูดความจริงหรือไม่… ถ้าฉินอี๋เหนียงเป็นคนทำเรื่องนี้จริงๆ แล้วนางทำได้เช่นไร
ฉับพลันก็นึกถึงการตายของถงอี๋เหนียงขึ้นมา นึกถึงตอนที่สวีลิ่งอี๋กอดนางแล้วพูดว่า ‘ข้าติดหนี้ปี้อวี้’ นึกถึงการตายของชิวหลัว นึกถึงการตายของบุตรชายชิวหลัว แล้วก็นึกถึงการตายของหยวนเหนียง…
เมื่อก่อน นางคิดว่าตราบใดที่นางไม่อยากรู้อยากเห็นเรื่องเก่าๆ พวกนี้ เรื่องพวกนี้ก็จะหายไปตามกาลเวลา แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะมีเส้นบางๆ ที่เชื่อมเรื่องราวในอดีตไว้ด้วยกัน ทำให้คนอยากจะหนีก็หนีออกไปไม่ได้ หลบก็หลบไม่พ้น
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็มีเสียงเปิดม่าน สวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนเดินเคียงไหล่เข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ท่านโหวเจ้าคะ!” สืออีเหนียงยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
สวีลิ่งอี๋เห็นได้อย่างชัดเจน เขาพยักหน้าปลอบใจสืออีเหนียง จากนั้นก็พูดว่า “น้องห้าเจอหุ่นที่มีเข็มแทงอยู่ แล้วเขียนวันเกิดของจุนเกอที่ข้างบันไดประตูหลังเรือนท่านแม่”
ทำพิธีสาปแช่ง!
ชื่อของฉินอี๋เหนียงผุดขึ้นมาในหัวของสืออีเหนียงเป็นคนแรก
นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยความสับสน
สายตาของสวีลิ่งอี๋เย็นชา ท่าทีแข็งทื่อและเยือกเย็น
แต่สายตาของสวีลิ่งควนกลับมืดมน
“พี่สะใภ้สี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่” เขาพูดเบาๆ “ตอนนี้ท่านกำลังตั้งครรภ์ เรื่องเหลวไหลพวกนี้ท่านไม่ต้องสนใจหรอก มีข้าและพี่สี่อยู่ ดึกมากแล้ว ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถิด!”
สืออีเหนียงกัดริมฝีปาก
เจอหุ่นที่ถูกเข็มแทงกับแสร้งทำเป็นผีมาหลอกคนมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้แต่องค์ไท่จื่อหากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องก็ต้องถูกปลดจากตำแหน่ง ไม่แปลกที่สวีลิ่งอี๋จะโมโหขนาดนั้น เรื่องนี้ตนไม่ควรเข้าไปยุ่งจริงๆ!
นางพยักหน้าให้พวกเขาสองพี่น้อง กำลังจะอ้าปากแสดงจุดยืนของตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ที่มีสีหน้าเย็นชากลับอธิบายให้นางฟัง “สิ่งของพวกนี้ต้องถูกซ่อนไว้ในที่ลับแน่นอน วิธีที่ดีที่สุดก็คือค้นหาทั้งนอกและในเรือนอย่างละเอียด แต่หากค้นหาสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนั้นอาจจะหาอะไรไม่เจอ เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เราจะให้ไท่ฮูหยินเรียกอี้อี๋เหนียงมาถาม ดูว่านางรู้อะไรบ้างหรือไม่!”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสงสัยฉินอี๋เหนียง แต่ว่ามันก็เป็นความแค่สงสัย ต้องหาหลักฐานให้เจอ หากหาหลักฐานไม่เจอ ก็หมายความว่าพี่น้องสกุลสวีไม่มีความสามารถ บางทีอาจจะมีข่าวลือว่าพวกเขาทำเช่นนี้เพื่อปกป้องสืออีเหนียง แล้วโยนความผิดให้ฉินอี๋เหนียง เช่นนี้หากสวีซื่ออวี้ที่อยู่ที่เล่ออานรู้เรื่องเข้าเขาจะคิดเช่นไร แล้วยังเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น บางทีอาจจะทำให้หาคนที่ทำพิธีสาปแช่งไม่เจอไปตลอดชีวิต
วิธีที่ดีที่สุดคือเริ่มจากอี้อี๋เหนียงที่สนิทสนมกับฉินอี๋เหนียง แต่ว่าอี้อี๋เหนียงเป็นคนของครอบครัวคุณชายสาม พวกเขาสองคนไปถามเองมันคงจะไม่เหมาะสม จึงต้องขอให้ไท่ฮูหยินออกหน้าแทน ถึงแม้ว่าอี้อี๋เหนียงจะไม่ได้ทำอะไร แต่คนที่เรียกนางมาถามคือไท่ฮูหยิน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อี้อี๋เหนียงเป็นแค่อนุภรรยาของบุตรชายคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกสะใภ้สามอย่างฮูหยินสาม ก็ต้องยอมไท่ฮูหยิน เช่นนี้ไม่ดูไร้มารยาทเกินไป
ในเมื่อไท่ฮูหยินต้องออกหน้าแทน แล้วใครจะเป็นคนดูแลสวีซื่อจุนที่นอนหลับอยู่เล่า
สืออีเหนียงครุ่นคิด “เช่นนั้นจุนเกอ…”
“มีป้าตู้อยู่” สวีลิ่งอี๋พูด “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด! ประเดี๋ยวจะเป็นอะไรไป!”
