ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 396 จุดธูป (ปลาย)
สืออีเหนียงลอบถอนหายใจในใจ จากนั้นก็เอ่ยเตือนสวีลิ่งอี๋เบาๆ “ตรงนั้นมีบ่าวรับใช้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋มีสีหน้าอาลัยอาวรณ์ แล้วหันไปพูดกับบ่าวรับใช้คนนั้น “มีเรื่องอันใด”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและน่าเกรงขาม
สืออีเหนียงเชื่อว่า สีหน้าของเขาคงจะกลับไปเรียบนิ่งเหมือนเดิมแน่นอน
“ท่านโหวขอรับ!” บ่าวรับใช้คนนั้นวิ่งหอบเข้ามา “มีข่าวจากพระราชวัง บอกว่าไทเฮาทรงสิ้นพระชนม์เมื่อครู่นี้ขอรับ”
สืออีเหนียงตกใจ จับแขนเสื้อของสวีลิ่งอี๋ไว้แน่น
สวีลิ่งอี๋ยื่นมือมาจับมือนาง
มือใหญ่อบอุ่นและทรงพลัง
“หลินปัวเล่า” เขาถามเบาๆ อย่างนิ่งสงบ พลอยทำให้สืออีเหนียงค่อยๆ สงบลง พลันก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
ยื้อมาตั้งนาน แต่สุดท้ายก็ต้องจากไป แผนการที่คิดไว้ตั้งมากมาย สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์…
“ใต้เท้าสองสามท่านที่มาคารวะท่านโหวยังไม่กลับ” บ่าวรับใช้พูดด้วยความเคารพ “คนในพระราชวังบอกว่า กลัวว่ากลับไปช้าแล้วสถานการณ์ในพระราชวังจะไม่ดี หลินปัวจึงออกไปกับขุนนางในพระราชวังทางประตูข้างวัดแล้วขอรับ”
สืออีเหนียงได้ยินคำพูดที่มีเหตุผลของบ่าวรับใช้คนนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสีหน้าที่วิตกกังวลเมื่อครู่ของเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะสำรวจมองเขา
สวีลิ่งอี๋หันหน้ามาพูดกับนางเบาๆ “เจ้ากลับไปก่อนเถิด! พระราชวังคงไม่ได้ประกาศข่าวสิ้นพระชนม์เร็วขนาดนั้น เรากลับเมืองหลวงตามเวลาเดิมก็ได้ เรื่องนี้อย่างพึ่งบอกใคร ประเดี๋ยวทุกคนจะไม่สบายใจ”
สืออีเหนียงเองก็เห็นด้วย
อย่างไรก็คงไม่สายเกินไป
นางพยักหน้า จากนั้นก็กลับไปที่เรือนปีกกับป้าซ่งและหู่พั่ว
ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ฮูหยินห้าและเด็กๆ ก็กำลังสนุกสนานกัน ทุกอย่างไม่แตกต่างไปจากตอนที่นางออกไป เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา ทุกคนก็ยิ้มแล้วเอ่ยทักทายนาง เห็นได้ชัดว่าการออกไปของนางไม่ได้ทำให้ใครสนใจมากนัก
สืออีเหนียงถอนหายใจ พูดคุยกับไท่ฮูหยินสองสามประโยค จากนั้นก็เก็บข้าวของออกจากวัดฮู่กั๋วตามเวลาที่กำหนดเอาไว้
สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควนและอาจารย์จ้าวขี่ม้า เมื่อเจอกับบรรยากาศที่สวยงาม พวกเขาก็จะหยุดม้าแล้วพูดแสดงความคิดเห็นของตัวเอง สวีลิ่งอี๋ไม่มีท่าทีแปลกอะไร
กลับมาถึงเหอฮวาหลี่ ข่าวสิ้นพระชนม์ของไทเฮาก็มาถึงพอดี
ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ไท่ฮูหยินที่ได้ยินเช่นนี้ก็ยังร้องไห้อยู่ดี “…ปีนี้พึ่งจะอายุแค่สี่สิบสี่ปี!”
