ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 394 จุดธูป(ต้น)
ได้ยินมาว่าวันที่สี่เดือนแปดไท่ฮูหยินจะไปวัดฮู่กั๋ว คุณชาย ฮูหยินและคุณหนูของแต่ละครอบครัวก็ต้องติดตามไปด้วย บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ต่างก็พากันตื่นเต้น
โอกาสเช่นนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ
ทุกคนแย่งกันติดตามไปรับใช้ เมื่อเลือกคนติดตามแล้ว คนที่ถูกเลือกก็ดีอกดีใจ คุ้ยหีบคุ้ยตู้หาเสื้อผ้า ปรึกษากันว่าจะม้วนผมเช่นไร สวมเครื่องประดับอะไร ส่วนคนที่ไม่ถูกเลือกก็ไม่มีชีวิตชีวา พูดประชดประชันอยู่ข้างๆ
เยี่ยนหรงเสนอตัวอยู่ที่จวนเอง
“คนที่อยู่ล้วนแต่เป็นสาวใช้ที่ไม่ค่อยรู้อะไรเจ้าค่ะ ต้องมีคนคอยดูพวกนาง!” พูดจบก็มองไปที่ลานเล็กทางทิศตะวันออก
สืออีเหนียงพอใจไม่น้อย
เยี่ยนหรงคนนี้ ไม่ธรรมดา
ทุกครั้งที่เจอกับเรื่องที่ทำให้คนอื่นไม่พอใจ นางไม่เพียงแต่ไม่หลบ แล้วยังลุกขึ้นสู้ หากพูดถึงสาวใช้สองสามคนในเรือนของตน ทุกคนล้วนแต่คิดว่าหู่พั่วเก่งที่สุด จู๋เซียงอ่อนโยน ลี่ว์อวิ๋นใจกว้าง หงซิ่วขี้ขลาด เยี่ยนหรงเย็นชา ตอนนี้สืออีเหนียงเหมือนจะเข้าใจความต้องการของเยี่ยนหรงแล้ว
เดิมทีนางเป็นคนของหยวนเหนียง ไม่มีภูมิหลัง แต่แค่ได้มาอยู่กับสืออีเหนียงโดยบังเอิญ ไม่มีความสัมพันธ์กับตัวเองเหมือนหู่พั่วและจู๋เซียง แล้วก็ไม่ได้โชคดีเหมือนลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่ว หากอยากโดดเด่น ก็ต้องเดินบนเส้นทางที่ไม่เหมือนใครเท่านั้น
เยี่ยนหรงฝึกฝนตัวเองให้เป็นมีด แล้วยังเป็นมีดที่ทำให้สืออีเหนียงจับแล้วรู้สึกสบายมือ
“เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่เรือนเถิด!” สืออีเหนียงมองนางด้วยสายตาที่นับถือ
ทำอะไรอย่างหนักแน่นในการทำงาน ใช่ว่าทุกคนจะทำเช่นนี้ได้
เยี่ยนหรงไม่ได้ตกใจหรือดีใจ นางย่อเข่าอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ออกไปยืนเงียบๆ ด้านข้าง
สืออีเหนียงไปที่เรือนของสวีซื่อเจี้ย
“อากาศยามเช้าและยามเย็นยังหนาว เตรียมเสื้อคลุมไปแล้วหรือยัง” นางมองดูข้าวของที่สะใภ้หนานหย่งเตรียมไว้สำหรับการออกเดินทางครั้งนี้
“นำไปด้วยแล้วเจ้าค่ะ” สะใภ้หนานหย่งถอยออกไปสองก้าว ก้มหน้าก้มตาแล้วพูดว่า “ถ้วยช้อนจานชามและยาสมุนไพร ล้วนแต่นำไปตามที่ป้าซ่งบอก”
สืออีเหนียงพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “พาบุตรสาวของเจ้าไปด้วยเถิด! ไม่ได้ออกไปเที่ยวบ่อยๆ”
สะใภ้หนานหย่งได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ ใบหน้าที่ใสซื่อของนางก็ปรากฏรอยยิ้มดีใจ จากนั้นนางก็เก็บอาการแล้วพูดอย่างลังเล “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ แต่ว่าบุตรสาวบ่าวยังเล็ก…”
“ไม่เป็นอะไร” สืออีเหนียงยิ้ม “มีซวงอวี้และซิ่วเอ๋อร์คอยช่วยดูแล!”
