ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 42 งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ (ปลาย)
กลุ่มคนเข้าไปในห้องโถงบุปผา ตรงหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำเงาตั้งอยู่ บนโต๊ะใช้จานกระเบื้องสีขาวใส่ของหวานอย่างเช่นมะงั่ว สับปะรดและอื่นๆ วางดอกไม้และบอนไซไว้ที่มุมพนังห้อง โคมไฟแก้วทรงแปดเหลี่ยมสว่างไสว ส่องแสงไปยังกำแพงอิฐเหมือนกระจกสะท้อนแสงแวววาวและนุ่มนวล
ไท่ฮูหยินสวมเสื้อกั๊กสีม่วงอ่อนปักลายน้ำเต้ากำลังนั่งยิ้มอยู่บนเตียงหลัวฮั่นสีดำเงาแกะสลักด้วยลวดลายตัวอักษร ข้างๆ มีหญิงสองสามคนสวมเครื่องประดับลูกปัดสีเขียวและชุดผ้าแพรที่โดดเด่นถูกล้อมรอบโดยหญิงกลุ่มใหญ่ที่ใส่ชุดสีเขียวและสีแดง พูดไปหัวเราะไปอยู่รอบตัวนาง และมีสาวใช้เจ็ดแปดคนสวมเสื้อกั๊กยาวสีฟ้าครามกำลังยุ่งอยู่กับการชงชา บ้างก็ยุ่งอยู่กับการยกเมล็ดแตงโตและขนมมาวาง บ้างก็ยุ่งอยู่กับการยกจานชามไปเก็บ ในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศรื่นเริงและมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นนายหญิงใหญ่ ไท่ฮูหยินก็ลุกขึ้นมาต้อนรับ
บรรดาหญิงเหล่านั้นก็ทยอยกันลุกเดินตามหลังไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงเห็นเฉียวฮูหยินกับคุณหนูหกสกุลเฉียวนามว่าเฉียวเหลียนฝังที่กำลังพยุงเฉียวฮูหยิน
เฉียวเหลียนฝังเองก็มองเห็นสืออีเหนียงแล้วเช่นกัน
ยังคงแต่งตัวเรียบๆ เช่นเคย ใบหน้าที่ขาวเนียนละเอียดราวกับเครื่องเคลือบ คางที่เล็กแหลม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลและคิ้วที่โค้งมน…แต่ทว่าเมื่อมองข้ามไป ไม่รู้ทำไมพอเห็นหญิงที่มักจะยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างหลังพวกนางกลับรู้สึกแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย
นางประหลาดใจเล็กน้อย
บนใบหน้าไม่มีความขี้ขลาดเช่นนั้นอีกแล้ว ท่าทางก็ดูเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สิ่งที่มาแทนที่ก็คือสายตาที่อ่อนโยน รอยยิ้มที่อ่อนหวาน ท่าทางเป็นมิตรทำให้นางดูสงบนิ่งและใจเย็น
ความประหลาดใจได้พัดผ่านไป
หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นางไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด ก็ถูกสือเหนียงหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีแดงที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงดูดสายตา
หญิงสาวคนนั้นอายุคงจะไม่เกินสิบห้าสิบหกปี รูปร่างสูง มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ผิวขาวเนียนดุจดั่งหิมะ คิ้วโก่งดั่งคันศร มวยผมทรงสูงสีดำเงาดุจผ้าไหมและปักดอกไม้สีทองฝังอัญมณีสองดอก