“เกิดแก่เจ็บตายล้วนแต่ขึ้นอยู่กับสรวงสวรรค์” ฮูหยินสองปลอบใจไท่ฮูหยิน “นี่คือโชคชะตาของมนุษย์” จากนั้นก็พูดอีกว่า “จะว่าไปแล้วไทเฮาก็เป็นคนมีวาสนาเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไทเฮาเป็นคนถ่อมตน หน้าตาธรรมดา ศีลธรรมก็ไม่โดดเด่นอะไร แต่กลับถูกแต่งตั้งให้เป็นไทเฮาเพราะว่าไม่มีทายาท แล้วยังเจอกับบุตรชายที่กตัญญูอย่างฮ่องเต้ ยอมนางไปเสียทุกเรื่อง…คิดเช่นนี้แล้ว นางช่างเป็นคนมีวาสนาเสียจริง” พูดจบก็นึกถึงเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วที่เย่อหยิ่งขึ้นมา นางเหลือบไปมองสวีลิ่งอี๋
เห็นเขากำลังพูดกับสืออีเหนียงเบาๆ “…เปลี่ยนข้าวของที่มีสีสันทั้งหมดภายในคืนนี้ พรุ่งนี้ต้องจัดการให้เรียบร้อย”
สืออีเหนียงตอบรับเบาๆ จากนั้นก็ขอตัวลาไท่ฮูหยินกลับไปที่เรือนของตัวเอง ส่งคนไปเรียกบรรดาท่านป้าผู้ดูแลมา ทานข้าวเย็นง่ายๆ จากนั้นก็บอกให้หู่พั่วไปรายงานเรื่องนี้ให้หยางอี๋เหนียงรู้ เมื่อบรรดาท่านป้าผู้ดูแลมาครบแล้วก็เริ่มมอบหมายหน้าที่ทันที
หยางอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ฟุบหน้าลงบนหมอนอิงแล้วส่งเสียงร่ำไห้ทันที ทำเอาหู่พั่วตกใจ
ป้าหยางกลัวว่าหู่พั่วจะไม่สบายใจ จึงยัดเงินสองตำลึงให้หู่พั่วแล้วอธิบายว่า “อี๋เหนียงของเราเสียใจเกินไป โปรดแม่นางอย่าได้ถือสาเลย”
เป็นใครก็คงเป็นเช่นนี้
หู่พั่วไม่ได้พูดอะไร รับเงินมาแล้วเอ่ยปลอบใจนางสองสามประโยค จากนั้นก็ขอตัวลา
ป้าหยางออกมาส่งหู่พั่วออกไปจากห้องโถงลานทิศตะวันออกด้วยตัวเอง จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้อง
หยางอี๋เหนียงนั่งตัวตรง ไร้ซึ่งน้ำตาบนใบหน้าของนาง แม้แต่หยดเดียวก็ไม่มี
“ไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้วจริงหรือ” นางถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ป้าหยางตกใจแล้วพูดว่า “แม่นางหู่พั่วมารายงานตามคำสั่งของฮูหยิน น่าจะเป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ”
“เจ้ารีบออกไปดู!” หยางอี๋เหนียงพูด “หากไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้วจริงๆ พวกเขาต้องมารายงานสกุลขุนนาง ต้องเปลี่ยนโคมไฟเป็นสีขาว”
ป้าหยางไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันน่าสงสัยตรงไหน แต่นางก็ออกไปดูอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็กลับมารายงาน “คนในจวนเริ่มห้อยโคมสีขาวและผ้าไว้ทุกข์แล้วเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“อี๋เหนียงเจ้าคะ” ป้าหยางเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ พูดเตือนหยางอี๋เหนียง “ไทเฮาสิ้นพระชนม์ ต่อไปท่าน…”
“ข้ารู้” หยางอี๋เหนียงพูดขัดจังหวะป้าหยาง สายตาของนางเป็นประกาย ท่าทีมีชีวิตชีวา “หากนางไม่สิ้นพระชนม์ ข้าคงหาวิธีไม่ได้จริงๆ!” พูดจบก็บอกป้าหยางด้วยรอยยิ้ม “ไปดูสิว่าฮูหยินอยู่ที่ไหน แล้วก็นำพริกมาให้ข้าด้วย”
“อี๋เหนียงจะทำอะไรเจ้าคะ” ป้าหยางเอ่ยถามอย่างติดๆ ขัดๆ
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ นางก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
“ฮูหยินให้เหวินอี๋เหนียงเป็นคนดูแลข้า” นางพูดด้วยสายตาที่เป็นประกาย “ข้าขอร้องให้เหวินอี๋เหนียงนำลายปักที่ข้าวาดไปให้ฮูหยิน แต่เหวินอี๋เหนียงกลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ปฏิเสธข้าทุกวิถีทาง ข้าจะข้ามนางไปหาฮูหยินได้เช่นไร…ตอนนี้ไทเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่มีโอกาสไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว เจ้าอย่าถามอะไรไปมากกว่านี้ ทำตามที่ข้าบอกก็พอ” พูดจบนางก็เดินไปนั่งหน้าโต๊ะกระจก จัดทรงผมตัวเองนิดหน่อย “รีบไปรีบมา ข้ารอฟังข่าวจากเจ้า”
ในหัวของป้าของหยางเต็มไปด้วยความสับสน แต่นางกลับไม่กล้าล่าช้า ออกไปทำตามที่หยางอี๋เหนียงบอก ยื่นพริกให้หยางอี๋เหนียงพร้อมกับพูดว่า “ฮูหยินกำลังรอรายงานจากท่านป้าผู้ดูแลอยู่ที่ห้องปีกข้างห้องโถงเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงพยักหน้า บีบน้ำพริกใส่ตาตัวเอง ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตา นางร้องอย่างเจ็บปวดพร้อมกับยกน้ำขึ้นมาล้างตา เมื่อมองเห็นอะไรชัดเจนแล้ว ดวงตาของนางก็ทั้งแดงทั้งบวม
นางยืนขึ้น “เราไปหาฮูหยินกันเถิด!”