หลังจากซิ่วเอ๋อร์เรียนรู้กฎเกณฑ์แล้ว สืออีเหนียงก็ส่งนางไปอยู่ที่เรือนของสวีซื่อเจี้ย
สะใภ้หนานหย่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ต้านทานความน่าดึงดูดของการได้ออกไปเที่ยวข้างนอกไม่ได้ สุดท้ายนางจึงตอบตกลง
วันที่ออกเดินทาง ประตูใหญ่ของสกุลสวีเปิดออก ไท่ฮูหยินนั่งในรถม้าคันแรกกับป้าตู้ เก๋อจินและอวี้ป่านพาสาวใช้สองสามคนที่คอยรับใช้ไท่ฮูหยินในวันธรรมดานั่งในรถม้าคันเล็กตามไป รถม้าคันที่สองคือคันของสืออีเหนียง รถม้าของฮูหยินสองและรถม้าของฮูหยินห้า สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควนและอาจารย์จ้าวก็สวมเสื้อผ้าชุดลำลองขี่ม้าเดินทาง ล้อมรอบไปด้วยคนคุ้มกัน ถนนข้างหน้าเปิดโล่งให้พวกเขาเดินทางไปวัดฮู่กั๋วอย่างยิ่งใหญ่
สกุลสวีส่งพ่อบ้านไปจัดการที่วัดฮู่กั๋วก่อนหน้านี้แล้ว วัดฮู่กั๋วส่งพระสงฆ์ที่หน้าตาน่าเกรงขามมาเฝ้าประตูไม่ให้คนอื่นเข้ามา พระสงฆ์ผู้คอยดูแลสวมชุดสีเหลืองทอง ถือไม้ขักขระสีทองที่ส่งแสงแวววาวอยู่ในมือ ยืนอยู่หน้าซุ้มกับพ่อบ้านสกุลสวี ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่ารถม้าสกุลสวีจะมาถึงแล้ว พระสงฆ์ผู้ดูแลลูบเคราสีขาวของตัวเอง จากนั้นก็เดินออกไปต้อนรับกับพ่อบ้านสกุลสวี
ลงมาจากรถม้า คำนับกันเสร็จแล้ว ไหว้พระโพธิสัตว์ที่ตำหนักต้าสยงเป่า บริจาคเงินค่าน้ำมัน เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นทางทิศตะวันออก แสงอาทิตย์ก็เริ่มแยงตา
พระสงฆ์ผู้ดูแลต้อนรับไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ไปพักผ่อนที่เรือนปีกข้างหลังวัด มีเณรน้อยสองคนที่อายุราวเจ็ดแปดขวบคอยรับใช้อยู่ในเรือน ส่วนตัวเองไปดื่มชากับสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควนและอาจารย์จ้าว
เพราะว่าแก่แล้ว สีหน้าของไท่ฮูหยินจึงดูเหนื่อยล้า แต่เด็กๆ สองสามคนกลับมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ พูดคุยกันถึงเรื่องที่พวกเขาได้เห็นและได้ยินระหว่างทาง ตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์คอยดูแลน้องชาย อย่าให้พวกเขาวิ่งไปไกล แล้วก็ไปรับใช้ไท่ฮูหยินล้างหน้าล้างตาพักผ่อนกับป้าตู้ ยุ่งเป็นอย่างมาก
ฮูหยินห้าที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าเห็นเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ “พี่สะใภ้สี่ เช่นนั้นข้าช่วยพาเด็กๆ ไปนั่งเล่นที่ศาลาดีกว่า วัดฮู่กั๋วมีแค่บ่อน้ำปล่อยชีวิตเท่านั้นที่มีน้ำ”
สืออีเหนียงแปลกใจ ยิ้มให้ฮูหยินห้าอย่างเป็นมิตร “เช่นนั้นก็รบกวนน้องสะใภ้ห้าแล้ว!”
