ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 413 ลมพัดโชย(กลาง)
เยี่ยนหรงยังพิจารณาปัญหาได้ไม่รอบคอบพอ
หากอยากจะส่งป้าเถาออกไปอย่างสมเหตุสมผลก็มีเหตุผลที่ดีอยู่มากมาย
สืออีเหนียงยิ้มพลางให้เยี่ยนหรงออกไป
หู่พั่วเข้ามาพูดโน้มน้าว “ฮูหยิน ที่เยี่ยนหรงพูดก็มีเหตุผลนะเจ้าคะ…”
“มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่นางพูดหรอก” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดตัดบทสนทนาของนาง “อยากจะให้ป้าเถาออกไปนั้นมีวิธีเยอะแยะมากมาย” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็เลิกคิ้วขึ้น “มีบางคนที่ข้ามักจะไม่วางใจ เพียงแต่ว่าแม้แต่เสือก็ยังมีเวลาง่วง ข้าคงไม่สามารถจับตาดูพวกเขาได้ทุกวัน แม้ว่าป้าเถาจะมีความผิดพลาดเป็นพันๆ ครั้ง แต่จิตใจของนางที่อยากจะปกป้องจุนเกอนั้นไม่ผิดอย่างแน่นอน เดิมทีข้าให้นางอยู่ต่อเพราะสถานการณ์พาไป ข้ากลัวว่าข้าจะทำผิดพลาดบางอย่างไปในขณะที่ดูแลจุนเกอ มีนางคอยดูอยู่ข้างๆ ก็จะสามารถช่วยเสริมเติมสิ่งที่ขาดหายไปได้!” พูดจบนางก็มีสีหน้าจริงจัง “แต่ว่าป้าเถามักจะคิดว่าข้าครอบครองตำแหน่งของพี่หญิงใหญ่ มีความสุขกับสิ่งที่เดิมทีควรจะเป็นของพี่หญิงใหญ่ ตอนนี้ข้าก็ตั้งครรภ์แล้ว เกรงว่าในใจของนางจะรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น เจ้าควรจะระวังนางให้มากขึ้นจึงจะถูก แม้ว่าข้าจะไม่เคยคิดที่จะให้จุนเกอชอบข้าเหมือนกับแม่แท้ๆ แต่ก็ไม่อยากให้มีเรื่องขัดแย้งระหว่างเราสองคน”
หู่พั่วรับคำ กลับไปที่ห้องพลางคิดว่าทำอย่างไรถึงจะสืบได้ว่าป้าเถาพูดคุยอะไรกับสวีซื่อจุน ป้าตู้ก็มาเยี่ยมนาง
นางรีบต้อนรับป้าตู้มานั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างในห้อง นำชาซีหูหลงจิ่งที่สืออีเหนียงมอบให้มาต้อนรับแขก
ป้าตู้สำรวจดูห้องเล็กๆ ในห้องถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน แขวนมุ้งสีฟ้าที่ยังดูใหม่อยู่ มีผ้าห่มผ้าแพรสีแดง หมอนสีเหลือง บนขอบหน้าต่างยังมีกระถางต้นเหวินจู๋แคระ ดูกว้างขวางและน่าอยู่
นางลอบพยักหน้า พูดจุดประสงค์ของการมาเบาๆ ว่า “…ตั้งแต่กลับมาจากวัด คุณชายน้อยสี่ก็ไปจุดธูปบูชาที่เรือนเก่าของฮูหยินสี่คนก่อน พอกลับมาก็บอกกับข้าว่าฮูหยินสี่ชอบดอกไม้ ทั้งยังออกแรงเป็นอย่างมากเพื่อที่จะให้สะใภ้หลี่ถิงนำพันธุ์ไม้ที่หายากมาปลูกในเรือนหน่วนฝังที่อยู่สวนดอกไม้หลังจวน ปลูกไว้ให้ตัวเองชื่นชมนั้นไม่เป็นไร แต่หากนำไปมอบให้คนโน้นคนนี้ไปทั่ว เกรงว่าจะทำให้คนอิจฉาริษยา ทำให้ดูเหมือนกับเป็นคนโง่ ให้คนอื่นเอาไปพูดว่าสกุลเรานั้นฟุ่มเฟือยและเย่อหยิ่ง”
ป้าตู้เป็นสาวใช้ข้างกายคนสนิทและมีอำนาจที่สุดของไท่ฮูหยิน บางครั้งก็ถือเป็นตัวแทนของไท่ฮูหยิน
