ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 41 งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ (ต้น)
หลัวเจิ้นไคกับหลัวเจิ้นอวี้ยังคงดูท่าทางฉลาดและร่าเริงเช่นเคย สืออีเหนียงยิ้มและทักทายพวกเขา อู่เหนียงเองก็มาคำนับนายหญิงสาม สาวใช้น้อยยกเก้าอี้ตัวเล็กมาให้ทั้งสองคนนั่ง แต่นายหญิงสามกลับลุกขึ้นแล้วกล่าวลา “สองสามวันมานี้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่คอยช่วยเหลือ” พูดพลางขอบตาแดง “ข้ามาเพื่อขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่”
“คนครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้” นายหญิงใหญ่ลุกขึ้นมาประคองมือนายหญิงสาม “ข้าอยากจะให้เจ้าอยู่พักผ่อนที่นี่ แต่ข้าก็รู้ว่าในเวลานี้ต่อให้พูดอย่างไรก็รั้งเจ้าไว้ไม่ได้ ข้าไม่ขอพูดคำพูดเกรงใจเหล่านั้นแล้ว เจ้ากลับไปก็พักผ่อนเถิด ในโลกใบนี้ไม่มีอุปสรรคอะไรที่ผ่านพ้นไปไม่ได้ รอสักสองสามวันอารมณ์ของเจ้าดีขึ้นมาแล้ว ค่อยมาหาข้าที่นี่ ข้าจะนัดน้องสะใภ้รองอีกครั้ง พวกเราสามคนพี่น้องจะได้มารวมตัวกัน”
นายหญิงสามรีบพยักหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่ เช่นนั้นข้าขอพาลูกๆ กลับไปก่อน”
คุณชายห้ากับคุณชายหกคำนับลานายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่ลูบหัวทั้งสองคน ส่งนายหญิงสามเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม “พวกเด็กๆ เองก็เหนื่อยแล้ว ให้พวกเขาไปพักผ่อนสักหน่อย ข้าเองก็เป็นแม่คน รู้ว่าเจ้าอยากจะให้ลูกๆ ได้ดี แต่ความใจร้อนจะทำให้เสียเรื่อง มีบางเรื่องที่ต้องให้มันเป็นไปอย่างช้าๆ”
“พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูกแล้ว” สีหน้าของนายหญิงสามดูเหนื่อยล้า “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่เตือนสติ”
สืออีเหนียงที่อยู่ข้างหลังได้นึกถึงครั้งแรกที่ตัวเองได้เจอนายหญิงสาม
ผมทรงดอกโบตั๋นปักด้วยดอกโป๊ยเซียน สวมเสื้อกั๊กผ้าไหมสีแดงกุหลาบแซมม่วงประกายทอง มองดูเป็นประกายระยิบระยับ ให้ความรู้สึกสูงส่งกว่าผู้ใด
แต่ตอนนี้กลับมองไม่เห็นความมีสง่าราศีเหมือนในอดีตอีกแล้ว…
เมื่อไม่มีสกุลเก่าที่มีอำนาจค้ำหัวแล้วจึงไม่มีความมั่นใจเหมือนเมื่อก่อน อย่างไรนายหญิงสามก็ยังมีประสบการณ์น้อย…
นางยืนอยู่ข้างหลังนายหญิงใหญ่ มองดูนายหญิงสามเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินกลับเรือนหลักไปพร้อมกับนายหญิงใหญ่
ระหว่างทางนายหญิงใหญ่ถามอู่เหนียงกับสืออีเหนียงว่า “ช่วงสองสามวันมานี้พวกเจ้าทำอะไรกัน”
อู่เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า“ข้ากำลังฝึกเขียนตัวอักษร เห็นป้ายเหล่านั้นที่อยู่ในสวนที่เรือนของพี่หญิงใหญ่ จึงได้รู้ว่าอะไรคือ ‘ภูเขาอยู่เหนือภูเขา คนอยู่เหนือคน’ หากยังไม่ไปฝึกเขียนก็กลัวว่าจะเสียหน้าพี่หญิงใหญ่”
“ป้ายในจวนหย่งผิงโหวไม่ได้ถูกมอบโดยราชสำนัก มันถูกเขียนขึ้นโดยลูกศิษย์สำนักศึกษาฮั่นหลินย่วน การที่เจ้าเขียนไม่ได้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา” นายหญิงใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ” จากนั้นก็มองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นมาว่า “ลูกทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือน เตรียมจะเย็บเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิสีเหลืองให้ซิวเกอ แล้วเลือกสีครามให้จุนเกอ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า
ลั่วเชี่ยวรีบเดินไปข้างหน้าเปิดม่านให้นายหญิงใหญ่ แต่กลับมีสาวใช้น้อยวิ่งมารายงานว่า“นายหญิงใหญ่ ท่านป้าจากจวนหย่งผิงโหวมาส่งเทียบเชิญ”
นายหญิงใหญ่รีบหันกลับไป “รีบเชิญนางเข้ามา!”