แม้ว่ายากที่จะได้เห็นสาวงาม แต่ก็ไม่นับว่าเป็นสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้
นางเดินตามหลังนายหญิงใหญ่ หลังตั้งตรง คางเชิดขึ้นเล็กน้อย สีหน้านางแสดงความภาคภูมิใจอย่างที่หญิงธรรมดาไม่มี ทำให้นางดูสะดุดตาสวยสดใสในบรรดาหญิงสาวที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ในห้องนี้
เฉียวเหลียนฝังสูดลมหายใจ
แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
ไม่รู้หรือว่าคุณธรรมและมารยาทนั้นสำคัญ ต่อให้เป็นฮูหยินห้าสกุลสวีที่เป็นถึงตานหยางเสี่ยนจู่ก็ยังไม่กล้าทำเช่นนี้ หรือว่านางเป็นจวิ้นจู่[1]
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด ไท่ฮูหยินก็ได้เข้าไปประคองมือนายหญิงใหญ่ “ทำไมพึ่งมาเอาตอนนี้ ข้ารอให้เจ้ามาเปิดงานอยู่นะ ”
นายหญิงใหญ่รีบกล่าวขออภัย
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นสือเหนียงที่อยู่ข้างหลังก็มีสีหน้าประหลาดใจ “นี่คือ…”
สือเหนียงก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นมิตรแล้วคำนับไท่ฮูหยิน “สือเหนียงสกุลหลัวคารวะไท่ฮูหยิน ขอให้ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง สมปรารถนาทุกประการเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า มองนายหญิงใหญ่แล้วพูดว่า “เจ้านี้ช่างโชคดีเสียจริง” จากนั้นก็ถามสือเหนียงว่า “ครั้งที่แล้วทำไมไม่มาเที่ยวเล่นกับท่านแม่ของเจ้า”
สือเหนียงเหลือบมองนายหญิงใหญ่ ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงใหญ่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจึงตั้งสัตย์ไว้ว่าจะกินเจเป็นเวลาแปดสิบเอ็ดวันและใช้เลือดคัดลอกคัมภีร์หนึ่งบท พึ่งปฏิบัติเสร็จไปเมื่อสองวันก่อน วันนี้ท่านแม่จึงพาข้ามาคารวะไท่ฮูหยิน”
“ลำบากเจ้าแล้ว” ไท่ฮูหยินตบมือสือเหนียงเบาๆ ข้างๆ มีคนยิ้มแล้วพูดว่า “นายหญิงใหญ่ยังคงเป็นคนที่สอนบุตรสาวได้ดี พี่สาวน้องสาวรักและสามัคคีกัน”
“ท่านชมเกินไปแล้ว” นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างถ่อมตน
ไท่ฮูหยินแนะนำคนข้างๆ ให้นาง “ท่านนี่คือหลินฮูหยินจวนเวยเป่ยโหว…”
หลินฮูหยินอายุห้าสิบกว่าปี ใบหน้ากลมมนดั่งดวงจันทร์เต็มดวง มองดูท่าทางใจดีเป็นอย่างมาก
นายหญิงใหญ่รีบเข้าไปคำนับ
หลินฮูหยินคำนับตอบ
ไท่ฮูหยินได้แนะนำคนอื่นๆ ให้นางอีก
“ท่านนี้คือถังฮูหยินจวนจงซานโหว…”
เป็นผู้หญิงที่สูงผอม ดูแล้วอายุราวๆ ห้าสิบกว่าปี
“ท่านนี้คือกานฮูหยินจวนจงฉินปั๋ว…”
จงฉินปั๋ว แซ่กาน เป็นสกุลเดิมของฮูหยินสามสกุลสวี?