หู่พั่วได้ยินแล้วก็ตกใจ รีบพูดขึ้นมาว่า “ขอให้ป้าตู้ช่วยอธิบายให้ชัดเจนด้วยเถิด แม้ว่าฮูหยินของพวกเราจะชอบดอกไม้ต้นไม้เหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีความสามารถอย่างจักพรรดินีบูเช็กเทียน[1]ที่จะสั่งให้ดอกไม้บานสะพรั่งพร้อมกันได้ แต่ว่าเป็นเพราะในจวนมีเรือนหน่วนฝัง แล้วก็ยังมีสะใภ้หลี่ถิงที่มีฝีมือทำให้ดอกไม้เบ่งบานก่อนฤดูกาลและร่วงโรยหลังฤดูกาลได้ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องที่บอกว่ามอบให้ผู้อื่น นอกจากไท่ฮูหยินสกุลกาน คุณนายใหญ่สกุลหลิน และหวงฮูหยินจวนหย่งชังโหวแล้วก็ไม่ได้มอบให้สกุลไหนอีก บรรดาฮูหยินเหล่านี้ต่างก็มีความสัมพันธ์จากการแต่งงานหรือไม่ก็เป็นสหายเก่าที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันเจ้าค่ะ…”
เมื่อป้าตู้เห็นว่าหู่พั่วเป็นกังวลก็รู้ว่านางเข้าใจเจตนาของตัวเองผิด จึงยิ้มแล้วพูดว่า “แม่นางหู่พั่วไม่ต้องกังวล ฮูหยินสี่เป็นคนอย่างไร ทุกคนล้วนรู้ดี ไม่ใช่ว่าพอใครมาพูดว่านางไม่ดีก็แสดงว่านางไม่ดี ใครพูดว่านางดีก็แสดงว่านางดี การที่ข้ามาบอกเรื่องนี้กับแม่นางหู่พั่วนั้นเป็นความต้องการของไท่ฮูหยิน”
หู่พั่วได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมา “เชิญป้าตู้กำชับมาได้เลยเจ้าค่ะ!”
ท่าทางอ่อนน้อมของนางทำให้ป้าตู้รู้สึกเหมือนตอนที่ดื่มน้ำถั่วเขียวเย็นในเดือนหก รู้สึกสบายตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก น้ำเสียงที่ใช้พูดจึงอ่อนโยนมากกว่าเดิม “ความหมายของไท่ฮูหยินก็คือคุณชายน้อยสี่อายุยังน้อย ไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่เหตุใดจู่ๆ ถึงได้สนใจเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ให้แม่นางไปบอกฮูหยินว่ามีบางเรื่องที่ต้องตรวจสอบให้ดีจึงจะเหมาะสม จะได้ไม่ถูกคนไม่ดียั่วยุ ทำให้คุณชายน้อยที่เชื่อฟังกลายเป็นเด็กไม่ดี”
หู่พั่วได้ฟังแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม รีบพูดขึ้นมาว่า “ป้าตู้วางใจได้ ข้าจะนำไปรายงานฮูหยินอย่างแน่นอน”
ป้าตู้พยักหน้าเล็กน้อย เมื่อพูดเรื่องสำคัญจบแล้วก็ถามหู่พั่วว่า “ได้ยินมาว่าบิดาและมารดาของเจ้าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อวี๋หังไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่บอกฮูหยินให้รับมาเลี้ยงดูที่นี่เล่า!”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเขาคุ้นเคยกับการอาศัยอยู่ที่นั่น มีเพื่อนบ้านเก่าๆ ขนาบอยู่ซ้ายขวา แม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ดูแลคอยพูดคุยหัวเราะด้วยกัน แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
“เช่นนั้นเจ้าก็คิดจะอยู่ที่เยี่ยนจิงตลอดไปอย่างนั้นหรือ!”
