ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 398 ไว้ทุกข์ (กลาง)
เช้าวันต่อมา สืออีเหนียงเดินทางไปที่วัดฉือหยวน
ไต้ซือจี้หนิงมารอต้อนรับที่หน้าประตูด้วยตัวเอง กราบไหว้พระโพธิสัตว์เสร็จแล้วก็ไปดื่มชาที่ห้องปีก อู่เหนียงก็มาพอดี
ตั้งแต่นางตั้งครรภ์ซินเกอก็อวบอิ่มขึ้นไม่น้อย แล้วไม่กลับไปผอมเพรียวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว วันนี้นางสวมเสื้อสีฟ้า ม้วนผมเป็นมวย ประดับปิ่นปักผมดอกไม้สดใส ดูแล้วสวยงามราวกับหยกใส
“กว่าจะเกลี้ยกล่อมซินเกอได้” นางยิ้ม “ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงยังมาไม่ถึง”
คนที่มีบุตรแล้ว มักจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามถึงอาการไอของซินเกอ
“ยาแก้ไอของเจ้าดีมากเลย” อู่เหนียงยิ้มอย่างพอใจ “ตอนนี้เขาไม่ไอแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” สืออีเหนียงพูดคุยกับนางสองสามประโยค หลังจากนั้นก็พากันไปที่ห้องโถงใหญ่
เมื่อถึงยามเที่ยง ไต้ซือจี้หนิงก็ให้พวกนางพักผ่อนที่ห้องปีก
สืออีเหนียงถามถึงเฉียนหมิง “ได้ยินมาว่าพี่เขยห้าไปหานายพลฟั่นที่เซวียนถงหรือ”
อู่เหนียงได้ยินแล้วก็ท่าทางลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันที “ครั้งก่อนได้รับความช่วยเหลือจากนายพลฟั่น ทำให้พี่เขยของเจ้าหาเงินได้ไม่น้อย ครั้งนี้พี่เขยของเจ้าสอบไม่ผ่าน เดิมทีคิดจะปิดประตูอ่านหนังสือที่จวน แต่ว่าเราพึ่งจะซื้อเรือนได้ไม่นาน พี่เขยของเจ้าเองก็ไม่มีเงิน ลูกก็ยังเล็กนัก เขาจึงต้องไปหาเงินมาจากทุกที่ถึงได้ตัดสินใจเดินทางไปยังเซวียนถง หากทำกิจการครั้งนี้สำเร็จ คงยังพอมีเงินเหลืออยู่ในมือบ้าง เขาจะได้อ่านหนังสืออย่างสบายใจสักที” ทันทีที่พูดจบ นางก็รีบแก้ตัว “เราไม่ได้ใช้ชื่อเสียงของท่านโหวทำกิจการ พี่เขยของเจ้ารู้จักกับนายพลฟั่น แล้วยังเคยดื่มสุราด้วยกัน”
สืออีเหนียงพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
เพราะว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ใช่หรือ นายพลฟั่นถึงได้รู้จักเฉียนหมิง ถึงได้ดื่มสุรากับเฉียนหมิง
เรื่องนี้คงต้องเล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟัง ให้สวีลิ่งอี๋เกลี้ยกล่อมเฉียนหมิงให้ได้!
