ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 402 ตรุษจีน(ปลาย)
เช้าวันรุ่งขึ้น สืออีเหนียงตื่นนอนค่อนข้างสายกว่าปกติ หลังจากที่นางล้างหน้าล้างตาแล้วพึ่งจะนั่งในห้องโถง ของขวัญตรุษจีนจากสกุลเซ่าก็มาถึงพอดี
นางมาพบผู้ดูแลหญิงสองคนที่มาคารวะที่ห้องโถงหลัก
“นายท่านกับนายหญิงสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่” สืออีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน ส่งสัญญาณให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้มาให้ผู้ดูแลทั้งสองนั่ง
ทั้งสองคนนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความถ่อมตน คนหนึ่งตอบคำถามของสืออีเหนียง “ขอบคุณฮูหยินที่นึกถึง นายท่านกับนายหญิงของพวกเราสบายดี มาส่งของขวัญตรุษจีนครานี้ก็ได้ให้พวกเรามาคารวะฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ…”
ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังหรี่ตาพลางลอบสำรวจสภาพแวดล้อมภายในห้อง
ห้องโถงหลักเป็นห้องรวมสามห้อง ข้าวของเครื่องใช้และเสาเคลือบด้วยสีดำ ประดับด้วยผ้าม่านสีน้ำเงิน ห้องโถงกลางมีภาพม้าแปดตัว ฉากกั้นเป็นงานปักสองด้านลายดอกไม้ ในแจกันเต็มไปด้วยดอกกุหลาบส่งกลิ่นหอมอบอวล ห้องกว้างขวาง มีความคล้ายคลึงกับเรือนเก่าของสกุลเซ่าในชังโจว
ดวงตาของนางอดหันไปมองบรรดาป้ารับใช้ผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้
มีทั้งคนสูงวัยและยังอ่อนวัย ทุกคนสวมชุดผ้าไหมสีเขียวและมวยผมขึ้น เพียงแต่ว่าบางคนก็ปักปิ่นปักผมอัญมณี บางคนก็ปักดอกชุ่ยฮวา บางคนก็ปักดอกไม้ที่ทำมาจากผ้าสองดอก บนข้อมือสวมกำไลสีทองแดง แต่ละคนยืนตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม ดูมีสง่าราศรีกว่านายหญิงของครอบครัวธรรมดาทั่วไป แต่ท่าทางของพวกนางล้วนดูเคารพยำเกรงและนอบน้อมมากกว่าสาวใช้น้อยระดับสามเสียอีก
นางประหลาดใจเล็กน้อย เหลือบไปมองสืออีเหนียงอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินหย่งผิงโหวท่าทางอายุไม่เกินสิบห้าสิบหกปี ผมสีดำขลับถูกมวยขึ้น สวมเสื้อแขนยาวสีเขียวที่ดูใหม่เอี่ยม ดวงตาเปล่งประกายดั่งอัญมณี แต่สีหน้ากลับดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยราวกับว่าไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจในทันที
ใกล้ถึงเทศกาลฉลองวันตรุษจีนแล้ว จะมีนายหญิงผู้ดูแลเรือนไหนบ้างที่จะไม่ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสกุลของขุนนางระดับสูงอย่างหย่งผิงโหว
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็เห็นสหายที่มากับตัวเองยืนขึ้น “ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ!”