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกานฮูหยิน
เป็นผู้หญิงสวยอายุราวๆ สามสิบกว่าปี สวมใส่เสื้อกั๊กยาวสีน้ำเงินลายดอกไม้ ดูสูงส่งสง่างามเป็นอย่างมาก
“ท่านนี้คือหวงฮูหยินจวนหย่งชังโหว…”
เป็นผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินพูดต่อว่า “เจิ้งไท่ฮูหยินกับเฉียวฮูหยินเจ้ารู้จักอยู่แล้ว ฉะนั้นข้าไม่ขอแนะนำอีกรอบ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมคำนับเจิ้งไท่ฮูหยินกับเฉียวฮูหยิน
ในห้องเต็มไปด้วยเสียงคนคุยกัน และเสียงเพลงบรรเลง ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงลองคำนวณดู นอกจากบรรดาฮูหยินทั้งหลายแล้วก็ยังมีคนสกุลหลินอย่างคุณนายใหญ่ คุณนายสามและคุณหนูห้าท่านหนึ่ง ส่วนสกุลถังก็มีคุณนายสี่กับคุณหนูสาม สกุลหวงมีเพียงคุณนายสาม สกุลกานมีคุณนายสอง คุณหนูสาม คุณหนูเจ็ด แล้วก็เฉียวเหลียนฝัง…แล้วยังมีฝั่งของตัวเองด้วย ทั้งหมดมีสิบสามคน นอกจากคุณนายทั้งหลายที่แต่งงานแล้วก็จะมีคุณหนูที่ยังไม่ได้แต่งงานแปดคน
สกุลกานยังมีคุณหนูมาอีกสองคน…พวกนางอายุน้อย หน้าตาสะสวย โดยเฉพาะคุณหนูห้าสกุลหลินผู้นั้นที่สวมชุดกระโปรงสีขาวนวลจันทร์ รูปลักษณ์สวยงาม ดูสง่าดุจดวงจันทร์ ราวกับนางฟ้าที่เดินออกมาจากภาพวาด ด้วยความสง่างามของอู่เหนียง ความสดใสของสือเหนียง และความนุ่มนวลของเฉียวเหลียนฝัง ทำให้หวงฮูหยินจวนหย่งชังโหวที่ไม่ได้พาคุณหนูมาด้วยเอ่ยปากชมกับไท่ฮูหยินว่า “น่าเสียดายที่ฮูหยินสองไม่ได้มา มิฉะนั้นก็จะเป็นภาพวาดที่สวยงาม ช่างเป็นเรื่องราวที่ดีเสียจริงเจ้าค่ะ”
“งานของพวกเราวันนี้เป็นงานร้องเพลงรื่นเริง” ไท่ฮูหยินหัวเราะ “แต่นางเป็นคนรักสงบ”
ขณะที่กำลังพูดคุยก็มีหญิงสวมเสื้อกั๊กสีเขียวลายดอกไม้เดินพรวดพราดเข้ามา
“ท่านแม่ ท่านจะโทษว่าข้ามาสายไม่ได้นะเจ้าคะ” นางทำท่าทางออดอ้อนต่อไท่ฮูหยิน “ข้าไปช่วยคุณชายห้าย้ายโคมดอกบัวมาเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินจิ้มไปที่หน้าผากนาง “เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงจะไปบ้าตามเขาทำไม” น้ำเสียงไม่ได้ตำหนิเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความรักและความเอ็นดู “ต่อจากนี้ไปไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นอีก”
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงคนนั้นตอบรับเสียงดัง ดวงตากลมโตยิ้มจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“ยังไม่รีบไปคารวะบรรดาฮูหยินอีก” ไท่ฮูหยินกำชับนางด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับอย่างกระตือรือร้น เดินไปคำนับฮูหยินทีละคน บรรดาฮูหยินต่างก็มองนางด้วยรอยยิ้มแล้วเรียกนางว่าตานหยางเสี่ยนจู่
ที่แท้ก็คือฮูหยินห้าสกุลสวี บุตรสาวของติ้งหนานโหวนามว่าซุนคัง สกุลซุนนี่เอง
สืออีเหนียงมองนางอย่างละเอียด
อายุน่าจะไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างไม่สูงมากนัก หุ่นผอมบาง หน้าตาสะสวย ผิวพรรณเนียนละเอียด ขาวราวกับเกล็ดหิมะ รอยยิ้มอ่อนโยนและอ่อนหวานเล็กน้อย แก้มซ้ายมีลักยิ้มอย่างเห็นได้ชัด ทำให้คนรู้สึกเอ็นดู
ตอนที่กำลังคำนับนายหญิงใหญ่ นางมองไปที่อู่เหนียงกับสืออีเหนียง ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เปล่งประกาย ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูห้ากับคุณหนูสิบเอ็ดใช่หรือไม่ คราวที่แล้วข้ากลับบ้านเกิดจึงไม่ได้พบพวกเจ้า คราวนี้พวกเราอยู่คุยกันหน่อยเถิด”
อู่เหนียงคำนับฮูหยินห้าด้วยรอยยิ้ม สือเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคือสือเหนียงเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ชี้สืออีเหนียงที่อยู่ข้างๆ “ส่วนนี่ถึงจะเป็นสืออีเหนียงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าเห็นว่านางอายุน้อยแต่กลับดูสงบนิ่งและดูเป็นมิตร จึงอดแปลกใจไม่ได้ นางยังไม่ทันได้พูดอะไร คุณหนูหลินที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มแล้วทักทายนาง “พี่หญิง”
“หมิงหย่วน” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็มาด้วยหรือ วันนี้เป็นงานร้องเพลงนะ”
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูหลินกับฮูหยินห้าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ดูแล้วตระกูลในเยี่ยนจิงช่างซับซ้อนเสียจริง
สืออีเหนียงแอบสังเกตบรรยากาศโดยรอบ
“ก็เพราะวันนี้เป็นวันที่สามเดือนสามอย่างไรล่ะเจ้าคะ” คุณหนูหลินปิดปากแล้วหัวเราะ ท่าทางดูสง่างาม
“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดต่อว่า “เจ้าก็คงไม่เอาแต่อยู่ในบ้านอ่านหนังสือเขียนตัวอักษรและวาดรูปแต่งกลอนทั้งปีหรอกกระมัง” จากนั้นก็พูดต่อว่า “อีกสักครู่พวกเราไปเล่นที่ข้างไท่ฉือดีหรือไม่ วันนี้ลมแรงจะได้ไปเล่นว่าวกันด้วย”
“พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว” ไท่ฮูหยินตำหนิด้วยรอยยิ้ม “อนุญาตให้เล่นได้เฉพาะในสวนเท่านั้น ห้ามออกไปข้างนอก”
ฮูหยินห้าหัวเราะ จับมือไท่ฮูหยินแล้วพูดว่า “เช่นนั้นอีกสักครู่พวกเราไปเล่นว่าวในสวนกันนะเจ้าคะ”
“เจ้าลิงตัวนี้ นั่งนิ่งไม่ได้เลยแม้แต่ครู่เดียว”
“ไม่เช่นนั้นจะแซ่ซุนได้อย่างไรเจ้าคะ” หวงฮูหยินที่อยู่ข้างๆ พูดติดตลก
ทุกคนพากันหัวเราะคุณหนูเจ็ดสกุลกานอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับสือเหนียง กระซิบกับพี่หญิงว่า “ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนต่างบอกว่าตานหยางเสี่ยนจู่เป็นคนสนุกสนาน…อีกสักครู่ก็จะได้เล่นว่าวแล้ว” น้ำเสียงของนางฟังดูมีความตื่นเต้น
แต่พี่หญิงของนางกลับขมวดคิ้ว พูดอย่างลำบากใจว่า “อย่างไรเราก็เป็นแขก…หากเจ้าอยากจะเล่นว่าวจริงๆ ก็ค่อยกลับไปเล่นที่บ้าน ข้าจะให้เจ้าเล่นอย่างเต็มที่เลย”
น้องสาวตอบเพียงแค่ “อืม” อย่างไม่ได้สนใจ แต่สายตากลับมองตามฮูหยินห้า
สืออีเหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกนางจึงอดยิ้มไม่ได้