สืออีเหนียงไม่พูดอะไรกับอู่เหนียงอีก กลับมาที่เรือนตอนเย็นก็เล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
“ไม่เป็นอะไร!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “นายพลฟั่นเดิมทีเป็นองครักษ์ประจำตัวของฮ่องเต้ เป็นคนสุขุมและหนักแน่น เขาทำอะไรมีเหตุผลเสมอ ในเมื่อเขาคิดว่ากิจการนี้สามารถทำได้ ก็แสดงว่าทำได้จริงๆ”
เรื่องจำพวกนี้สืออีเหนียงคิดว่าสตรีที่เอาแต่อยู่ในจวนอย่างนางคงจะไม่รู้เรื่อง แต่ในเมื่อสวีลิ่งอี๋รู้แล้ว นางก็เชื่อว่าเขานั้นสามารถควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในขอบเขตที่ควรจะเป็นได้ วันนี้นางฟังไต้ซือจี้หนิงท่องพระคัมภีร์มาทั้งวันจนเหนื่อย จึงเล่าเหตุการณ์อื่นๆ ในวัดฉือหยวนให้สวีลิ่งอี๋ฟังอย่างกระชับ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องชำระ
สวีลิ่งอี๋มองแผ่นหลังภรรยาของตัวเองหายเข้าไปในห้องชำระ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางหายไป
เขารู้ว่าเฉียนหมิงเป็นคนหุนหันพลันแล่น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยังเป็นคนเหลาะแหละอีกด้วย
เรื่องบางเรื่องสืออีเหนียงไม่รู้ชัดเจนแต่เขานั้นรู้ดี ครั้งนั้นถึงแม้ว่าเฉียนหมิงจะได้เงินไม่ถึงหนึ่งแสนตำลึงเงิน แต่อย่างน้อยก็ได้เจ็ดแปดหมื่นตำลึงเงิน แต่ในเวลาสั้นๆ แค่ปีเดียว เขากลับ…
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด วันต่อมาเขาก็จับพู่กันเขียนจดหมายถึงฟั่นเหวยกังหนึ่งฉบับ บอกฟั่นเหวยกังอ้อมๆ ว่า เรื่องบางเรื่องก็ควรระวังไม่สามารถทำแบบเดิมได้ หากเฉียนหมิงขาดแคลนเงิน ตัวเองสามารถช่วยเขาได้ แต่จะให้เขามัวแต่คิดคาดหวังกับการค้าขายที่ไม่ต้องมีเงินลงทุนไม่ได้ มันจะทำให้สิ้นเปลืองเวลา
ฟั่นเหวยกังตอบกลับจดหมายของสวีลิ่งอี๋อย่างรวดเร็ว บอกว่าจะทำตามที่สวีลิ่งอี๋แนะนำ
สวีลิ่งอี๋ยังคงไม่วางใจ เขานับวันแล้วส่งคนไปเชิญเฉียนหมิงที่ตรอกซื่อเซี่ยง มาทานข้าวที่จวน
เฉียนหมิงพึ่งกลับมาจากเซวียนถง ท่าทางเหี่ยวเฉาราวกับมะเขือม่วงก็ไม่ปาน แต่กลับฝืนยิ้มต่อหน้าสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ก็ไม่พูดอะไรที่ทำให้เขานั้นขายหน้า เพียงบอกแค่ว่าจะช่วยเฉียนหมิงลงทุนปีละห้าร้อยตำลึงเงินทุกปี ให้เขาตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ที่จวน ตั้งใจสอบครั้งต่อไปให้ผ่านก็พอ
เฉียนหมิงคิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะใจกว้างขนาดนี้ พูดขอบคุณสวีลิ่งอี๋ซ้ำๆ จากนั้นก็ดื่มสุราด้วยกันอย่างมีความสุข ผ่านไปสักพักเขาก็ถอนหายใจ เปิดปากพูดความในใจกับสวีลิ่งอี๋ เริ่มนับสวีลิ่งอี๋เป็นสหายที่รู้ใจของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋พลันเข้าใจอะไรบางอย่าง
เฉียนหมิงชอบคบค้าสมาคม ค่าใช้จ่ายจึงมากมาย หลังจากแต่งงานกับอู่เหนียง คนที่ไปมาหาสู่กับเขาก็มีแต่คนร่ำรวยต่างจากเมื่อก่อน แล้วเขายังเป็นคนรักในศักดิ์ศรี ไม่ยอมเสียหน้า ค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ รายจ่ายของเขาจึงมีมากกว่ารายได้ เงินที่นายหญิงใหญ่ให้เขา ก็ถูกใช้หมดไปกับการรักษาหน้าตาศักดิ์ศรีของตัวเอง บางครั้งเงินในมือไม่พอก็ต้องใช้ของอู่เหนียง ตอนแรกอู่เหนียงยังสนับสนุน ต่อมาทำกิจการกี่ครั้งก็ไม่สำเร็จ แล้วยังเสียเงินไปไม่น้อย มีแต่รายจ่ายไม่มีรายได้ สีหน้าของอู่เหนียงจึงแย่ลงเรื่อยๆ หากเขาไม่พูดอธิบายเหตุผลของการหยิบยืมเงิน ก็อย่าหวังว่าจะได้เงินจากอู่เหนียงแม้แต่สลึงเดียว บุตรที่คลอดก่อนกำหนดนั้นก็ต้องใช้เงินมากเหมือนกัน เขาไม่มีทางเลือกถึงได้กัดฟันเดินทางไปที่เซวียนถง
ใครจะรู้ว่าฟั่นเหวยกังไว้หน้าเขาเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่เลี้ยงสุราเลี้ยงข้าว พาเขาไปเที่ยว แล้วยังมอบหนังสืออนุญาตจำหน่ายเกลือให้เขา ทำให้เขาได้เงินก้อนโตเช่นนี้
เขารู้ว่าเพราะชื่อเสียงของสวีลิ่งอี๋ จึงย้ำเตือนตัวเองในใจ ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะไม่ทำกิจการเช่นนั้นอีก
ใครจะรู้ว่าพอได้ตั๋วเงินมา อู่เหนียงก็เอะอะโวยวายจะซื้อเรือนขึ้นมา ไม่เพียงแต่พูดว่าพี่น้องของตัวเองเป็นเช่นไร แล้วยังจะคิดบัญชีกับเขา บอกว่าเขาใช้เงินนางไปตั้งเท่าไร
เฉียนหมิงทนนางรบเร้าไม่ไหว ตัวเองก็คิดว่าการเช่าเรือนอยู่เช่นนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มีเงินแล้ว ซื้ออสังหาริมทรัพย์บางอย่างไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เขาเลยใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อเรือนที่ตรอกซื่อเซี่ยง อู่เหนียงตกแต่งเรือนตามความชอบของตัวเอง เฉียนหมิงเองก็ใช้เงินมือเติบกับเหล่าสหาย เงินจึงหายไปราวกับนาฬิกาทราย อีกทั้งยังสอบไม่ผ่าน ประจวบกับคนสกุลเหวินก็มาหาถึงบ้าน…
สวีลิ่งอี๋ฟังแล้วก็นึกถึงหยวนเหนียงที่ทำกิจการกับสกุลเหวิน แล้วก็นึกถึงสืออีเหนียงที่นำสินเดิมของหยวนเหนียงไปให้หลัวเจิ้นซิ่งเป็นคนดูแล…เขายกสุราขึ้นดื่มอีกสองสามจอก จากนั้นก็กลับไปกวนสืออีเหนียงทั้งคืนอย่างสำราญใจ
สืออีเหนียงทั้งโมโหทั้งเขินอาย เช้าวันต่อมา เห็นสวีลิ่งอี๋ทำหน้ากลั้นยิ้ม นางก็อยากจะเอาหน้ามุดดิน รีบไปจัดเตรียมของขวัญส่งไปที่หนานจิง ไล่บรรดาท่านป้าที่ยืนรอรายงานอยู่ที่ห้องโถงให้แยกย้ายกันไปทำงาน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปที่จวนของกานไท่ฮูหยิน
กานไท่ฮูหยินคิดว่านางมาถามข่าวคราวอะไร จึงลากสืออีเหนียงเข้าไปคุยข้างใน
“…เรื่องที่จะทำกิจการกับสกุลกง ข้าบอกพี่ใหญ่ของข้า ให้พี่ใหญ่ไปพูดกับท่านปั๋วแล้ว” นางขมวดคิ้ว “แต่ข้าเห็นท่าทีของท่านปั๋ว เขาดูเหมือนไม่ได้สนใจฟังมากนัก เกรงว่าคงจะทำให้ความหวังดีของเจ้าสูญเปล่าเสียแล้ว”
แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่มีทางเล่าเรื่องส่วนตัวของคู่ตัวเองให้คนอื่นฟัง แค่คิดก็ไม่ถูกต้องแล้ว นางจึงช่วยกานไท่ฮูหยินออกความคิดเห็น “หรือว่า ลองเล่าให้กานฮูหยินฟัง ให้นางช่วยเกลี้ยกล่อมดีหรือไม่เจ้าคะ คงจะดีกว่าคำพูดของคนอื่น”
“ไม่มีประโยชน์” กานไท่ฮูหยินยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านปั๋วกำลังหลงใหลอนุภรรยาที่พึ่งจะแต่งเข้ามาเมื่อสองวันก่อน ไม่มีใครกล้าไปรบกวนเขา กานฮูหยินเองก็อาจจะไม่ได้เจอเขา”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “แต่ช่วงนี้เป็นช่วงไว้ทุกข์ของแคว้น…”
