ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 393 เที่ยวเล่น(ปลาย)
“ท่านโหวเจ้าคะ!” สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นตอนที่นางตะโกนเรียกสวีลิ่งอี๋น้ำเสียงจึงเต็มไปด้วยความลังเล
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ก้าวเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหน้า ท่ามกลางแสงจันทร์ ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาดูอ่อนโยนมากกว่าปกติ ทำเอาสืออีเหนียงสงสัยว่าเมื่อครู่ตัวเองตาลายหรือเปล่าถึงได้เห็นว่าสีหน้าของเขาเยือกเย็น
“กลับได้แล้วใช่หรือไม่!” เขาพูดเบาๆ
ไม่แตกต่างอะไรจากท่าทีน่าเกรงขามที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนเหมือนปกติ
ในเมื่อสวีลิ่งอี๋ไม่อยากพูด เอาไว้ค่อยถามชีเหนียงก็ได้!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นพวกเขาก็กลับไปที่เรือน
เช้าวันต่อมาจูอานผิงก็มาหานาง
“นิสัยพี่หญิงเจ็ดของเจ้า เจ้ารู้ดีที่สุด” เขาพูดด้วยสีหน้าที่มีความรู้สึกผิด “เมื่อวานเที่ยวสนุกจนลืมเวลา ถึงแม้ว่านางจะไม่พูดอะไร แต่นางก็รู้สึกไม่สบายใจ มาเจอกับท่านโหว กลัวว่าท่านโหวจะตำหนิฮูหยินห้า นางจึงพูดจาเช่นนั้นต่อหน้าท่านโหว เจ้าอย่าได้เก็บไปคิดเลย!”
สืออีเหนียงตกใจ แต่นางก็เข้าใจในทันที
มองดูสีหน้าของสวีลิ่งอี๋เมื่อวาน ชีเหนียงคงจะพูดเรื่องบางอย่างที่ทำให้สวีลิ่งอี๋ไม่สบายใจต่อหน้าเขาแน่นอน จูอานผิงเป็นคนฉลาดและมีความสามารถ คงจะสัมผัสได้เหมือนกัน แต่หากเขาวิ่งไปอธิบายให้สวีลิ่งอี๋ฟัง อาจจะทำให้คนอื่นคิดว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนใจคับแคบ ดังนั้นเขาจึงมาอธิบายให้นางฟังแต่เช้าตรู่
“พี่หญิงเจ็ดพูดอะไรเจ้าคะ” นางเอ่ยถาม
จูอานผิงแปลกใจ
คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะถามเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
จูอานผิงพลันหน้าแดง จากนั้นก็พูดอย่างลังเล “พี่หญิงเจ็ดของเจ้ามักจะพูดว่า ฮูหยินห้าคือคนที่ถูกชะตากับนางมากที่สุด แล้วก็เห็นว่าใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว เราต้องเดินทางกลับเกาชิง นางไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเยี่ยนจิงอีกเมื่อไร จึงอยากเชิญฮูหยินห้าไปเที่ยววัดฮู่กั๋วและอารามเมฆขาว ถือโอกาสไปชิมขนมเข่งร้านน้ำชาเหนียนเกาหลี่ที่วัดฮู่กั๋ว ชิมเต้าหู้ผลซิ่งของอารามเมฆขาว บอกฮูหยินห้าตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว บอกว่าอีกสองวันจะไปเที่ยวสถานที่สองที่นั่น แต่เมื่อวานกลับมาดึก นางกลัวว่าหากฮูหยินห้าออกไปเที่ยวกับนางอีก อาจจะถูกท่านโหวเข้าใจผิดว่าฮูหยินห้าเป็นคนชอบเที่ยวเล่น ดังนั้นจึงรีบพูดเรื่องนี้ต่อหน้าทานโหว ตอนนั้นท่านโหวไม่ได้พูดอะไร แค่ถามว่าถึงตอนนั้นจะขอร้องให้เจ้าช่วยดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์อีกหรือไม่ พี่หญิงเจ็ดของเจ้ารู้สึกผิด นางบ่นเพียงสองสามประโยค ข้าก็รู้ เรื่องเล็กๆ พวกนี้ท่านโหวคงไม่สนใจ แต่ว่าข้าไม่สบายใจ หากไม่มาบอกเจ้า ข้าละอายใจจริงๆ”
ชีเหนียงใจร้อนเกินไป
ไม่รักษาสัญญาที่บอกว่าจะกลับมาตรงเวลาไม่พอ ยังบอกว่าจะออกไปเที่ยวอีก สวีลิ่งอี๋คงจะคิดว่าชีเหนียงทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป แต่เขาคงไม่ได้ตำหนินาง