หู่พั่วหน้าแดง “ข้าเป็นบ่าวรับใช้ของฮูหยิน ฮูหยินอยู่ที่ไหน ข้าก็อยู่ที่นั่น”
ป้าตู้ยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย ราวกับว่าพอใจในคำพูดของนางเป็นอย่างมาก พูดคุยกันต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะลุกขึ้นกล่าวลา
แม้ว่าหู่พั่วจะรู้สึกว่าคำถามของป้าตู้นั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่ก็เอาแต่จดจ่อว่าจะต้องนำคำของไท่ฮูหยินไปบอกสืออีเหนียง เลยไม่มีเวลามาไตร่ตรองคิดถึงเรื่องอื่น รีบรุดไปหาสืออีเหนียงทันที
สืออีเหนียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามหู่พั่วว่า “ตอนนี้จุนเกออยู่ที่ไหน”
หู่พั่วพูดเสียงเบาว่า “อยู่ที่เรือนของคุณชายน้อยห้าเจ้าค่ะ”
สวีซื่อจุนสับสนเป็นอย่างมาก
ตอนท่านแม่เสียชีวิตได้กำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าป้าเถาเป็นคนที่นางเชื่อถือมากที่สุด ต่อไปหากมีเรื่องอันใดจะต้องเชื่อฟังป้าเถา แล้วยังให้เขาสาบานว่าจะไม่ขัดต่อคำสั่งของนาง แต่พอเขาเชื่อคำพูดของป้าเถา นำเรื่องที่ท่านแม่มอบดอกไม้ไปบอกป้าตู้ ป้าตู้กลับยิ้มแล้วพูดกับเขาว่า “การมอบดอกไม้เป็นเรื่องเล็ก ราชวงศ์ย่อมมีความทะนงในตัวเอง ไม่มีทางตำหนิคนในจวนหย่งผิงโหวด้วยเรื่องแค่นี้หรอกเจ้าค่ะ” เขาพลันนึกถึงที่ไท่ฮูหยินบอกว่า ‘ผู้ยิ่งใหญ่มักจะทำผิดพลาดด้วยเหตุเล็กน้อย’ เขาจึงพูดขึ้นว่า “เส้นทางพันลี้ถล่มเพราะรังมด ยิ่งเป็นเรื่องเล็กเท่าไรก็ยิ่งต้องระวังให้มากขึ้นเท่านั้น”
ป้าตู้ยิ้มพลางเอ่ยชื่นชม “คุณชายน้อยสี่ของเราได้เรียนวิชาความรู้จากอาจารย์จ้าวจนรู้หมดทุกเรื่องแล้ว เรื่องนี้บ่าวจะบอกกับไท่ฮูหยินเอง ให้ไท่ฮูหยินไปพูดกับฮูหยินสี่ว่าต่อไปอย่าได้มอบดอกไม้ให้ผู้อื่นเจ้าค่ะ” พูดจบก็ให้สาวใช้น้อยพาเขากลับเรือน ส่วนตัวเองก็เรียกป้ารับใช้ที่ยืนรออยู่ใต้ชายคาเรือนเข้ามา “ไท่ฮูหยินเพียงแค่ช่วยฮูหยินสี่ดูแลเรื่องในเรือนชั่วคราว สำหรับเรื่องใหญ่อย่างการเลือกผ้าที่ใช้สำหรับตัดชุดฤดูร้อน ข้าว่าควรจะไปปรึกษากับฮูหยินด้วยตัวเองดีกว่า…” ท่าทางดูเหมือนไม่สนใจกับสิ่งที่เขาพูดพวกนั้น
สวีซื่อจุนผิดหวังเล็กน้อย อยากจะถามสวีซื่อเจี่ยน แต่ว่าพอสวีซื่อเจี่ยนเลิกเรียนก็ไปที่เรือนนอกของสวีซื่อฉินแล้ว ได้ยินบ่าวรับใช้ของสวีซื่อเจี่ยนบอกว่าท่านตาท่านยายของสวีซื่อเจี่ยนได้ย้ายออกจากจวนจงฉินปั๋วมาอยู่ข้างนอกแล้ว ท่านยายของเขาสามารถต้อนรับแขกในเรือนได้ตามสบาย เนื่องจากสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนไม่ได้อยู่ที่เยี่ยนจิงมาสองปี ท่านยายของเขาจึงคิดถึงเป็นอย่างมาก มักจะส่งคนมาเรียกเขากับสวีซื่อฉินไปทานข้าว หรือไม่ก็มีลูกพี่ลูกน้องมาชวนเขาออกไปเที่ยวเล่นไม่เคยว่างเว้น
สวีซื่อจุนกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย
สวีซื่อเจี้ยบอกกับสวีซื่อจุน “พี่สี่ พี่สี่ ท่านอย่าเสียใจไปเลย พี่สามไม่เล่นกับท่าน ข้าจะเล่นกับท่านเอง” จากนั้นก็ให้สี่เอ๋อร์ไปเอาว่าวตะขาบมา “…ข้ามอบให้ท่าน”
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง สืออีเหนียงก็เชิญคนมาที่จวนเพื่อทำว่าวให้พวกเขาสองพี่น้องแล้วยังให้พวกเขาเรียนรู้วิธีทำว่าวอีกด้วย เพื่อที่จะแสดงฝีมือ ช่างฝีมือผู้นั้นจึงได้นำว่าวตะขาบร้อยขามาที่จวนด้วย สวีซื่อจุนพอเห็นแล้วก็ชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าสวีซื่อเจี้ยเองก็ชอบเช่นกัน เขาจึงมอบให้สวีซื่อเจี้ย คิดไม่ถึงว่าสวีซื่อเจี้ยจะมอบว่าวนี้ให้กับตน
เขารู้สึกประทับใจเล็กน้อย ลูบศีรษะสวีซื่อเจี้ยเลียบแบบท่าทางของสืออีเหนียง “เจ้าเก็บเอาไว้เถิด! เมื่อถึงเวลาพวกเราก็มาเล่นด้วยกัน!”
ที่จริงแล้วในใจของสวีซื่อเจี้ยก็แอบรู้สึกเสียดายที่ต้องมอบให้ เมื่อเห็นว่าสวีซื่อจุนพูดปฎิเสธก็รู้สึกโล่งใจทันที ให้สี่เอ๋อร์นำไปเก็บอย่างมีความสุข แล้วพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นพี่สี่ก็อย่าโกรธเลย พวกเราไปเล่นว่าวด้วยกันเถิด!”
สวีซื่อจุนมองดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังก็รู้สึกตื่นตันใจ คิดว่าในโลกนี้เจี้ยเกอดีต่อตนมากที่สุดจึงบอกเขาเรื่องที่สืออีเหนียงมอบดอกไม้ “…ข้ากังวลอยู่นิดหน่อย ดังนั้นจึงอยากพูดเรื่องนี้กับท่านแม่!”
สวีซื่อเจี้ยฟังเขาอย่างเงียบๆ เมื่อฟังเขาพูดจบก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เช่นนั้นพี่สี่ก็ไปพูดกับท่านแม่เถิด!”
“แต่ว่าข้ายังเป็นเด็ก ไปพูดเช่นนี้จะเหมาะสมหรือไม่”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูด!” สวีซื่อเจี้ยได้ฟังก็ทำท่าทางเห็นด้วย
สวีซื่อจุนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร “นี่ ตกลงจะพูดหรือไม่พูดดี”
สวีซื่อเจี้ยเอียงคอคิดอยู่นาน กระพริบตากลมโตแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าตามใจพี่สี่ขอรับ!”