สาวใช้น้อยตอบรับแล้วเดินออกไป ไม่นานก็พาท่านป้าอายุสี่สิบกว่าปีทั้งสองคนเข้ามา
ท่านป้าทั้งสองคนรีบก้าวไปข้างหน้าคำนับนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่เชิญให้ท่านป้าทั้งสองนั่งลงด้วยความเกรงใจ
ทุกคนกลับไปนั่งอีกครั้ง บรรดาสาวใช้ยกถ้วยชามาวาง ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีไฝสีแดงตรงมุมปากได้นำกล่องแกะสลักดอกโบตั๋นสีแดงที่อยู่ในมือส่งออกไป“ไท่ฮูหยินบอกว่าอีกสองสามวันก็จะถึงวันที่สามเดือนสามซึ่งเป็นวันเด็กผู้หญิง อยากจะเชิญนายหญิงใหญ่ คุณนาย คุณหนู และซิวเกอไปร่วมฉลองที่จวนด้วยกัน ไท่ฮูหยินได้เชิญคณะเต๋ออินปานมาเล่นที่จวนด้วยเจ้าค่ะ”
ลั่วเชี่ยวที่อยู่ข้างๆ รีบรับกล่องมา หยิบเอาเทียบเชิญสีแดงเหล้าองุ่นโรยกากเพชรสีทองในกล่องมาให้นายหญิงใหญ่ดู
เนื่องจากว่ารู้จุดประสงค์ของเทียบเชิญแล้ว นายหญิงใหญ่จึงมองพอเป็นพิธี จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า“รบกวนให้ท่านป้าทั้งสองกลับไปบอกไท่ฮูหยินว่าข้าขอบคุณนางมากที่ระลึกถึงข้าเสมอ วันนั้นข้าจะพาลูกสะใภ้ บุตรสาว และหลานไปร่วมงานอย่างแน่นอน ”
“เช่นนั้นบ่าวขอกล่าวขอบคุณท่านแทนไท่ฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ” ท่านป้าที่มีไฝสีแดงตรงมุมปากลุกขึ้นแล้วหันไปคำนับนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็ถามสารทุกข์สุกดิบสองสามประโยคแล้วลุกขึ้นกล่าวลา
นายหญิงใหญ่มองดูดอกตูมที่อยู่ด้านนอกเรือน แล้วบอกอู่เหนียงกับสืออีเหนียงว่า “ได้เวลาสวมชุดฤดูใบไม้ผลิแล้ว”
ทั้งสองตอบรับพร้อมกัน “เจ้าค่ะ” นั่งอยู่เป็นเพื่อนนายหญิงใหญ่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วต่างพากันกลับห้องตัวเอง
******
เมื่อถึงวันที่สามเดือนสามสืออีเหนียงก็หวีผมสีดำคลับมวยผมขึ้น ปักด้วยลูกปัดสีเขียวหยก สวมเสื้อกั๊กยาวสีฟ้าแกมเขียว กระโปรงผ้าทอสีขาวนวลจันทร์ อาศัยความอ่อนเยาว์และความงามของนาง เพียงแค่ลูบน้ำผึ้งดอกมะลิเล็กน้อยบนใบหน้าก็สามารถไปพบนายหญิงใหญ่ได้แล้ว
อู่เหนียงมาถึงก่อนนาง
สวมเสื้อกั๊กยาวสีเงินแดง รวบผมหางม้า และคาดหวีฝังอัญมณีสีทองสามอัน ใส่ต่างหูลายโคมมังกรสีทอง เขียนคิ้วโก่ง ทาแป้งบางๆ ดูสวยงามกว่าปกติ
นายหญิงใหญ่มองทั้งสองคนอย่างพอใจ กำชับสองสามคำ “เมื่อเจอคนต้องรู้จักทักทาย มีคณะละครเพลงอยู่ในจวน พวกเจ้าอย่าเดินไปทั่ว ระวังต้องไปเจอกับคนที่ไม่ควรเจอ” เมื่อคุณนายใหญ่พาซิวเกอที่สวมชุดผ้าไหมสีแดงมา ทั้งหมดก็ขึ้นรถม้าไปที่จวนสวีด้วยกัน