ป้าหยางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ประคองหยางอี๋เหนียงไปที่เรือนของสืออีเหนียง
เมื่อได้ยินว่าหยางอี๋เหนียงมาขอพบ สืออีเหนียงก็แปลกใจ เดาไม่ออกว่านางมีเรื่องอันใด แต่ก็ให้สาวใช้เชิญนางเข้ามา
หากอยากดูว่าสตรีคนใดสวยงามหรือไม่ ต้องดูตอนที่สวมชุดสีขาว หยางอี๋เหนียงที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีขาวพระจันทร์และกระโปรงสีขาวยืนตาแดงก่ำอยู่หน้าสืออีเหนียง สีหน้าของนางนั้นโศกเศร้าแต่ดูแน่วแน่ราวกับดอกเหมยสีขาวที่ไม่กลัวความหนาวเย็นก็ไม่ปาน ทำให้สืออีเหนียงสายตาเป็นประกาย
เมื่อเห็นสืออีเหนียง นางก็คุกเข่าลงต่อหน้าสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ ข้าขอร้องท่านเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ หากท่านรับปาก จะให้ข้าทำอะไรตอบแทนข้าก็ยอม” พูดจบก็ก้มหัวให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นก็พูดว่า “เจ้ามีอะไรก็ลุกขึ้นยืนแล้วค่อยพูดเถิด!”
ขณะที่นางพูด หู่พั่วก็เดินเข้ามาพยุงหยางอี๋เหนียงแล้ว
แต่หยางอี๋เหนียงไม่ยอมลุก พูดขี้นอย่างตรงไปตรงมา “ฮูหยิน ข้าอยากขอร้องท่านส่งคนไปดูครอบครัวของข้า ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่น้องของข้าหรือไม่!”
สืออีเหนียงตกใจ แต่กลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา เอ่ยปากถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเจ้าเช่นนั้นหรือ”
หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็กัดฟัน เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สกุลเราเดิมทีเป็นสกุลญาติ ต่อมาท่านป้าชื่นชมว่าข้าฉลาด จึงพาข้ามาเลี้ยงดูอยู่ที่สกุลเดิม ข้าไม่ได้เจอกับน้องชายของข้าตั้งห้าหกปีแล้ว ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ข้าขอร้องท่าน ส่งคนไปดูน้องชายของข้าทีเถิด” พูดจบ นางก็ก้มหัวอีกครั้ง “ฮูหยินเจ้าคะ ข้าขอร้องท่านเจ้าค่ะ!”