“พี่เขยเจ็ดไม่ต้องคิดมาก” สืออีเหนียงพูดปลอบใจจูอานผิง “เหมือนกับที่ท่านพูด ท่านโหวเป็นคนใจกว้าง เรื่องเล็กน้อยพวกนี้เขาไม่คิดอะไรหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ชีเหนียงไม่ได้มาเยี่ยนจิงบ่อยๆ ข้าเองก็ไม่มีเวลาออกไปเที่ยวเล่นกับนาง ตอนนี้นางถูกชะตากับน้องสะใภ้ห้า พวกนางสองคนสามารถออกไปเที่ยวด้วยกัน เป็นเรื่องที่ดีเจ้าค่ะ สำหรับซินเจี่ยเอ๋อร์ ไม่ต้องบอกว่าฮูหยินห้ากำลังช่วยข้าต้อนรับพี่หญิงเจ็ด ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องขอร้องให้ข้าช่วย หลานสาวคนโต ร่าเริงแล้วยังน่ารักเช่นนี้ ข้าดีใจและเต็มใจยิ่งนัก บอกพี่หญิงว่าอย่าคิดมาก กำหนดวันที่จะออกไปเที่ยว แล้วมาบอกข้าก่อนก็พอแล้ว”
จูอานผิงเห็นสืออีเหนียงพูดจาจริงใจเช่นนี้ ก็คิดว่าภรรยาของตัวเองราวกับเด็กน้อยที่ไม่รู้ความ จึงยิ่งรู้สึกไม่สบายใจกว่าเดิม รีบเอ่ยปากขอโทษอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ขอตัวออกไป
สวีลิ่งอี๋ที่ร่างกายท่วมท้นไปด้วยเหงื่อเดินเข้ามา เห็นสาวใช้กำลังเก็บถ้วยชา ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ใครมาเช้าขนาดนี้”
สืออีเหนียงรู้ว่าเขาไปซ้อมต่อสู้ที่สวนหลังจวน บอกให้สาวใช้ตักน้ำอุ่นเข้ามารับใช้เขาอาบน้ำ จากนั้นก็เล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น “…ปีหนึ่งก็รบกวนเราแค่สองสามวัน บางทีปีหน้าเชิญนางมา นางอาจจะไม่กล้ามาแล้วก็ได้ ท่านโหวอย่าได้ถือโทษโกรธนางที่นางพูดจาไม่เป็นเลยเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ถอดเสื้อออก เผยให้เห็นแผ่นอกที่กว้างและกำยำ เขาเดินเข้าไปในห้องชำระพร้อมกับพูดว่า “ข้ารู้แล้ว”
แต่ชีเหนียงกลับไม่พูดถึงเรื่องที่จะไปวัดฮู่กั๋วและอารามเมฆขาวแล้ว นางเอาแต่พูดคุยกับฮูหยินห้าและเล่นกับซินเจี่ยเอ๋อร์ทุกวัน
สืออีเหนียงคิดว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว หากนางอยากไปเที่ยววัดฮู่กั๋วและอารามเมฆขาวตอนที่ตัวเองยุ่งมันคงจะวุ่นวาย ไม่สู้รีบไปตอนนี้จะดีกว่า
นางจึงไปพูดกับชีเหนียงด้วยตัวเอง
“ช่างเถิด!” ชีเหนียงพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าแค่ไม่ชอบที่เขาทำท่าทีเย็นชาราวกับข้าติดหนี้อะไรเขา ข้าก็แค่กลับมาช้า ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย แล้วอีกอย่าง ตอนนั้นเขา…” พูดถึงตรงนี้ นางก็พูดอย่างคลุมเครือ “ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรแล้ว แต่ข้าไปก่อเรื่องร้ายแรงอันใดหรือ เขาถึงได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้” จากนั้นก็นั่งตัวตรงพูดกับสืออีเหนียง “ต่อไปเจ้าทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง ท่านโหวเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น”
สืออีเหนียงคิดว่าสวีลิ่งอี๋และชีเหนียงคงชะตาไม่ต้องกัน เรื่องทั่วไปมักจะมีจุดพลิกผันตลอด
นางยิ้มแล้วพูดว่า “หากพี่หญิงอยากไป ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่ยุ่ง ตอนที่ข้ายังสามารถช่วยพวกท่านดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ ไม่เช่นนั้น ท่านก็จะออกไปไหนไม่ได้แล้ว!”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ลังเล “ข้าขอคิดดูก่อน!”