ก็เท่ากับว่าไม่ตัดสินใจ
สวีซื่อจุนเห็นท่าทางไร้เดียงสาและไร้กังวลของเขาก็อดถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ คิดว่าหากสวีซื่อเจี่ยนอยู่ที่นี่ก็คงดี แต่ในใจก็แอบคิดว่าต่อให้สวีซื่อเจี่ยนอยู่ที่นี่ ก็คงไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกขัดแย้งของตนได้ ในใจก็เริ่มสับสนมากยิ่งขึ้น
เมื่อได้ยินว่าสืออีเหนียงเรียกเขา ก็รีบไปหาสืออีเหนียงด้วยท่าทางไม่สบายใจเล็กน้อย
แสงแดดในตอนปลายฤดูใบไม้ผลิทั้งสดใสและสว่างจ้า พลอยทำให้ใจของผู้คนรู้สึกอบอุ่นไปด้วย
สืออีเหนียงกับสวีซื่อจุนนั่งอาบแสงอาทิตย์อยู่บนระเบียงใต้ชั้นวางดอกไม้ แสงสะท้อนจากกระจกสาดส่องมาบนร่างกายของทั้งสอง
“จุนเกอ ป้าตู้นำเรื่องที่เจ้ากังวลมาบอกข้าแล้ว”
นางยิ้มพลางมองเขาแล้วพูดอย่างตรงประเด็นว่า “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยเตือนข้า”
ภายใต้แสงอาทิตย์ สายตาของสืออีเหนียงทั้งสงบและจริงใจ ทำเอาสวีซื่อจุนหน้าแดง
“ไม่ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกขอรับ!” เขาก้มหน้าด้วยความเขินอาย “ข้า ข้า…อาจารย์จ้าวบอกว่าข้าเป็นทายาทของหย่งผิงโหว ต่อไปก็ต้องดูแลท่านย่า ท่านแม่ พี่ชาย พี่สาว น้องชาย และน้องสาว”
สืออีเหนียงกอดสวีซื่อจุนไว้ในอ้อมแขน “จุนเกอสมกับเป็นซื่อจื่อที่ดีแล้ว!” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ
เมื่อสวีซื่อจุนเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาสดใสเหมือนดาวบนท้องฟ้า มุมปากของเขายกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
“เรื่องมอบดอกไม้นั้นไม่เหมาะสมอยู่บ้าง” สืออีเหนียงอธิบายให้เขาฟังด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง “แต่ว่าบรรดาฮูหยินที่ข้ามอบดอกไม้ให้นั้นต่างก็เป็นสหายใกล้ชิด อย่างเช่นกานไท่ฮูหยินที่เป็นทั้งผู้อาวุโสของป้าสามของเจ้า แล้วยังเป็นประธานในพิธีปักปิ่นของข้า อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับพวกเรา ก็เหมือนเจ้ากับเจี่ยนเกอ…”
สวีซื่อจุนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย
“…นอกจากนั้นยังมีคุณนายใหญ่สกุลหลินที่นับเป็นท่านอาหญิงของว่าที่พี่เขยใหญ่ของเจ้า หวงไท่ฮูหยินกับไท่ฮูหยินก็เป็นสหายสนิทกัน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วอธิบายเพิ่มว่า “เพราะว่าข้ารู้จักพวกนางดีจึงรู้ว่าพวกนางจะไม่เอาไปพูด ดังนั้นจึงได้กล้ามอบดอกไม้ให้กับพวกนาง”
สวีซื่อจุนยิ้มอย่างเก้อเขิน
“ข้า…ข้าดูท่านแม่ผิดไปเองขอรับ!”
“แต่ว่าจุนเกอก็ยังคิดได้ว่าจะกระทำการใดก็ต้องถ่อมตน คิดได้ว่าอาจจะมีคนนำเรื่องนี้มาใช้โจมตีสกุลเรา ทำให้เจ้าดูมีมาดของซื่อจื่อขึ้นมาบ้างแล้ว” สืออีเหนียงกอดจุนเกอแน่นขึ้น “หากพี่หญิงใหญ่รู้เข้า ก็ไม่รู้ว่าจะดีใจแค่ไหน ต่อไปข้าคงวางใจให้จุนเกอดูแลเรื่องต่างๆ ได้แล้ว”
จุนเกอเม้มปาก หมอกควันในใจเมื่อสองวันก่อนได้ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว
******
เมื่อส่งจุนเกอไปแล้ว สืออีเหนียงก็ให้หู่พั่วไปหาตำรา ‘บทเรียนปฐมวัย’ มา พับมุมกระดาษหน้าที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ แล้วบอกหู่พั่วนำไปส่งให้อาจารย์จ้าว
“นี่คือ…” หู่พั่วมองสืออีเหนียงด้วยความงุนงง
“เจ้าแค่นำไปส่งก็พอแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์จ้าวเป็นคนฉลาด ย่อมเข้าใจอย่างแน่นอน”
หู่พั่วย่อเข่ารับคำ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็นำตำราไปส่งให้อาจารย์จ้าว
————————————
[1]จักพรรดินีบูเช็กเทียน คือฮ่องเต้หญิงผู้ยิ่งใหญ่คนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์จีน