คุณหนูเจ็ดสกุลกานผู้นี้ยังคงมีความไร้เดียงสาของสาวน้อยอยู่บ้าง ช่างหาได้ยากเสียจริง
ฮูหยินห้ากับคุณหนูหลินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ก็ไม่ได้มองคนอื่นเป็นคนแปลกหน้า ทุกคนต่างก็เคยคำนับกัน ไท่ฮูหยินเรียกทุกคนให้เข้ามาในงานเลี้ยง “…พวกเรามาฟังละครงิ้วกันเถิด”
ทุกคนใบหน้ายิ้มแย้ม ค่อยๆ ทยอยนั่งลงตามลำดับขั้น
บรรดาสาวใช้ยกถ้วยน้ำส้มมาให้ทุกคนล้างมือ ส่วนสาวใช้อีกคนก็ค่อยๆ เทน้ำซุป
บรรดาฮูหยินต่างก็พากันดื่มเหล้า บรรดาคุณหนูกลับนั่งอย่างเรียบร้อยโดยมีคนข้างๆ คอยปรนนิบัติรับใช้
หลังจากทานอาหารเรียบร้อย ทุกคนก็ย้ายไปดื่มชาที่ห้องโถงทางทิศตะวันตก จากนั้นก็ไปที่ห้องโถงเตี่ยนชวน
******
ฉากหลังบนเวทีในห้องโถงเตี่ยนชวนได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ในห้องเงียบสงบไม่มีแม้แต่เงาคน ห้องที่ถูกปิดอยู่ข้างหลังเวทีอยู่ตรงข้ามกับห้องทางทิศเหนือที่ถูกเปิดอยู่ ข้างในมีเก้าอี้ยาวหลายตัว ด้านหน้าเก้าอี้ยาวมีจานผลไม้และชาวางอยู่ ด้านซ้ายขวายังมีอ่างล้างหน้าทรงแตงโมลวดลายดอกไม้
ฮูหยินสามพาทุกคนเข้าไปที่ห้องทางทิศเหนือ หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็นั่งลงตามลำดับอายุ แน่นอนว่าไท่ฮูหยินกับเจิ้งไท่จวินนั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนนายหญิงใหญ่ก็นั่งอยู่กับกานฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาฮูหยิน
มีสาวใช้ย้ายเก้าอี้มาวางไว้ข้างเก้าอี้ยาว
บรรดาคุณนายและและคุณหนูต่างก็นั่งล้อมรอบผู้อาวุโสของตัวเอง
บรรดาสาวใช้ยกชามาวาง
มีผู้ชายสูงโปร่งสวมชุดแพรสีน้ำตาลเหลืองลายดอกไม้เดินเข้ามา “ขอเชิญฮูหยินทุกท่านเลือกละครเพลง” พูดพลางก้มหัวแล้วส่งแผ่นป้ายทองยื่นมาข้างหน้า
คุณหนูสกุลหลินและคนอื่นๆ ยืนขึ้นด้วยความตกใจ
บรรดาฮูหยินต่างพากันหัวเราะ พูดหยอกล้อว่า “คุณชายห้าของเราไปเป็นหัวหน้าคณะเต๋ออินปานตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมาเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลา สว่างไสวราวกับแสงอาทิตย์
“ได้ยินมาว่าฮูหยินทั้งหลายอยู่ที่นี่ ข้าจึงขอทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ” เขาพูดติดตลกว่า “ไม่ทราบว่าฮูหยินทั้งหลายจะฟังละครวรรณกรรมหรือจะฟังละครศิลปะการต่อสู้ ให้ข้าพูดชื่อละครให้ฟังดีหรือไม่” น้ำเสียงมีความหยอกเย้าอยู่เล็กน้อย แต่กลับทำให้บรรดาฮูหยินพากันหัวเราะอีกครั้ง
คุณหนูหลินและคนอื่นๆ ก็ปิดปากหัวเราะแล้วนั่งลงเช่นกัน
ไม่นานบรรยากาศในห้องก็ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
[1] จวิ้นจู่ ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิง ขึ้นอยู่กับการสืบสายเลือดทางบิดากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่สาม ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นพระธิดาในชินอ๋องกับพระชายาเอก