“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” กานไท่ฮูหยินเอือมระอา “เขาเองก็เลียนแบบคนอื่นมา”
สืออีเหนียงนึกถึงความเจ้าชู้ของท่านปั๋วคนก่อน แล้วก็นึกถึงสกุลขุนนางสกุลอื่นที่ดื่มสุราสังสรรค์ ทำตัวสนุกสนานกันในช่วงไว้ทุกข์ของแว่นแคว้น นางจึงไม่พูดอะไรอีก
กานไท่ฮูหยินไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้สืออีเหนียงไม่สบายใจ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเล่าเรื่องนี้ให้พ่อบ้านใหญ่ที่จวนแล้ว เขาเป็นคนของท่านปั๋วคนก่อน เห็นท่านปั๋วมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังดูแลกิจการให้สกุลกานมาตั้งหลายปี ท่านปั๋วยังเคยได้รับความช่วยเหลือจากเขา คำพูดของเขา ไม่ว่าเช่นไรท่านปั๋วก็ต้องยอมฟัง แล้วอีกอย่าง ข้าก็ยังต้องได้ทานข้าวสามมื้อ นอนเตียงที่กว้างไม้น้อยกว่าสามฉื่อ ข้าไม่มีทางยอมเสียผลประโยชน์ของตัวเอง”
จะบังคับจงฉินปั๋วได้เช่นไร บางทีเขาอาจจะคิดว่ากำลังขัดขวางเส้นทางร่ำรวยของเขา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วไม่พูดเรื่องนี้อีก หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็นอนกลางวันที่เรือนของกานไท่ฮูหยิน ถามไถ่ถึงหลานถิง แล้วก็ไปนั่งเล่นที่เรือนของเฉาเอ๋อร์ จากนั้นถึงได้กลับไปเหอฮวาหลี่ยามพลบค่ำ
ใครจะรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ได้อยู่ที่เรือน
สืออีเหนียงตกใจอยู่ครู่หนึ่ง
หู่พั่วช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางลอบสังเกตสีหน้าของนางอย่างระมัดระวัง “ตอนที่ท่านสั่งงานกับบรรดาท่านป้าผู้ดูแลที่ห้องโถง ท่านโหวก็ออกไปแล้วเจ้าค่ะ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา!”
หมายความว่า สวีลิ่งอี๋ไม่ได้อยู่ที่จวนทั้งวัน
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาไปทำอะไร”
หู่พั่วส่ายหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงไปคารวะไท่ฮูหยิน กลับมาฟังสวีซื่อเจี้ยเป่าขลุ่ย ท่องหนังสือ กล่อมเขานอนแล้วก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง ถึงกระนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ยังไม่กลับมา
นางตบหมอนใบใหญ่ด้วยความโมโห จากนั้นก็เป่าตะเกียงแล้วหลับไป
กลางดึก สวีลิ่งอี๋ถึงได้กลับมาเสียที
“วันนี้หวังจิ่วเป่าเชิญพวกข้าไปทานข้าวที่หอชุนซี” เขาอธิบายเสียงเบา
ทานตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้?
สืออีเหนียงตอบเพียง “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ขยับตัวเหลือพื้นที่เตียงครึ่งหนึ่งให้เขา
“ท่านโหวรีบพักผ่อนเถิด!” นางพูดอย่างสะลึมสะลือด้วยท่าทีที่ง่วงงุน พลิกตัวเบาๆ หันหลังให้สวีลิ่งอี๋แล้วหลับไป
สวีลิ่งอี๋มองดูร่างที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม นึกถึงท่าทางหงุดหงิดของนางในตอนเช้า เขาก็อมยิ้มแล้วเป่าตะเกียง จากนั้นก็รวบตัวนางมากอดไว้ในอ้อมแขน…
“ท่านโหว!” เสียงที่ราวกับโมโหของสืออีเหนียงดังขึ้นมาในความมืดมิด
สวีลิ่งอี๋กระซิบที่ข้างหูของสืออีเหนียง “พรุ่งนี้วันเกิดข้า!”