ที่หน้าประตูฉุยฮวาของจวนสวี พวกนางได้พบกับหญิงชราคนหนึ่งผมสีขาวทั้งหัวที่สวมชุดจีนโบราณ
หญิงชรากล่าวทักทายพวกนางอย่างเป็นกันเอง “เป็นญาติของสวีไท่ฮูหยินใช่หรือไม่”
แม้ว่าจะไม่รู้จัก แต่ดูจากสาวใช้ที่รายล้อมหญิงคนนั้นยี่สิบกว่าคน ต่างก็สวมใส่เครื่องทองและเงิน นายหญิงใหญ่ไม่กล้าเมินเฉยต่อนาง ยิ้มแล้วเดินเข้าไปคำนับ พูดว่า “ข้าคือสะใภ้ตระกูลหลัว มาจากสกุลสวี่เจ้าค่ะ”
หญิงชราผู้นั้นยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ข้างๆ มีคนแนะนำแก่นายหญิงใหญ่ “ท่านนี้คือเหล่าไท่จวินจวนติ้งกั๋วกง”
ที่แท้ก็เป็นคนสกุลเจิ้งที่ได้แบ่งจวนขององค์หญิงใหญ่กับสกุลสวี ซึ่งอาศัยอยู่จวนด้านหน้าของสกุลสวี
นายหญิงใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า“ที่แท้ก็เป็นเหล่าไท่จวินนี่เอง ขออภัยหากข้าเสียมารยาท” จากนั้นก็แนะนำคุณนายใหญ่สกุลหลัว อู่เหนียง สืออีเหนียงและซิวเกอให้แก่เจิ้งเหล่าไท่จวิน
ทั้งหมดเดินเข้าไปคำนับเจิ้งเหล่าไท่จวิน
ในขณะที่มีเสียงเครื่องประดับกระทบกันจากการเดินของสาวๆ ก็มีรถม้าอีกคันแล่นมา
ทุกคนอดหันไปมองตามเสียงไม่ได้
เป็นรถม้าทาสีดำเงาแบบเดียวกับของสกุลหลัว
เมื่อรถม้าหยุดก็มีหญิงผู้หนึ่งเดินลงมา นำเก้าอี้ไปวางไว้หน้าเพลาล้อจากนั้นก็ยื่นแขนขึ้นไปแล้วพูดด้วยความเคารพกับคนในรถม้าว่า “คุณหนู ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
มือสีขาวนวลได้ยื่นออกมาจากผ้าม่านสีเขียวหยก ค่อยๆ วางบนแขนของผู้หญิงที่สวมเสื้อกั๊กยาวทางการสีเขียว จากนั้นผ้าม่านรถก็เปิดออก ผู้หญิงที่สวมชุดสีแดงสง่างามค่อยๆ เดินลงมาจากรถม้า
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างพากันสูดหายใจเข้าลึก
“นี่คือบุตรสาวเรือนไหนกัน ช่างงดงามเสียจริง” ยากที่จะหลบซ่อนความประหลาดใจจากแววตาของเจิ้งเหล่าไท่จวิน
สีหน้าของนายหญิงใหญ่กลับซีดลงในตอนนี้
หญิงสาวที่สวมชุดสีแดงเดินเข้ามาหานายหญิงใหญ่อย่างช้าๆ อยู่ห่างจากนางห้าก้าวแล้วค่อยๆ ย่อเข่าคำนับด้วยความเคารพ “ท่านแม่ ลูกสือเหนียงคารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
ขณะนี้สายตาของทุกคนได้จับจ้องไปที่นายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่ยกมุมปากเล็กน้อย ใบหน้าที่ซีดเซียวค่อยๆ กลับมามีเลือดฝาดเหมือนเดิม “สือเหนียง…”