“ไม่เป็นอะไร!” ฮูหยินห้ามีสีหน้าผ่อนคลาย ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็กำลังจะพาซินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นอยู่พอดี”
สืออีเหนียงมองไปยังซินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของแม่นม นางยิ้มด้วยความเข้าใจ
ฮูหยินสองที่กำลังนั่งปอกส้มให้ไท่ฮูหยินบนเตียงหลัวฮั่นก็ยิ้มให้ไท่ฮูหยินอย่างแผ่วเบา ไท่ฮูหยินเองก็ยิ้มจนตากลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
หลังจากพักผ่อนไปครู่หนึ่งก็ทานข้าวบิณฑบาต หลังจากนั้นทุกคนก็พักผ่อนอีกครั้ง บรรดาสตรีสกุลสวีกำลังจะไปปล่อยปลาที่บ่อน้ำปล่อยชีวิต
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านโหวบอกให้คุณชายน้อยทั้งสองท่านออกไปพบปะแขกขอรับ”
“อ้อ!” ไท่ฮูหยินสงสัย “ใต้เท้าสกุลไหน”
“หลิวถงจือและสหายสองสามท่านจากค่ายใหญ่ซีซานขอรับ” บ่าวรับใช้ยิ้ม “ได้ยินว่าท่านโหวอยู่ที่นี่ จึงมาคารวะขอรับ”
สืออีเหนียงรีบเรียกสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยมาตรวจดูความเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าพวกเขาแต่งตัวเรียบร้อย มือและใบหน้าสะอาดสะอ้าน ถึงได้ให้คนพาพวกเขาไปหาสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็บอกสาวใช้ให้ไปรายงานท่านป้าที่ติดตามเรื่องปล่อยปลา
ฮูหยินสองและฮูหยินห้ารับใช้ไท่ฮูหยินล้างหน้าล้างตา
ทุกคนเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอประมานหนึ่งถ้วยชา สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็กลับมาพอดี
ในมือพวกเขาทั้งสองคนถือของขวัญมามากมาย
“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ” สวีซื่อเจี้ยกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง นำสร้อยทอง ป้ายหยกให้นางดู “ใต้เท้าหลิวชมว่าข้าฉลาดด้วย”
สวีซื่อจุนรีบดึงเขาออกมา “เวลาได้ดีอย่าเย่อหยิ่ง เวลาไม่ได้ดีอย่าตื่นตระหนก เหตุใดเจ้าถึงเย่อหยิ่งเช่นนี้ ไม่มีท่าทีของนักปราชญ์เลยแม้แต่น้อย หากอยากจะบอกท่านแม่ ก็ต้องบอกตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย”
ทำเอาทุกคนหัวเราะ
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดงแล้วก้มหน้าลง
ไท่ฮูหยินจึงเอ่ยถามสวีซื่อจุน “มีคนมาหาท่านพ่อของเจ้าเยอะมากเลยหรือ”
สวีซื่อจุนพยักหน้าแล้วพูดอย่างสับสน “พวกเขาล้วนแต่พูดคุยเสียงดัง แต่เมื่อท่านพ่อพูดกับพวกเขา พวกเขาก็พูดเสียงเบาลงทันที ราวกับว่ากลัวท่านพ่อ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ
ฮูหยินสองรีบเอ่ยปลอบใจไท่ฮูหยิน “สองปีมานี้ท่านโหวไม่ค่อยได้ออกไปไหน พวกเขาไม่ค่อยได้เจอกัน ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ ไม่ควรทำให้พวกเขาเสียหน้าเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้” ไท่ฮูหยินถอนหายใจ “ข้าแค่สงสารเขา ออกมาพักผ่อนก็ยังไม่สงบ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ท่านแม่เจ้าคะ สายมากแล้ว เราไปบ่อน้ำปล่อยชีวิตกันดีกว่า!” จากนั้นก็พูดกับเด็กๆ “มีปลาไนสีแดงสี่ตัว เตรียมไว้ให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ ถึงตอนนั้นอย่าลืมปล่อยพวกมันลงไปในบ่อน้ำปล่อยชีวิตด้วยตัวเองล่ะ!”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยได้ยินเช่นนี้ก็กระโดดโลนเต้น จับมือกันวิ่งออกไปข้างนอก
เจินเจี่ยเอ๋อร์ที่สืออีเหนียงบอกให้ตัวเองดูแลน้องชายสองคนนั้นก็ตกใจ จับกระโปรงขึ้นแล้วรีบวิ่งตามไป “จุนเกอ เจี้ยเกอ วิ่งช้าๆ หน่อย ระวังด้วย”
สาวใช้และท่านป้าที่รับใช้พวกเขาสามคนก็ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นบรรยากาศพลันเงียบสงบในทันที
ซินเจี่ยเอ๋อร์ที่ถูกแม่นมอุ้มอยู่ จู่ๆ ก็ร้องไห้งอแงขึ้นมา ตะโกนไปทางที่สวีซื่อจุนวิ่งออกไปว่า “พี่สี่ พี่สี่…”
แม่นมรีบเอ่ยปลอบนาง “เราไปหาคุณชายน้อยกับคุณหนูกันเจ้าค่ะ เราไปหาคุณชายน้อยกับคุณหนูกันเจ้าค่ะ…” พูดพร้อมกับรีบสาวเท้าเดินตามไป
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ “เด็กพวกนี้ซุกซนกว่าตอนที่บิดาของพวกเขายังเป็นเด็กเสียอีก!”