นางชะงักไป จากนั้นตัวก็อ่อนลงราวกับกิ่งต้นหลิวที่กำลังพลิ้วไหวโอนอ่อนไปตามสายลม
ไม่นาน ก็มีเสียงร้องที่แผ่วเบาดังขึ้นในห้องที่เงียบสงัด!
*****
หลังจากผ่านวันเกิดของสวีลิ่งอี๋ ก็ถึงปลายเดือนเก้าราวกับชั่วพริบตาเดียว คนของห้องเย็บปักถักร้อยในจวนเริ่มเย็บเสื้อผ้าสำหรับปีใหม่ให้บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนแล้ว วันนี้คนนี้ไปวัดตัว พรุ่งนี้คนนั้นไปดูเนื้อผ้า ใบหน้าของทุกคนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศในจวนดีไม่น้อย หลังจากได้รับปฏิทินที่แจกจ่ายมาในเดือนสิบ คนของห้องเย็บปักถักร้อยก็ใกล้จะทำเสื้อผ้าเสร็จหมดแล้ว แต่ละครอบครัวเริ่มทยอยมารับเสื้อผ้าฤดูหนาว ปินจวี๋พาบุตรชายมาคารวะไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง
“…ขอบพระคุณที่ท่านจำได้เจ้าค่ะ พิธีสรงสาม พิธีครบเดือนก็ล้วนแต่ส่งของขวัญมาให้” ปินจวี๋ที่พึ่งจะคลอดลูกรูปร่างอวบอ้วน ยืนอยู่หน้าไท่ฮูหยินด้วยท่าทางนอบน้อม จากนั้นป้าตู้ก็อุ้มบุตรของปินจวี๋ไปให้ไท่ฮูหยินดู
เด็กน้อยหน้าตาอวบอิ่ม ทั้งอ้วนทั้งขาว ท่าทางเลี้ยงง่าย อุ้มอย่างไรก็ไม่ตื่น
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “เจ้าช่างมีวาสนาเสียจริง”
สืออีเหนียงจึงถือโอกาสนี้ขอให้ไท่ฮูหยินช่วยตั้งชื่อให้กับบุตรของปินจวี๋
ไท่ฮูหยินถือเป็นสตรีที่มีวาสนาดี มีคนเช่นนี้ตั้งชื่อให้ บุตรของปินจวี๋ก็จะได้มีวาสนาเช่นกัน
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย แล้วยังเป็นบุตรชายคนโต ถ้าอย่างนั้นก็เรียกเขาว่าฉังอานเถิด”
“เป็นชื่อที่ดีเจ้าค่ะ!” ป้าตู้ยิ้มแล้วส่งเด็กน้อยคืนให้ปินจวี๋
ทุกคนยิ้มแล้วเรียกเด็กน้อยว่าฉังอาน
ปินจวี๋รีบคุกเข่าก้มหัวให้ไท่ฮูหยิน พูดคุยอีกสองสามคำ จากนั้นก็ขอตัวลาไท่ฮูหยินออกไปกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงให้ปินจวี๋อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน
“เจ้ามีแผนเช่นไรต่อไป”
ปินจวี๋พูดด้วยความรู้สึกผิด “เกรงว่าคงจะไปที่ร้านมงคลสมรสไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อมีลูกแล้ว แน่นอนว่าลูกต้องสำคัญที่สุด
สืออีเหนียงถามนางเบาๆ “เงินของว่านต้าเสี่ยนยังพอใช้หรือไม่!”
“พอใช้เจ้าค่ะ” ปินจวี๋ยิ้ม “ตอนนี้แม้แต่รถลากเขาก็ไม่นั่ง บอกว่าใช้เงินตั้งยี่สิบทองแดง”
สามีภรรยาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถึงแม้ชีวิตจะลำบากแต่ก็เต็มไปด้วยความสุข
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวฉังอานเบาๆ จากนั้นก็บอกให้คนนำรถม้าไปส่งปินจวี๋และเด็กน้อยกลับไป