“เป็นลูกเองเจ้าค่ะ” สือเหนียงหันไปมองนายหญิงใหญ่ นัยน์ตาเป็นประกายดุจอัญมณี “รถม้าที่ท่านแม่จัดเตรียมให้ข้าวิ่งช้ามาก ลูกจึงได้มาถึงในเวลานี้”
“มาถึงได้ก็ดีแล้ว” เจิ้งเหล่าไท่จวินมองสือเหนียงด้วยรอยยิ้ม พูดกับนายหญิงใหญ่ว่า “คุณหนูจวนเจ้ามีแต่คนงดงามทั้งนั้น”
นายหญิงใหญ่หน้าแดง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจวนเรามีแต่คนงดงามทั้งนั้น”
สือเหนียงก้าวเข้าไปคำนับเจิ้งเหล่าไท่จวิน
เจิ้งเหล่าไท่จวินเข้าไปประคองมือสือเหนียง “รีบลุกขึ้นมาเร็ว สาวน้อยที่บอบบางดั่งดอกไม้เช่นนี้ ไม่ต้องก้มหัวคำนับข้าหรอก รีบลุกขึ้นมาเร็ว”
สือเหนียงลุกขึ้นมาตามแรงพยุง จับมือของเจิ้งไท่จวินแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ให้ข้าพยุงท่านเดินเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าเกรงว่าท่านแม่ของเจ้าจะหวงเจ้า” เจิ้งเหล่าไท่จวินพูดติดตลก
นายหญิงใหญ่ยิ้มอ่อน “สาวน้อยจวนเราได้เป็นที่ถูกใจของเหล่าไท่จวินเช่นนี้ ข้าดีใจแทบจะไม่ทัน จะมาหวงได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
สือเหนียงยกแขนเสื้อปิดปากแล้วหัวเราะ ดวงตาสีดำเปล่งประกาย น่ารักอย่างบอกไม่ถูก
“สือเหนียง!” อู่เหนียงเดินก้าวขึ้นมาจากข้างหลังนายหญิงใหญ่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ คิดจะขวางสือเหนียง แต่กลับถูกคุณนายใหญ่สกุลหลัวดึงไว้ “มีแค่สือเหนียงอยู่ข้างกายเหล่าไท่จวินก็พอแล้ว” พูดพลางบีบนิ้วอู่เหนียงจนขาวซีดเล็กน้อย
สืออีเหนียงถอยหลังกลับไปสองก้าวแล้วยืนอยู่ข้างหลังคุณนายใหญ่สกุลหลัว
จู่ๆ บรรยากาศก็แปลกๆ
เหล่าไท่จวินหันมายิ้มแล้วพูดว่า “จะสายแล้ว พวกเรารีบเข้าไปกันเถิด เจ้าภาพจะได้ไม่ต้องรอนาน ”พูดพลางเดินตรงขึ้นไปที่บันไดประตูฉุยฮวาโดยไม่ได้สนใจสือเหนียง
สือเหนียงหันไปมองนายหญิงใหญ่ ยิ้มเล็กน้อยแล้วดึงกระโปรงขึ้นเดินตามเจิ้งเหล่าไท่จวินขึ้นไปบนบันไดประตูฉุยฮวา
นายหญิงใหญ่จ้องมองอู่เหนียง
อู่เหนียงทำหน้าเหนื่อยหน่าย “ท่านแม่ ไม่ใช่น้องสี่หรอกเจ้าค่ะ…”
นายหญิงใหญ่ฝืนยิ้ม กำชับคุณนายใหญ่สกุลหลัวว่า “วันนี้คนเยอะแยะมากมาย ซิวเกออายุยังน้อย ไม่คุ้นชินกับเสียงดังเช่นนี้ เจ้าพาซิวเกอกลับไปก่อนเถิด”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวตอบรับด้วยสีหน้าสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าค่ะ” ไม่สนใจที่ซิวเกอตะโกนบอกว่า “ข้าอยากไปเล่นกับจุนเกอ” หันกลับไปพาลูกชายขึ้นรถม้าแล้วออกคำสั่ง “กลับไปที่ตรอกกงเสียน”