จากนั้นก็ไปพูดกับฮูหยินห้าอยู่นาน ตัดสินใจไปที่วัดฮู่กั๋วพรุ่งนี้ แล้ววันมะรืนค่อยไปอารามเมฆขาว
เพราะว่าเป็นกลางวัน สืออีเหนียงจึงพาซินเจี่ยเอ๋อร์มาที่เรือนของตัวเอง
ช่วยนางอาบน้ำทุกเช้า เที่ยงและเย็น ตอนนอนกลางวันก็ใช้พัดขนนกคอยพัดให้นาง ต้มน้ำแกงไข่ใส่เนื้อไม่ติดมันป้อนให้นาง…แล้วยังให้สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยที่เลิกเรียนแล้วมาเล่นกับนางอีกด้วย ดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์อย่างดีเช่นนี้เป็นเวลาสองวัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซินเจี่ยเอ๋อร์เจอสืออีเหนียงทีไรก็จะให้นางอุ้มตลอด
แต่ทุกครั้งที่สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้สายตาของเขาก็จะมืดมนลง
สืออีเหนียงนั้นเป็นมารดาที่ดี แต่นางกลับมักจะอุ้มลูกของคนอื่นตลอด
และชีเหนียงที่สมปรารถนาแล้วกำลังเก็บสัมภาระของตัวเอง เตรียมกลับเกาชิงตอนปลายเดือนเจ็ด
สืออีเหนียงเริ่มจัดการเรื่องเทศกาลไหว้พระจันทร์
สวีลิ่งอี๋ถามนางว่า “อยากให้ผู้ดูแลลานข้างนอกมาช่วยหรือไม่”
“ล้วนแต่เคยจัดการมาแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ลานข้างในมีหน้าที่รับผิดชอบร่างรายการ ส่วนผู้ดูแลข้างนอกเป็นคนจัดซื้อ ไม่ได้ลำบากอะไร”
นางต้องใช้เวลาหนึ่งวันในการกำหนดรายการของที่จะจัดซื้อกับท่านป้าผู้ดูแลส่วนต่างๆ และใช้เวลาสองวันในการแจกจ่ายข้าวของที่ซื้อมา
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” จากนั้นก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีก
สองสามวันต่อมาเขาก็ถามนางว่า “เรื่องของเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
สืออีเหนียงงุนงง
สวีลิ่งอี๋ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากเกินไปแล้ว
“ท่านโหวมีอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร!” สวีลิ่งอี๋พูด “ข้าเห็นว่าช่วงนี้อากาศไม่เลว หากเจ้าไม่ยุ่ง อยากไปจุดธูปที่วัดฮู่กั๋วด้วยกัน ใกล้จะถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดแล้ว ไปไหว้พระบ้างก็ดีเหมือนกัน!”
สืออีเหนียงตกใจอย่างซ่อนเอาไว้ไม่อยู่
เหตุใดจู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็อยากไปจุดธูปที่วัดฮู่กั๋ว ดูเหมือนว่าปีก่อนๆ นั้นไม่ได้เป็นแบบนี้ หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
นางครุ่นคิดสักพัก ก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างลังเล “ข้ากับท่านโหว สองคนหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่” มือของสวีลิ่งอี๋ที่กำลังถือฝาถ้วยชาพลันหยุดชะงัก พูดเบาๆ “ไม่รู้ว่าเรื่องของเจ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว ข้าจึงยังไม่ได้ถามท่านแม่”
ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทั้งครอบครัวไปไหว้พระที่วัดฮู่กั๋วด้วยกันก่อนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์?
สืออีเหนียงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี
เมื่อถึงตอนนั้น เด็กๆ ก็จะได้สนุกสนานกันอีกด้วย
“ข้าไม่มีอะไรต้องจัดการแล้ว” นางยิ้มสดใสราวกับท้องฟ้าในเดือนห้า “ไปเมื่อไรก็ได้!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ ถือโอกาสหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ไปดื่มชาที่ห้องปีกทางทิศตะวันตกเรือนไท่ฮูหยินพูดถึงเรื่องนี้ “… ไม่ได้ไปวัดฮู่กั๋วหลายปีแล้ว อากาศดีแบบนี้ จึงอยากถามว่าท่านจะไปหรือไม่ขอรับ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจ “ดีเลย! ข้าก็ไม่ได้ไปวัดฮู่กั๋วหลายปีแล้วเหมือนกัน” จากนั้นก็บอกให้ป้าตู้ไปนำปฏิทินออกมา “ในเมื่อไปไหว้พระ ก็ต้องเลือกวันที่ฤกษ์งามยามดี “
สวีลิ่งควนรีบหยิบปฏิทินมาจากมือของป้าตู้แล้วเดินมานั่งข้างๆ ไท่ฮูหยิน เปิดดูปฏิทินกับไท่ฮูหยิน “…ถึงตอนนั้นต้องปิดถนนหรือไม่ขอรับ หรือว่าเราจะไปอย่างเงียบๆ ครั้งก่อนที่ข้าออกไปกับพี่เขยเจ็ดเราก็ไปกันอย่าเงียบๆ สนุกมากขอรับ อีกทั้งยังเห็นการแสดงลิงด้วย…วันที่สี่เดือนแปดดีหรือไม่ เหมาะที่จะออกเดินทางไกล…ไม่เช่นนั้น ก็คงต้องรอถึงวันที่สิบสองเดือนแปดแล้ว ตอนนั้นใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เกรงว่าที่วัดฮู่กั๋วคงจะเต็มไปด้วยผู้คน…ข้าคิดว่าวันที่สี่เดือนแปดดีกว่า…”
ฮูหยินห้าได้ยินดังนั้นก็เข้าไปใกล้ด้วยความดีใจ “…วันที่สี่เราจะจัดการทันหรือ บรรดาสาวใช้และท่านป้าตั้งมากมาย แล้วยังต้องเตรียมถ้วยช้อนจานชาม ป้ารับใช้ที่ดูแลอาหารการกินอีก!”