นางรีบลุกขึ้นตาม ย่อเข่าคำนับพร้อมกับสหายของนาง แล้วถอยออกไปพร้อมกับสาวใช้อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีที่แต่งกายดูดีเป็นอย่างมาก
“เชิญท่านป้าทั้งสองตามข้ามาเถิด” สาวใช้ผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รอยยิ้มดูเป็นมิตร
นางได้ยินสหายของนางเรียกสาวใช้ผู้นั้นว่า ‘แม่นางลี่ว์อวิ๋น ’ “ให้สาวใช้น้อยพาพวกเราไปก็พอแล้ว จะกล้ารบกวนแม่นางได้อย่างไรกัน”
“ท่านไม่ต้องเกรงใจข้าเจ้าค่ะ” ลี่ว์อวิ๋นยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “แม้ว่าจะมาคารวะฮูหยินแทนนายหญิง ก็เหมือนกับว่านายหญิงมาด้วยตัวเอง” จากนั้นก็พาพวกนางไปนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องปีก เรียกสาวใช้น้อยให้อุ่นสุราจินหวาสองไหเข้ามา “…ต้อนรับแขกที่มาจากชังโจว”
นางรู้ว่ากำลังจะรั้งให้พวกนางอยู่ทานข้าวจึงยิ้มและกล่าวขอบคุณ
ลี่ว์อวิ๋นพูดด้วยความเกรงใจว่า “เดินทางลำบากแล้ว” เมื่ออาหารและสุราถูกยกมาวางแล้วจึงยิ้มพลางลุกขึ้นกล่าวลา นางมองลี่ว์อวิ๋นผ่านกระจกตรงหน้าต่าง กำลังจะนั่งลงที่โต๊ะก็เห็นสาวใช้น้อยสองคนห้อมล้อมชายหนุ่มรูปงามที่แต่งกายไม่ค่อยเรียบร้อยเดินเข้ามา
ข้างนอกมีสาวใช้น้อยอุทานขึ้นด้วยความตกใจ “คุณชายน้อยสองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
บ่าวรับใช้ในห้องต่างก็มองออกไปด้านนอก นางยืนมองอยู่ข้างๆ หน้าต่าง ยิ้มพลางถามสาวใช้น้อยในห้องว่า “ใช่คุณชายน้อยสองที่กำลังศึกษาอยู่ที่เล่ออานหรือไม่”
สาวใช้น้อยพยักหน้า “เป็นคุณชายน้อยสองที่กำลังศึกษาอยู่ที่เล่ออานเจ้าค่ะ คุณชายน้อยของพวกเราสอบผ่านระดับเขตเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้เตรียมกลับมาสอบระดับมณฑลเจ้าค่ะ”
******
“คิดว่าอีกสองวันเจ้าถึงจะมาถึง” เมื่อสวีซื่ออวี้ทำความเคารพแล้ว สืออีเหนียงก็ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาถึงวันนี้”
“หากหิมะยังคงตกไม่หยุด วันนี้ก็คงกลับมาไม่ได้ขอรับ” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “แต่ปรากฏว่าตอนเช้าหิมะก็หยุดตกแล้ว”
เมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่เขาจากเรือนไป สวีซื่ออวี้สูงขึ้นเล็กน้อย ท่าทางก็ดูมั่นคงมากขึ้น
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว!” นางพูดพลางลุกขึ้น “ท่านย่าคิดถึงเจ้าอยู่ตลอด เจ้าไปคารวะท่านสักหน่อยเถิด”
สวีซื่ออวี้รับคำ ตามสืออีเหนียงไปที่เรือนไท่ฮูหยิน
เมื่อเห็นสวีซื่ออวี้ไท่ฮูหยินก็เข้ามาจับมือแล้วถามไถ่เขา จากนั้นก็กำชับให้ป้าตู้ไปเชิญสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยมา
อาจารย์จ้าวหยุดสอนหลังจากผ่านเทศกาลล่าปาไปจนถึงวันที่สองเดือนสองของปีหน้าจึงจะกลับมาอีกครั้ง หลายวันมานี้หากไม่ใช่สวีซื่อเจี้ยวิ่งไปเล่นกับสวีซื่อจุนก็เป็นสวีซื่อจุนที่วิ่งมาเล่นกับสวีซื่อเจี้ย สองพี่น้องหากไม่ฝึกเป่าขลุ่ยด้วยกันก็ฝึกเรียนอักษร ท่องหนังสือ กระโดดเชือก เล่นกันอย่างมีความสุข
สาวใช้สิบกว่าคนเดินห้อมล้อมสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยเข้ามา
สวีซื่อจุนท่าทางนิ่งสงบและสง่างาม สวีซื่อเจี้ยรูปร่างงดงาม สวมเสื้อแขนยาวสีฟ้าแบบเดียวกัน ยืนอยู่เคียงข้างกันราวกับภาพวาด ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูงดงาม ทำเอาไท่ฮูหยินใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สองพี่น้องคำนับสวีซื่ออวี้แล้วไปยืนข้างๆ ไท่ฮูหยิน แววตาของสวีซื่ออวี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
อาจเป็นเพราะว่าตอนที่เขากลับมาครั้งที่แล้วเขาแสดงความรู้สึกดีกับสวีซื่อเจี้ยแต่กลับถูกสวีซื่อเจี้ยปฏิเสธ คราวนี้สวีซื่ออวี้จึงเพียงแค่ยืนเงียบๆ ห่างจากไท่ฮูหยินห้าก้าวแล้วมองไปที่สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