มองดูรถม้าเลี้ยวเข้าสู่ถนนหินหูหนานออกจากจวนสวีต่อหน้าพวกนาง รอยยิ้มบนใบหน้านายหญิงใหญ่กลับมาอ่อนโยนเช่นเดิม นางกำชับอู่เหนียงกับสืออีเหนียงว่า“พวกเราก็เข้าไปกันเถิด จะได้ไม่ต้องให้ใครรอนาน”
ทั้งสองคนตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินตามนายหญิงใหญ่เข้าไปที่ประตูฉุยฮวา
ด้านหลังประตูยังคงมีรถลากคันเล็กสีเขียวรอพวกนางอยู่ แต่กลับไม่เห็นเจิ้งเหล่าไท่จวินกับสือเหนียงแล้ว
มีคนเดินเข้ามายิ้มแล้วพูดว่า “เจิ้งเหล่าไท่จวินกับคุณหนูสิบได้ขึ้นรถลากไปที่ห้องโถงบุปผาก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มแล้วพาอู่เหนียงกับสืออีเหนียงขึ้นรถลากไปที่ห้องโถงบุปผา
******
สือเหนียงไม่ได้เดินตามเจิ้งเหล่าไท่จวินเข้าไปในห้องโถงบุปผา แต่ยืนยิ้มอยู่ที่หน้าห้องโถงพูดคุยอยู่กับผู้หญิงที่สวมเสื้อกั๊กผ้าแพรสีแดง เมื่อเห็นนายหญิงใหญ่นางก็ยิ้มแล้วพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่า “ท่านแม่มาแล้วเจ้าค่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นหันมา
ผู้ที่คิ้วหนานัยน์ตาสีน้ำตาลผู้นั้นคือฮูหยินสามสกุลสวี
“กำลังเตรียมจะไปต้อนรับท่านแต่ก็ได้มาเจอคุณหนูสิบเสียก่อน พอลงมาจากรถไม่เห็นท่านลงมาด้วย จึงกำลังจะรีบไปหาท่านเจ้าค่ะ…”ฮูหยินสามยิ้มต้อนรับ “ทำไมไม่เห็นคุณนายใหญ่เสียแล้วเจ้าคะ”
“วันนี้อากาศร้อนข้าจึงให้นางพาซิวเกอกลับไปก่อน” นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างมีความสุข “ขอบคุณฮูหยินสามที่คิดถึง”
“หน้าเสียดายจริงๆ เลยเจ้าค่ะ” ฮูหยินสามยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้โจวเต๋อฮุ่ยหัวหน้าคณะเต๋ออินปานมาร้องละครเพลงด้วยตัวเองเสียด้วย” จากนั้นก็มองไปที่สือเหนียง “นายหญิงใหญ่ต้องการจะซ่อนสาวงามใช่หรือไม่ มีบุตรสาวงดงามเช่นนี้ก็ไม่ให้ข้าได้เห็นบ้าง หรือว่ากลัวว่าพวกเราจะขโมยไปเจ้าคะ”
สือเหนียงมองนายหญิงใหญ่แล้วยิ้ม
นายหญิงใหญ่ฝืนยิ้ม
ต่างคนต่างไม่พูดอะไร บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด
นัยน์ตาของฮูหยินสามมีร่องรอยความสับสน
ในเวลานี้ได้มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากห้องโถงบุปผา
ฮูหยินสามเข้าไปพยุงแขนนายหญิงใหญ่โดยไม่คิดอะไร“ ท่านรีบเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้เหลือท่านเพียงคนเดียวแล้ว”