เรื่องที่สวีซื่อจุนเตะโดนท้องของสืออีเหนียง ยังคงทำให้เขาไม่สบายใจ
ก็จริง ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวาย ไม่สร้างปัญหาเพิ่มให้พวกเขาก็เท่ากับว่าช่วยพวกเขาแล้ว
“เช่นนั้นก็ลำบากท่านโหวและคุณชายห้าแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋อย่างสนิทสนมสองสามประโยค จากนั้นก็ไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกกับหู่พั่ว
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นที่จวน แม้แต่คนตาบอดก็ยังต้องคอยระวัง
เรือนของไท่ฮูหยินเงียบงสงัด แค่เสียงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ยินอย่างชัดเจน
สืออีเหนียงนอนอยู่บนตั่งนั่งเหม่ยเหริน ได้ยินสาวใช้รายงานว่า “อี้อี๋เหนียงมาแล้วเจ้าค่ะ” ได้ยินเสียงตำหนิที่คลุมเครือของไท่ฮูหยิน ได้ยินเสียงตอบโต้ที่หวาดกลัวและเสียงร้องที่โศกเศร้าของอี้อี๋เหนียง…กว่าที่นั่นจะเงียบเสียงลง ก็เป็นยามอิ๋นแล้ว
“ฮูหยิน บ่าวออกไปดูประเดี๋ยวนะเจ้าคะ!” หู่พั่วคิดอยู่ตลอด หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงโดยเร็ว ไม่เช่นนั้น เวลาผ่านไป เรื่องที่เยี่ยนหรงถูกกักตัวก็จะแพร่กระจายออกไป เรื่องที่มีคนรังแกสวีซื่อจุน ก็จะกลายเป็นฝีมือของพวกนาง
ไม่ว่ายุคไหน เรื่องซุบซิบนินทานั้นใครๆ ก็ชอบฟัง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเรื่องการแย่งตำแหน่ง แย่งกิจการ การฆ่าฟันกันของมารดากับบุตรภรรยาเอกเช่นนี้ จบลงเร็วเท่าไรเรื่องราวก็จะสงบลงเร็วเท่านั้น ควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในขอบเขตได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
“เจ้าระวังตัวด้วย!” สืออีเหนียงบอกนาง “อย่าฝืน!”