สามคนพี่น้องยืนอยู่ตรงข้ามกันอย่างเงียบๆ และไม่มีใครพูดอะไร
สวีซื่อจุนเม้มปากเล็กน้อย ถามสวีซื่ออวี้เสียงเบาว่า “พี่สองจะกลับเล่ออานเมื่อไร”
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจ สายตามากมายล้วนจับจ้องไปที่สวีซื่อจุน
เมื่อถูกทุกคนมองมาสวีซื่อจุนก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย มุมปากขยับกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง สวีซื่ออวี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะกลับเล่ออานหลังจากสอบระดับมณฑลในเดือนสี่ปีหน้า”
เมื่อสวีซื่อจุนได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นพี่สองมีเวลาไปเล่นหิมะที่สวนทางทิศตะวันตกกับพวกเราหรือไม่ขอรับ” ขณะที่พูดก็เหลือบมองสืออีเหนียงด้วยความเขินอายเล็กน้อย
สองวันก่อนหน้านี้สืออีเหนียงได้ขอให้สวีลิ่งควนพาเด็กทั้งสองไปเล่นน้ำแข็งที่สวนทางทิศตะวันตก เดิมทีเป็นเรื่องที่นางขอ แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจเชิญสวีซื่ออวี้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะรู้ว่าสืออีเหนียงจะไม่โกรธ แต่ก็คงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
สืออีเหนียงยิ้มให้สวีซื่อจุนอย่างจริงใจ แต่ในใจกลับรู้สึกทอดถอนใจ
สวีซื่อจุนได้รับการอบรมสั่งสอนโดยอาจารย์จ้าว เขาเริ่มรู้ความมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ยังรู้จักถามไถ่สวีซื่ออวี้แล้ว
คนที่มีความสุขที่สุดคือไท่ฮูหยิน ไม่รอให้สวีซื่ออวี้ตอบ ไท่ฮูหยินก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ได้สิ ได้สิ พวกเจ้าไปกันให้หมดเลย ข้าจะบอกกับอาห้าของเจ้าให้เขาพาคนคุ้มกันในเรือนไปส่งพวกเจ้า”
รอยยิ้มจางๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของสวีซื่ออวี้ “ขอบคุณน้องสี่ ข้าไม่ได้ไปสวนทางทิศตะวันตกมาหลายปีแล้ว พอดีเลยคราวนี้จะได้ไปดูความครึกครื้นสักหน่อย”
สวีซื่อจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วยิ้มอย่างร่าเริง “พวกเราไปกันวันเดียว คงจะไม่รบกวนเวลาทำการบ้านของท่านหรอก”
“อาจารย์เจียงบอกว่า การบ้านไม่ได้ทำได้ในชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่ควรทำเกินหนึ่งวัน”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน สวีซื่อเจี้ยจ้องมองสวีซื่อจุนที่ดูมีความสุข จากนั้นก็มองสวีซื่ออวี้ที่ยิ้มแย้มจึงพลอยยิ้มตามเขาไปด้วย
ไท่ฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นมา “เดินทางกลับมาเป็นพันลี้คงจะเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ตอนเย็นค่อยมาทานอาหารกับย่า”
สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางกล่าวด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็คำนับแล้วถอยออกไป
สวีซื่อจุนดึงแขนเสื้อไท่ฮูหยินแล้วพูดออดอ้อนว่า “ท่านย่า พวกเราอยากจะทำโคมไฟขอรับ”
นับตั้งแต่ที่โคมไฟลอยน้ำครั้งนั้นได้ที่หนึ่ง สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็ตั้งตารอที่จะทำโคมไฟสำหรับเทศกาลนี้เป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินอดยิ้มไม่ได้ “ไปเถิด ไปเถิด”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตบไหล่สวีซื่อจุนเบาๆ
สวีซื่อจุนดีใจมาก จับมือสวีซื่อเจี้ยแล้ววิ่งออกไป
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วชี้ให้สืออีเหนียงไปนั่งที่เตียงเตาฝั่งตรงข้าม
“เมื่อถึงตรุษจีนปีหน้า อวี้เกอก็จะอายุสิบสี่ปีแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้า