พูดเหมือนบ่น แต่ในน้ำเสียงกลับมีความสุขใจ ใบหน้ามีรอยยิ้มที่เอ็นดู
ฮูหยินสองยิ้มแล้วเดินเข้ามาประคองไท่ฮูหยิน พวกนางพากันล้อมรอบไท่ฮูหยินไปที่บ่อน้ำปล่อยชีวิต
เด็กๆ สองสามคนล้อมรอบอยู่ที่ถังปลาไนสีแดงตั้งนานแล้ว พวกเขากำลังกระซิบกระซาบกัน เมื่อเห็นผู้ใหญ่เดินเข้ามา ก็เอ่ยเรียก “ท่านแม่ ท่านย่า” คึกคักเป็นอย่างมาก พลอยทำให้คนที่เห็นรู้สึกสบายใจ
บ่าวรับใช้ถือถังขึ้นมาแล้วปล่อยปลาลงในบ่อน้ำปล่อยชีวิต
น้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว เหล่าปลาแหวกว่ายกันอย่างมีชีวิตชีวา ทำให้เด็กๆ ส่งเสียงเอะอะโวยวาย
ปล่อยปลาเสร็จแล้ว ทุกคนก็เดินกลับไปที่เรือนปีก
ไท่ฮูหยินเอนตัวพิงหมอนบนเตียงหลัวฮั่นพูดคุยกับทุกคน “…ตอนที่ออกมาคิดแค่ว่าอยากจะออกมาเที่ยว แต่ออกมาแล้วกลับคิดว่าไม่สู้อยู่ที่จวนสบายกว่าตั้งเยอะ ไม่รู้ว่าเพราะแก่แล้วร่างกายทนไม่ไหว หรือเพราะว่าคนแก่เห็นอะไรก็ไม่ตื่นเต้น”
ฮูหยินห้าและป้าตู้รับใช้เด็กๆ ดื่มชา ทานของว่าง
“เรื่องราวบนโลกใบนี้ ล้วนแต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดกับไท่ฮูหยิน “แต่หากไม่ออกไปดู ใจก็คงเอาแต่นึกถึง ดังนั้นบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเจ้าค่ะ!”
ในระหว่างนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาชงชา นางขยิบตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงท่าทางนิ่งสงบ จิบชาสองสามจิบแล้วลุกขึ้น “ข้าออกไปดูประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”
ตนเป็นนายหญิงของสกุล ครอบครัวออกมาเที่ยวข้างนอกเช่นนี้ แน่นอนว่านางต้องมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องจัดการ
พวกนางก็ตอบรับอย่างไม่สนใจอะไร
สืออีเหนียงเดินออกมาจากเรือนปีกก็เห็นบ่าวรับใช้ของสวีลิ่งอี๋ยืนอยู่ใต้ต้นไม้
เมื่อเห็นนาง บ่าวรับใช้คนนั้นก็รีบวิ่งเข้ามา
“ฮูหยินขอรับ” เขาพูดเบาๆ “ท่านโหวบอกให้ท่านไปที่แท่นศิลาจารึกขอรับ”
“ไปที่แท่นศิลาจารึก?” มีคนเคยพบแท่นศิลาจารึกของราชวงศ์สมัยก่อนในแปลงผักข้างวัดฮู่กั๋ว วัดฮู่กั๋วจึงสร้างแท่นศิลาจารึกไว้ในป่าไผ่ที่สวนข้างหลัง ต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของวัดฮู่กั๋ว สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ท่านโหวบอกอะไรอีกบ้าง”
“ไม่ได้พูดอะไรอีกขอรับ” บ่าวรับใช้ตอบอย่างนอบน้อม
สืออีเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง “แขกของท่านโหวกลับไปหมดแล้วหรือยัง”
“ผู้บัญชาการค่ายเมือหลวง หลิวถงจือยังอยู่ขอรับ”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจว่าทำไมสวีลิ่งอี๋ต้องให้ตัวเองไปที่แท่นศิลาจารึกด้วย
นางเรียกป้าซ่งและหู่พั่วให้ไปที่แท่นศิลาจารึกเป็นเพื่อน
ต้นไผ่ในฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่เขียวและสูงที่สุด มีลมพัดมาเบาๆ พวกมันราวกับเต้นระบำอย่างพลิ้วไหวทำให้เกิดเสียง ราวกับเดินอยู่ในป่าลึก พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ
เมื่อมาถึงแท่นศิลาจารึก สถาปัตยกรรมโบราณ แต่กลับไม่เจอใครสักคน
บ่าวรับใช้ที่นำทางก็แปลกใจ เขาพูดว่า “ฮูหยินขอรับ ท่านโหวบอกให้บ่าวไปรายงานฮูหยินจริงๆ ขอรับ…”
“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้ายืนเฝ้าอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”
บ่าวรับใช้คนนั้นจึงถอยออกไปอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าวันธรรมดาแท่นศิลาจารึกของวัดฮู่กั๋วมักจะแออัดไปด้วยผู้คน ตัวเองไม่เคยมีโอกาสได้เห็นมัน จึงเพ่งดูแท่นศิลาจารึกสมัยราชวงศ์ก่อนอย่างละเอียด