จะได้ไม่เห็นเรื่องอันใดที่ไม่ควรเห็น ได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยิน เอาตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
“บ่าวรู้แล้วเจ้าค่ะ!” หู่พั่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นก็เดินออกไปเงียบๆ
ผ่านไปครึ่งถ้วยชา นางก็กลับมา
“ฮูหยิน!” พูดด้วยสายตาเป็นประกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ “ท่านโหวและคุณชายห้าไปที่เรือนของฉินอี๋เหนียงแล้วเจ้าค่ะ”
เช่นนี้ก็หมายความว่า สวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนหาหลักฐานเจอแล้ว
“อ้อ!” สืออีเหนียงได้สติกลับมา ชี้ไปที่เก้าอี้หน้าตั่งนั่งเหม่ยเหริน “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
หู่พั่วนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดเบาๆ “เพียงแค่ไท่ฮูหยินทำท่าทีเดือดดาล อี้อี๋เหนียงก็สารภาพออกมาจนหมดเปลือกเลยเจ้าค่ะ…”
ตามคำพูดของอี้อี๋เหนียงก็คือ ฉินอี๋เหนียงคิดถึงสวีซื่ออวี้ที่อยู่เล่ออานตลอดเวลา จึงเชิญคนมาทำพิธีให้สวีซื่ออวี้ ขอพรให้สวีซื่ออวี้ที่อยู่ไกลบ้านปลอดภัย แต่ไทเฮากลับล้มป่วย ไต้ซือจี้หนิงถูกเจี้ยนหนิงโหวเชิญไปก่อน นางจึงไม่ว่าง ฉินอี๋เหนียงจึงมาเล่าให้อี้อี๋เหนียงฟัง อี้อี๋เหนียงจึงนึกถึงแม่เฒ่าจูของสำนักชีที่มักจะไปมาหาสู่กับมารดาของฮูหยินสาม นางเชี่ยวชาญเรื่องบูชายันต์เเคล้วคลาด ท่องคาถา ได้รับความเคารพจากมารดาของฮูหยินสามเป็นอย่างมาก แล้วยังค่าตัวถูกกว่าไต้ซือจี้หนิงตั้งมาก จึงแนะนำแม่เฒ่าจูให้ฉินอี๋เหนียงรู้จัก สุดท้ายเมื่อฉินอี๋เหนียงและแม่เฒ่าจูเจอหน้ากันก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ฉินอี๋เหนียงมักจะให้เงินค่าน้ำมันสำนักของแม่เฒ่าจูอยู่บ่อยๆ แม่เฒ่าจูจึงจุดตะเกียงให้สวีซื่ออวี้ สวดมนต์ให้สวีซื่ออวี้ทุกเช้าเย็น
เพราะว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ชอบให้ฉินอี๋เหนียงจุดธูปบูชาพระ ฉินอี๋เหนียงจึงไม่กล้าพาแม่เฒ่าจูเข้ามาในเรือน พวกนางเจอกันแค่ที่ประตูหลัง บางครั้งไม่สะดวกก็ส่งคนกลางไปถามไถ่ หรือนำเงินค่าน้ำมันไปให้
ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฉินอี๋เหนียงเริ่มให้เงินแม่เฒ่าจูมากขึ้นเป็นร้อยเป็นพันตำลึงเงิน อี้อี๋เหนียงจึงสงสัย เค้นถามสองสามครั้ง ถึงได้รู้ว่าฉินอี๋เหนียงทำตามที่แม่เฒ่าจูบอก นางสร้างศาลเจ้าไว้ข้างหลังเรือนหน่วนเก๋อสองสามศาล
นางก็เป็นคนเข้าใจเรื่องพวกนี้ แค่ดูก็รู้ว่ามันคือการทำพิธีสาปแช่ง นางจึงตกใจ พยายามพูดเกลี้ยกล่อมนางตั้งหลายครั้ง แต่ฉินอี๋เหนียงกลับไม่ยอมฟัง นางอยากเล่าเรื่องนี้ให้ไท่ฮูหยินฟัง แต่เมื่อคิดว่าแม่เฒ่าจูคือคนที่นางแนะนำให้ฉินอี๋เหนียงรู้จัก กลัวว่าตัวเองจะถูกดึงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงไม่กล้าพูด เรื่องเลยยืดเยื้อมาเช่นนี้
เมื่อคืน ฉินอี๋เหนียงมาหานางที่เรือน นางก็เกลี้ยกล่อมฉินอี๋เหนียงอยู่นาน ฉินอี๋เหนียงไม่พอใจ นั่งที่เรือนนางไม่ถึงครึ่งถ้วยชาก็กลับไป
ตอนที่สวีลิ่งอี๋ส่งคนไปถาม ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ได้คิดอะไรแล้วตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ
“พูดเช่นนั้นก็หมายความว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง!” สืออีเหนียงยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ไม่เพียงแต่ไม่เกี่ยวกับนาง แล้วนางยังเคยเกลี้ยกล่อมฉินอี๋เหนียงด้วยความหวังดีอีกด้วย!”