ไท่ฮูหยินถามต่อว่า “สาวใช้ข้างกายเขาชื่อว่าเหวินจู๋ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เป็นคนที่ท่านเลือกเองในปีนั้น หลายปีมานี้อยู่ข้างกายอวี้เกออย่างระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ ไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดอย่างมีนัยยะว่า “ปีนี้อวี้เกอก็โตแล้ว มีบางเรื่องที่เจ้าต้องกังวลแล้ว”
กังวล? กังวลอะไร กังวลว่าสวีซื่ออวี้กับเหวินจู๋จะมีความสัมพันธ์กันลับๆ อย่างนั้นหรือ
บางครั้งเด็กๆ ก็ไม่ได้คิดไปในทางนั้น แต่เป็นผู้ใหญ่ต่างหากที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำเอาวุ่นวายไปหมด
สืออีเหนียงพยักหน้า “ข้าจะดูแลให้ดีเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้า พูดคุยกับนางสองสามประโยคก่อนจะไปที่ห้องพระ
สืออีเหนียงทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง
ถ้าเรียกเหวินจู๋มาอย่างไม่มีสาเหตุ หากไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงเกรงว่าจะทำให้เหวินจู๋น้อยใจ แต่หากมีเรื่องนี้จริงๆ ก็เกรงว่าคงจะถามไม่ได้ความอะไรมากนัก หากจะเรียกคนอื่นมาถามก็ไม่แน่ว่าจะรู้เรื่องนี้ แต่กลับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ถ้าหากไม่อาศัยโอกาสตอนที่ยังอยู่ที่เรือนทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน หากกลับไปเล่ออานที่อยู่ไกลจากที่นี่แล้วมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นพวกเขาก็คงไม่สามารถควบคุมอะไรได้
ตอนเย็นนางจึงปรึกษากับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ
สืออีเหนียงพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “มันน่าตลกตรงไหนกันเจ้าคะ ความกังวลของท่านแม่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผล”
“เจ้าช่างใสซื่อเหลือเกิน” สวีลิ่งอี๋หยิกจมูกนางเบาๆ “ท่านแม่หมายความว่าให้เจ้าช่วยหาคนใช้ส่วนตัวให้อวี้เกอต่างหาก”
“คนปรนนิบัติรับใช้ส่วนตัว!” สืออีเหนียงพึ่งจะเข้าใจ
ปรากฏว่าสิ่งที่ไท่ฮูหยินพูดต่างจากสิ่งที่นางกังวลอย่างสิ้นเชิง
นางลุกขึ้นนั่ง “ปีนี้อวี้เกอพึ่งจะอายุสิบสามปี ไม่สิ ครบสิบสอง…”
สืออีเหนียงเหงื่อแตกพลั่ก พลันรู้สึกผิดเหมือนกับว่าทำให้ต้นกล้าเกิดความเสียหาย
ปกติเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่เหตุใดพอเจอเรื่องเช่นนี้กลับโง่เขลานัก…เขานึกขึ้นได้ว่าตอนที่สืออีเหนียงพึ่งแต่งงานกับเขา อายุน้อยแค่นั้นแต่ก็รู้จักวิธีรับมืออย่างสงบด้วยท่าทางเอื้อเฟื้อแล้ว แต่เมื่อเป็นเรื่องส่วนตัวกลับสับสนไปหมด…
เมื่อสวีลิ่งอี๋คิดได้ดังนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนรุ่มขึ้นมา
เขาเอื้อมมือไปดึงนางมาไว้ในอ้อมแขน
“ไม่ได้ให้เจ้าจัดหาคนไปไว้ห้องเขาตอนนี้เสียหน่อย” สวีลิ่งอี๋ขบที่ใบหูของนางเบาๆ พูดอย่างคลุมเครือว่า “ตอนนี้แค่ช่วยดูเขาไว้ พอผ่านตรุษจีนปีหน้าไปแล้วค่อยว่ากัน…” มือลูบไล้ไปบนสัดส่วนโค้งเหมือนภูเขาของนาง “เขาก็โตแล้ว อาจจะอยากรู้อยากเห็น…” ร่างกายพลันตื่นตัวอย่างรวดเร็ว “หากจะถูกใครที่ไหนก็ไม่รู้มายั่วยวน ไม่สู้ช่วยเขาเตรียม…” เสื้อถูกเลิกออกเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวมนที่ไร้ที่ติ “แต่ก็เท่านั้นแหละ พอเขารู้แล้ว ต่อไปก็จะรู้จักควบคุมตัวเอง…” ขณะที่กำลังพูดเขาก็ได้สอดใส่เข้าไปอย่างนุ่มนวลและมั่นคง
สืออีเหนียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะตั้งตัวได้
“หรือว่าจะรออีกสักสองสามวันแล้วค่อยว่ากัน” น้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยหอบเล็กน้อย “อวี้เกอเองก็อายุยังน้อย”
สวีลิ่งอี๋ตอบว่า “อืม” เบาๆ ลิ้มรสชาติที่ทำลายจิตวิญญาณอันละเอียดอ่อนและหนักแน่นของร่างกาย ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงนั้นบอบบาง จึงจูบที่ไรผมนางเบาๆ แต่ร่างกายกลับไม่เต็มใจที่จะชะลอความเร็ว และยิ่งขยับตามใจตัวเอง