“ข้าจะบอกผู้ดูแลลานข้างนอกให้” สืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วพยุงนางขึ้นมา “ถึงตอนนั้นจะให้หู่พั่วไปรายงานเจ้า”
หยางอี๋เหนียงก้มหัวอีกสามครั้งแล้วลุกขึ้นยืน “ความเมตตาของฮูหยิน ชีวิตนี้ข้าไม่มีทางลืมแน่นอน” หน้าผากของนางแดงไปหมด
สืออีเหนียงมองหน้าผากของนางแต่ก็ไม่พูดอะไร
ใบหน้าของหยางอี๋เหนียงเต็มไปด้วยความละอายใจ “ฮูหยินได้โปรดยกโทษที่ข้ากลัวจนไม่รู้จะทำเช่นไรด้วยเถิด” จากนั้นก็ออกไปกับหู่พั่ว
สืออีเหนียงบอกให้ลี่ว์อวิ๋นนำป้ายคู่ออกไปหาพ่อบ้านไป๋ลานข้างนอก ขอให้เขาไปดูครอบครัวของหยางอี๋เหนียง ถึงตอนเย็นก็เล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะตกใจหลังจากทราบเรื่อง แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ แค่เร่งให้นางนอนเร็วๆ “…ต้องเข้าไปในพระราชวังติดต่อกันสามวัน อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยจนเกินไป”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็เป่าตะเกียงแล้วนอนหลับไป
เช้าวันต่อมาก็แต่งตัวเข้าไปพระราชวัง ฮูหยินเจี้ยนหนิงโหวและฮูหยินโซ่วชังปั๋วมาถึงแล้ว พวกนางร้องห่มร้องไห่ ทันทีที่เห็นไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
ไท่ฮูหยินไม่สนใจพวกนาง พาบรรดาลูกสะใภ้ไปจุดธูปแล้วร้องไห้ จากนั้นก็ไปพักผ่อนที่ตำหนักด้านข้างตามที่ขันทีบอก พูดคุยกับคนรู้จักอยู่ครู่หนึ่ง ทานข้าวเที่ยงเสร็จ ตอนบ่ายก็ไปร้องไห้แสดงความเสียใจอีกครั้ง จากนั้นก็กลับไปที่จวน
หยางอี๋เหนียงยืนรออยู่ใต้ชายคา
เมื่อเห็นสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋กลับมา นางก็เดินเข้ามาคารวะพวกเขา เปิดม่านรับใช้พวกเขาเข้าไปในห้อง แล้วตัวเองก็ยังยืนอยู่นอกม่านด้วยท่าทางนอบน้อม
“ครอบครัวของเจ้าอยู่ที่หูก่วง จะมีข่าวเร็วขนาดนี้ได้เช่นไร” สืออีเหนียงพูด “เจ้ากลับไปก่อนเถิด! ทันทีที่มีข่าวข้าจะส่งคนไปบอกเจ้าทันที ไม่ได้กลับไปหาพวกเขาตั้งหลายปี ไม่ต้องใจร้อน”
สายตาของหยางอี๋เหนียงมีความซาบซึ้ง นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ!”
จากนั้นก็พาป้าหยางออกไป
สืออีเหนียงเข้าไปจุดธูปในพระราชวังสองวันติด ไปร่วมร้องไห้กับฮูหยินระดับสี่ขึ้นไปในเมืองหลวงที่นอกพระตำหนักฉือหนิงตั้งสามวัน กรมพิธีกรรมกำหนดให้ฮ่องเต้และฮองเฮาไว้ทุกข์ยี่สิบเจ็ดวัน องค์ชาย องค์หญิงและจวิ้นจู่ ไว้ทุกข์เก้าเดือน ท่านอ๋องไว้ทุกข์ห้าเดือน สกุลขุนนางไว้ทุกข์สามเดือน ราษฎรไว้ทุกข์สามวัน
สวีซื่อจุนจึงพาสวีซื่อเจี้ยนำโคมไฟแตงโม โคมไฟงา โคมไฟเกล็ดปลาและโคมไฟฟางที่ทำเมื่อสองวันก่อนเก็บไว้ในห้องเก็บของ ความสำเร็จของการทำโคมไฟทำเอาสองพี่น้องมีความสุขเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงทำโคมไฟไว้เตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ตั้งแต่เนิ่นๆ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วจับไหล่เขา “นำออกมาใช้เมื่อเทศกาลตรุษจีนก็เหมือนกัน”
สวีซื่อจุนยิ้มแล้วมองไหล่ตัวเอง “ถึงตอนนั้นเราค่อยทำโคมไฟม้าเพิ่มอีกขอรับ”
“ได้เลย!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วตบไหล่เขาเบาๆ
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “คุณชายน้อยสองส่งจดหมายมาจากเล่ออานขอรับ”
จดหมายหนาเป็นกอง
สืออีเหนียงพาสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
มีจดหมายถึงไท่ฮูหยิน มีจดหมายถึงสืออีเหนียง มีจดหมายถึงฮูหยินสอง แล้วยังมีจดหมายถึงฮูหยินห้า เนื้อหาคล้ายๆ กัน บอกว่าเขาสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงเขา สุขสันต์เทศกาลไหว้พระจันทร์
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ ชมว่าตัวหนังสือของสวีซื่ออวี้สวยขึ้นเรื่อยๆ
สืออีเหนียงกลับมาที่เรือนก็บอกให้สวีซื่อจุนเขียนจดหมายตอบกลับสวีซื่ออวี้แทนตัวเอง
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็สนใจ เขียนอยู่ตั้งหลายวัน อีกทั้งยังไปขอคำแนะนำจากอาจารย์จ้าว หลังจากเขียนจดหมายเสร็จก็ให้คนส่งไปที่เล่ออาน