สวีลิ่งอี๋ที่เป็นคนเสนอนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
“เราเคยไปจุดธูปที่วัดฮู่กั๋วเมื่อเทศกาลตรุษจีนของปีหย่งเหอไม่ใช่หรือ” สวีลิ่งควนไม่เห็นด้วย “ตอนนั้นพ่อบ้านไป๋เป็นคนช่วยจัดการ ใช้เวลาแค่สองวัน” พูดจบ เขาก็เงยหน้าถามความคิดเห็นของสวีลิ่งอี๋ที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา “พี่สี่ขอรับ ข้าคิดว่าวันที่สี่กำลังดี” จากนั้นก็ถามสืออีเหนียง “พี่สะใภ้สี่ ท่านคิดว่าวันไหนดีหรือ”
หากจะไปก็ต้องไปเช้าหน่อย
สืออีเหนียงก็คิดว่าวันที่สี่เป็นวันที่ดี จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีประสบการณ์ หากพ่อบ้านไป๋สามารถจัดการการเดินทางได้ภายในสองวัน เช่นนั้นวันที่สี่ก็คงจะเป็นวันที่ดีที่สุดกระมัง”
สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่สวีลิ่งอี๋
เขาสีหน้านิ่งเฉย “เช่นนั้นก็วันที่สี่เถิด ข้าจะบอกให้พ่อบ้านไป๋เป็นคนจัดการ พวกเจ้าร่างรายชื่อผู้ติดตามออกมาภายในหนึ่งวัน พ่อบ้านไป๋จะได้จัดการได้ง่ายขึ้น”
สวีลิ่งควนได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ หันไปปรึกษากับไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ถึงวันนั้นท่านสวมเสื้อกั๊กยาวสีเหลืองลายน้ำเต้าตัวนั้นเถิด ดูมีชีวิตชีวาแล้วยังดูสง่างาม”
“จริงหรือ!” ไท่ฮูหยินเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “มันจะดูลายตาเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่เจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้ารีบพูด “ครั้งก่อนที่ข้าไปดื่มสุราออกเดือนที่จวนของเหลียงเก๋อเหล่า ฮูหยินรองเจ้ากรมโยธาธิการยังสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงลายค้างคาวห้าตัวเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าจะเทียบกับนางได้เช่นไร” ไท่ฮูหยินพูด “นางอายุน้อยกว่าข้าตั้งสิบปี”
“หากท่านไม่พูด ใครจะมองออกขอรับ” สวีลิ่งควนพูดเอาใจมารดาของตัวเอง “ท่านทำตามที่ข้าบอกเถิด ไม่ผิดแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าสวมชุดนั้นก็ได้”
สวีลิ่งควนสองสามีภรรยาพากันพยักหน้าซ้ำๆ กำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็ลุกขึ้น
ทุกคนพลันตกใจ แล้วมองไปที่เขาเป็นสายตาเดียว
“ดึกมากแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “พรุ่งนี้เช้าค่อยปรึกษากันก็ไม่สาย”
ไท่ฮูหยินเรียกเขาไว้ “…อย่าลืมบอกอาจารย์จ้าวให้จุนเกอและเจี้ยเกอ ข้าคิดว่า ไม่สู้ชวนอาจารย์จ้าวไปด้วยดีกว่า เจ้าดูสิ เขาทั้งสอนจุนเกอเจี้ยเกอเป่าขลุ่ย สอนทำโคมลอย ข้าคิดว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ แล้วอีกอย่างไปกันเยอะๆ จะได้คึกคัก วัดฮู่กั๋วกว้างขวางขนาดนั้น เราสองสามคนเดินไปเดินมาที่นั่น คงดูอ้างว้างเกินไป”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง