ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 405 ข่าว(ปลาย)
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่สนใจสิ่งสกปรกที่อยู่บนพื้น นั่งตรงขอบเตียงแล้วคอยลูบหลังให้นางอย่างเบามือ
“ฮูหยิน!” หู่พั่วตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่ามีสวีลิ่งอี๋คอยดูแลสืออีเหนียงแล้ว ตัวเองก็รีบวิ่งไปรินน้ำอุ่นมา
สืออีเหนียงอาเจียนอาหารที่ทานในตอนเช้าออกมาจนหมดจึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋รับถ้วยชามาจากหู่พั่วแล้วเอามาป้อนสืออีเหนียง “มา ล้างปากสักหน่อย”
มีสาวใช้น้อยไหวพริบดีรีบยกกระโถนมาให้ป้วนปาก
สืออีเหนียงหน้าแดงก่ำ
เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ราวกับว่าแทบจะทนไม่ได้เลย
นางพูดพึมพำว่า “ขอบคุณ” แล้วรับถ้วยชามาป้วนปาก เมื่อเห็นหู่พั่วพาสาวใช้น้อยมาทำความสะอาดสิ่งที่ตัวเองอาเจียนออกมา ก็พูดด้วยความไม่สบายใจว่า “ท่านโหว” รู้สึกว่าสิ่งที่อาเจียนออกมามีกลิ่นแรงจนทำให้นางรู้สึกไม่สบาย พยายามฝืนพูดขึ้นมาว่า “ท่านหลบออกไปก่อนเถิด ” รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา หมอบอยู่ขอบเตียงท่าทางเหมือนอยากจะอาเจียนอีกครั้ง
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋ตกใจจนหน้าซีด รีบกำชับหู่พั่ว “เร็ว ไปรินชาร้อนมา!”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเย็นชา ทำเอาหู่พั่วตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย รีบรับคำแล้วไปรินชาร้อนมา
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋เรียกสืออีเหนียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ค่อยๆ พยุงสืออีเหนียงที่หมอบอยู่ขอบเตียงมากอดไว้ รับถ้วยชาจากหู่พั่วมาชิมก่อนที่จะป้อนสืออีเหนียง “มา ดื่มชาร้อนสักหน่อย ดื่มแล้วจะทำให้รู้สึกดีขึ้น”
ชาเถี่ยกวนอินที่หอมเย้ายวนมีกลิ่นเจือจางกว่าปกติเล็กน้อย
สืออีเหนียงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋อย่างอ่อนแรง ไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีของเขาจึงจิบไปหนึ่งอึกแล้วเบือนหน้าหนี
“ดื่มเถิด” สวีลิ่งอี๋พูดเกลี้ยกล่อมนางเบาๆ “จิบอีกสักอึก”
สืออีเหนียงจึงต้องจิบชาอีกหนึ่งอึก
ความสะอิดสะเอียนเมื่อครู่ดูเหมือนว่าจะกลับมาอีกครั้ง
นางขมวดคิ้วแล้วเบือนหน้าหนีอีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋ไม่กล้าบังคับนางอีก จึงยื่นถ้วยชาส่งให้หู่พั่วที่สีหน้าดูเป็นกังวล จากนั้นก็ลูบหน้าผากสืออีเหนียงเบาๆ “เจ้าอดทนหน่อย ข้าให้คนไปเชิญหมอหลวงมาแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย เอามือปิดปากสีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นเอาไว้
สวีลิ่งอี๋สีหน้าเปลี่ยนไป
แต่ไหนแต่ไรมา สืออีเหนียงนั้นเป็นคนขี้เกรงใจและจัดการทุกสิ่งด้วยตัวเองมาโดยตลอด เวลาเกิดเรื่องก็ชอบทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เมื่อเป็นเรื่องเล็กก็จะไม่ไปรบกวนผู้อื่นง่ายๆ ยามนี้นางคงจะรู้สึกอึดอัดจนแทบจะทนไม่ได้แล้วกระมัง…
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว ในใจก็เริ่มเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย
“สืออีเหนียง สืออีเหนียง” เขาลูบหลังสืออีเหนียงเบาๆ “เจ้าไม่สบายตรงไหนกัน” จากนั้นก็จูบแก้มนางเบาๆ
การกระทำที่อ่อนโยน อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น น้ำเสียงที่รักใคร่เอ็นดู ทำให้หว่างคิ้วของนางค่อยๆ คลายลง แต่กลิ่นแปลกๆ ที่อยู่ปลายจมูกคอยเตือนสืออีเหนียงว่ามีสิ่งที่นางอาเจียนออกมาอยู่ที่ข้างเตียง ทำให้นางขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง
สิ่งเหล่านี้หลบไม่พ้นสวีลิ่งอี๋ที่คอยสังเกตอาการของนางอย่างละเอียด
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามนางเบาๆ ว่า “เป็นเพราะกลิ่นในห้องไม่ดีใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงเม้มปากด้วยความอายเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม หยิกจมูกนางเบาๆ “บิดจนจะเป็นขนมเกลียวอยู่แล้ว” จากนั้นก็เอาผ้าห่มมาห่อนางแล้วอุ้มไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก “ให้พวกนางเก็บกวาดกันก่อน พวกเรามาอยู่ที่นี่สักครู่หนึ่ง”
สืออีเหนียงหน้าแดงก่ำราวกับพระอาทิตย์ยามอัสดง
หู่พั่วเห็นดังนั้นก็พาสาวใช้น้อยวิ่งไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก เมื่อพวกเขามาถึง โต๊ะที่อยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างห้องปีกทิศตะวันออกได้ถูกยกออกไปแล้ว ปูเบาะรองสีฟ้าลายค้างคาวห้าตัว มีหมอนอิงสีดำวางอยู่ ปูทับด้วยผ้านวมสีแดงลายนกยูง ชามและถ้วยชาวางอยู่บนโต๊ะที่อยู่ทางด้านตะวันออกของเตียงเตา
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้วางสืออีเหนียงลงบนเตียงนั่ง แต่อุ้มไว้นางแล้วขึ้นไปบนเตียงเตา
เมื่อหู่พั่วเห็นดังนั้นก็รีบคุกเข่าลงช่วยสวีลิ่งอี๋ถอดรองเท้า
ห้องนี้เดิมทีเป็นห้องหนังสือเล็กๆ ของสืออีเหนียง นางจะมาที่นี่เพื่ออ่านหนังสือหรือตรวจบัญชีเป็นครั้งคราว ไม่เหมือนห้องด้านในและห้องจัดเลี้ยงที่มักจะมีสาวใช้น้อยมากมายคอยปรนนิบัติ เพราะเหตุนี้อากาศจึงค่อนข้างปลอดโปร่ง สืออีเหนียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวาขึ้นมากจึงค่อยรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านโหว” นางดิ้นเล็กน้อย “ปล่อยข้าลงเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจ “หลับตาลงสงบจิตสงบใจเถิด อีกประเดี๋ยวหมอหลวงก็จะมาถึงแล้ว”
เขาไม่พูดก็ดีไป แต่พอเขาพูดเช่นนี้ก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา อ้อมแขนที่แข็งแรงของสวีลิ่งอี๋ทำให้นางรู้สึกสงบเป็นพิเศษ สืออีเหนียงอดหาวไม่ได้ ในใจยังคงนึกถึงไท่ฮูหยิน “ข้ายังไม่ได้ไปคารวะท่านแม่เลย”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางดึงดัน จึงจูบแก้มนางด้วยความเอ็นดู “รีบนอนเถิด! ทางด้านท่านแม่ข้าจะไปพูดให้เอง”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็วางใจ มุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ไม่นานก็หลับไป
ตอนนี้สวีลิ่งอี๋ถึงได้สงบลงแล้วคิดอย่างละเอียด ในใจทั้งตกใจทั้งมีความสุข ได้แต่รอให้หมอหลวงหลิวมาเร็วๆ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าหลายวันมานี้สภาพอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว พอกลางคืนก็ต่างคนต่างหันหลังใส่กัน บางทีอาจจะเป็นหวัดก็ได้ ฉับพลันก็นึกเสียใจขึ้นมาอยู่ไม่น้อย สืออีเหนียงอายุน้อยกว่าตนสิบกว่าปี ถึงแม้ว่าปกติจะมีท่าทางสุขุมเรียบร้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ลึกๆ แล้วนางมีความอ่อนแอแค่ไหนไม่มีใครเข้าใจได้ดีกว่าเขา แต่ว่าตนก็ยังถือสานาง เสียทีที่ตัวเองอายุมากกว่านาง…อีกอย่างคืนนั้นก็เป็นเขาที่ผิด สืออีเหนียงเป็นคนขี้อาย อย่าว่าแต่เข้าใกล้เลย ขนาดเพียงแค่กอดนางแน่นๆ ก็ยังหน้าแดงก่ำ ยิ่งไปกว่านั้นวันนั้นก็ถูกเขาแกล้งจนร้องไห้…เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็เอาใบหน้าแนบไปกับใบหน้าของสืออีเหนียง
ตอนนี้เกรงว่าเจ้าตัวเล็กคงจะทั้งกังวลทั้งเขินอาย
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ วันนั้นควรจะอ่อนโยนกับนางมากกว่านี้!
เขาเอาความอับอายที่พูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาแล้วทิ้งไว้ข้างหลังไม่ไปนึกถึงอีก จูบที่ไรผมของสืออีเหนียงเบาๆ ราวกับว่าเช่นนี้จะสามารถชดใช้การล้ำเส้นของตัวเองในวันนั้นได้ ในใจได้แต่แอบหวังว่าอย่าให้เป็นเพราะเป็นไข้เลย แม้แต่ความหวังว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ก็ยังลดน้อยลง
กำชับหู่พั่วว่า “ฮูหยินไม่สบาย ไม่พบใครทั้งสิ้น ให้ป้าซ่งไปรายงานไท่ฮูหยินด้วย”
หู่พั่วยินดีเป็นอย่างมาก ย่อเข่ารับคำ “เจ้าค่ะ” แล้วรีบไปจัดการ เมื่อกลับมารายงานสวีลิ่งอี๋ ในใจก็เกิดความคิดขึ้นมาจึงรีบไปหาจู๋เซียง
สืออีเหนียงท่าทางสะลึมละลือ ไม่รู้ว่าหมอหลวงหลิวมาตอนไหนและกลับไปตอนไหน เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าในห้องได้จุดโคมไฟเอาไว้แล้ว สวีลิ่งอี๋เอนตัวพิงหมอนอิงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงนั่ง
เมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว เขาก็รีบมาดู “ตื่นแล้วหรือ!”
หรืออาจเป็นเพราะแสงไฟ สืออีเหนียงรู้สึกว่าสายตาที่สวีลิ่งอี๋มองนางนั้นดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ
“เจ้าค่ะ!” นางคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะหลับไปนานขนาดนี้ ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง “ตอนนี้ยามไหนแล้ว”
สวีลิ่งอี๋ดึงนาฬิกาพกออกมา “ต้นยามซวีแล้ว!”
“ข้าหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางลูบศีรษะนาง ถามนางอย่างอ่อนโยนว่า “หิวหรือไม่ อยากกินอะไรหรือไม่”
สืออีเหนียงไม่อยากอาหาร แต่หากไม่ทานอาหารก็จะทำให้ร่างกายแย่ลง
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าอยากทานโจ๊กข้าวฟ่าง”
สวีลิ่งอี๋ตะโกนเรียกสาวใช้น้อย
สืออีเหนียงรู้สึกเกียจคร้าน ไม่อยากลุกออกจากเตียง จึงพิงหมอนอิงพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ “หมอหลวงว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“บอกว่าอาจเป็นเพราะเจ้าเหนื่อยเกินไป” สวีลิ่งอี๋มีสายตาแปลกๆ “บอกว่าพอผ่านไปอีกสักหน่อยจะมาตรวจชีพจรให้เจ้าอีกครั้ง”
“เขียนใบสั่งยาแล้วหรือยัง”
“เขียนแล้ว!” สวีลิ่งอี๋นึกขึ้นได้ว่านางเข้าใจใบสั่งยา รู้จักยาบางชนิดจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ให้ผู้ดูแลเรือนนอกไปช่วยจัดยาให้แล้ว พรุ่งนี้จะเอามาให้เจ้าดู”
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ถามถึงรายการงานเลี้ยงในวันที่สามเดือนสามว่าได้ส่งไปให้ผู้ดูแลจ้าวแล้วหรือยัง ถามว่าตัวเองไม่ได้ไปคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินว่าอย่างไรบ้าง และถามว่าพวกเด็กๆ สบายดีหรือไม่
สวีลิ่งอี๋เล่าถึงสถานการณ์ในจวนให้ฟัง เมื่อสาวใช้น้อยยกโจ๊กข้าวฟ่างเข้ามาจึงได้ลุกขึ้นแล้วยกโต๊ะบนเตียงเตามาไว้ตรงหน้านาง
เมื่อถูกสวีลิ่งอี๋ดูแลเช่นนี้ สืออีเหนียงก็รู้สึกไม่ชินเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโจ๊กข้าวฟ่าง ทานไปเพียงสองคำก็ไม่อยากทานแล้ว
“ไม่อยากทานก็ไม่ต้องทานแล้ว” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้บังคับ ให้สาวใช้น้อยเอาออกไป “เจ้าหลับมาแล้วทั้งวันก็ยากที่จะอยากอาหาร รอให้อยากทานเมื่อไรค่อยทานเถิด!”
แต่สืออีเหนียงก็รู้สึกหิว นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนมักจะกินเพียงผลไม้ในตอนเย็นเพื่อรักษาหุ่นจึงให้สาวใช้ช่วยปอกผิงกั่วให้หนึ่งลูกแต่ก็กินไปเพียงแค่ครึ่งลูก
หู่พั่วตักน้ำเข้ามาปรนนิบัตินางล้างหน้าล้างตา
“ไม่ต้องแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มพลางลงจากเตียงเตา “ไปที่ห้องชำระดีกว่า!”
หู่พั่วมองสวีลิ่งอี๋เพื่อขอความช่วยเหลือ
สวีลิ่งอี๋รีบพูดขึ้นมาว่า “ให้พวกเขาปรนนิบัติเจ้าล้างหน้าล้างตาที่นี่เถิด! วันนี้เจ้าก็ไม่ได้ต้องออกไปไหน ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนั้น”
สืออีเหนียงยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย สวีลิ่งอี๋เปิดม่านแล้วเดินออกไป หู่พั่วนำผ้าขาวมาวางบนไหล่ของนาง เพียงแค่นางก้มหัวก็สามารถล้างหน้าได้แล้ว
ทำราวกับว่าป่วยหนัก!
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็แอบบ่นอยู่ในใจ ใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย จู่ๆ ใจก็เต้นแรงขึ้นมา
หรือว่าตนจะป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้
ดังนั้นสวีลิ่งอี๋จึงไม่ให้นางดูใบสั่งยา หู่พั่วและคนอื่นๆ จึงได้ปรนนิบัติต่อนางอย่างระมัดระวังเช่นนี้
กว่าจะระงับความตกใจภายในใจได้นั้นไม่ง่ายเลย สืออีเหนียงค่อยๆ สังเกตอย่างละเอียด
ดูเหมือนว่าหู่พั่วกลัวว่านางจะเคลื่อนไหวมากเกินไปจึงคอยสังเกตท่าทางของหู่พั่วอยู่เรื่อยๆ เวลานางจะทำอะไรหู่พั่วก็จะรีบทำแทนนาง พอนางนั่งลงอย่างเชื่อฟัง หู่พั่วและคนอื่นๆ ก็จะมีท่าทางผ่อนคลาย
สืออีเหนียงไม่อยากทำให้พวกนางลำบากใจ จึงนั่งอยู่เฉยๆ ให้พวกนางจัดการได้ตามใจต้องการ
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ได้ยินว่าท่านไม่สบาย คุณหนูใหญ่ คุณชายน้อยสี่ และคุณชายน้อยห้าจึงได้ช่วยกันทำถุงหอมดอกกล้วยไม้ แล้วยังบอกอีกว่าพอท่านดีขึ้นเมื่อไรก็จะมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
“เอาเข้ามาเถิด!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพิงหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน
หู่พั่วช่วยนางจัดผ้าห่มไว้เรียบร้อย หลังจากนั้นลี่ว์อวิ๋นก็รับถุงหอมจากสาวใช้น้อยแล้วนำมาส่งให้
สืออีเหนียงลองดมดู ฉับพลันก็รู้สึกมวนท้อง จึงหมอบอาเจียนผิงกั่วที่พึ่งทานเข้าไป
ไม่รู้ว่าหู่พั่วไปยกกะละมังสีฟ้ามาจากไหน สืออีเหนียงจึงอาเจียนใส่กะละมังอย่างพอดิบพอดี เมื่อสืออีเหนียงอาเจียนเสร็จสาวใช้น้อยก็ยกน้ำอุ่นเข้ามาให้บ้วนปาก ลี่ว์อวิ๋นเอาบ๊วยน้ำผึ้งมาให้นางอม ทุกอย่างถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบ
สืออีเหนียงเห็นว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางแสงไฟจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าระดูไม่มานานแล้ว…ยกมือกุมท้องโดยไม่รู้ตัว
“หู่พั่ว!” นางมองหู่พั่วด้วยความสับสน อยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
******
“หากเป็นเช่นนี้ต้องรอจนถึงเดือนสามถึงจะได้รับการยืนยันอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ป้าตู้ช่วยไท่ฮูหยินเอาปิ่นปักผมออก
“แต่ว่าก็ยังตรวจไม่พบอะไร” แววตาของไท่ฮูหยินเผยให้เห็นรอยยิ้มสดใสร่าเริง “ข้าเรียกป้าซ่งมาถาม แปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นไปได้ว่ากำลังตั้งครรภ์แล้ว”
“ขอแสดงความยินดีกับไท่ฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มพลางย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยุงนาง “อย่าพึ่งพูดออกไป เจ้าสี่กำลังปิดบังอยู่”
ป้าตู้ประหลาดใจเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “นิสัยอย่างเขา หากไม่ใช่เรื่องที่มั่นใจจะไม่พูดออกไปเด็ดขาด” คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างมีความสุขว่า “เรื่องเช่นนี้เกรงว่าแม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่เข้าใจเท่าพวกเราแน่นอน!”
ป้าตู้หัวเราะเสียงดังลั่น