ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 390 ก่อเรื่องไม่หยุด (ปลาย)
ในไม่ช้าทุกคนในจวนก็ล้วนรู้เรื่องที่เฉียวเหลียนฝังถูกส่งไปที่อารามต้าเจวี๋ย
สาวใช้ที่มักชอบสนทนากันในซอกลานเล็กทางทิศตะวันออกต่างก็หายไปกันหมด คนที่ยืนอยู่ใต้ชายคาล้วนยืนก้มหน้าก้มตาด้วยความเคารพมากขึ้นกว่าเดิม ท่านป้าที่มักจะอ้างว่าตัวเองเป็นคนเก่าคนแก่ มักจะชอบนั่งพูดคุยกันที่หน้าประตูฉุยฮวาก็หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องของตัวเองไม่ยอมออกมา ทันใดนั้นจวนหย่งผิงโหวก็เงียบสงัด ทั้งจวนได้ยินแค่เสียงนกร้อง
“เด็กคนนั้น ก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ก็ก้าวผิดทุกย่างก้าว” ฤดูร้อนมักทำให้ผู้คนรู้สึกเกียจคร้าน ไท่ฮูหยินเอนตัวอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง พูดระบายความในใจกับป้าตู้ที่กำลังถือพัดโบกให้ตัวเอง “ถึงตอนนี้นางเปลี่ยนไปมากทีเดียว” รู้สึกผิดหวังกับเฉียวเหลียนฝังเป็นอย่างมาก
“นี่คือการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์เจ้าค่ะ” ป้าตู้พูดปลอบประโลมไท่ฮูหยิน “ท่านโหวของเราเป็นคนใจกว้าง ฮูหยินสี่ก็เป็นคนมีเมตตา นางได้เจอกับคนเช่นนี้แต่ก็ยังไม่สามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น คงโทษใครไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ความเกลียดชัง ความขุ่นเคืองและความโกรธแค้น เดิมทีก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว” ไท่ฮูหยินพยักหน้า “ส่งนางไปฝึกสมาธิที่อารามต้าเจวี๋ยสักสองสามวัน บางทีนางอาจจะคิดได้ขึ้นมา”
“เหมือนที่ท่านพูดเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มแล้วยื่นพัดให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ยกน้ำแกงเม็ดบัวมาจากมือสาวใช้อีกคนหนึ่งยื่นให้ไท่ฮูหยิน “ท่านคิดว่า บุตรชายคนโตของสกุลนายท่านหงที่หนานจิงแต่งงาน เราควรจะส่งอะไรไปดีเจ้าคะ”
สองวันก่อนมีจดหมายมาจากหนานจิง บอกว่าบุตรชายคนโตของสวีลิ่งหงจะแต่งงานในวันที่สิบแปดเดือนแปด
“เขาเป็นหลานคนโตของครอบครัวคุณชายใหญ่ จะบุ่มบ่ามไม่ได้” ไท่ฮูหยินยิ้ม “แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นคนดูแลจวน เราทานข้าวให้อร่อย แล้วส่งคนไปจัดการก็พอ”
ป้าตู้ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ฟังจากน้ำเสียงของท่าน หรือว่าท่านอยากไปหนานจิงเจ้าคะ”
“ไอ๊หยา” ไท่ฮูหยินลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นเต้น “ความคิดของเจ้าไม่เลว ถึงตอนนั้นก็บอกคุณชายสี่และสืออีเหนียง หากไปหนานจิงได้จริงๆ คงไม่มีอะไรให้ข้าต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว ข้าเคยไปหนานจิงตอนอายุเจ็ดแปดขวบ แล้วยังเป็นช่วงฤดูกาลนี้ จำได้แค่ว่าท่านพ่อดื่มสุรากับผู้คนมากมายในเรือนริมแม่น้ำ ข้าเอะอะโวยวายอยากจะกลับบ้าน ไม่รู้ว่าบ่าวรับใช้สกุลไหน ใช้เหรียญทองแดงห้าเหรียญซื้อเม็ดกระจับที่ห่อด้วยใบบัวมาให้ข้าห่อหนึ่ง ข้ายังจำกลิ่นหอมของใบบัวนั้นได้ดี…”
เมื่อเปลี่ยนหัวข้อเรื่องแล้ว จากนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องอารามต้าเจวี๋ยอีกต่อไป
แต่หยางอี๋เหนียงกลับสูดหายเข้าอย่างแรง “ส่งนางไปที่อารามต้าเจวี๋ย?”
ป้าหยางพยักหน้า “สาวใช้ของเฉียวอี๋เหนียง รวมถึงซิ่วหยวนคนนั้น ก็ไม่ให้ไปด้วยสักคนเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินจูหรุ่ยพูด ตอนที่ป้าซ่งพูดเรื่องนี้นางก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ฟังไม่ผิดแน่นอนเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงค่อยๆ ขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเคร่งขรึม
“อี๋เหนียงเจ้าคะ” ป้าหยางที่กำลังจ้องมองนางอยู่พูดขึ้นด้วยความลังเล “เฉียวอี๋เหนียงถูกส่งไปที่อารามต้าเจวี๋ยแล้ว ไม่ดีต่อท่านหรือเจ้าคะ”
“ขาดคนไปหนึ่งคน อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น” หยางอี๋เหนียงมองไปที่เรือนหลักทางทิศตะวันตกของสืออีเหนียง “แต่เรื่องบางเรื่อง เกรงว่าคงต้องคิดใหม่อีกครั้ง”
ป้าหยางฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ “ต้องคิดเรื่องอันใดใหม่หรือเจ้าคะ”
หยางอี๋เหนียงรู้ว่าท่านป้าคนนี้ของตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์และจงรักภักดี แต่ไม่ใช่คนที่พึ่งพาได้ นางหันหน้าไปมองป้าหยาง ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องที่จะเอาใจฮูหยินเช่นไรน่ะสิ!”
ป้าหยางได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบกลับไปดี
หยางอี๋เหนียงยกยิ้มแล้วพูดกับป้าหยางว่า “เจ้านำลายปักที่ข้านำมาด้วยออกมาให้หมด ข้าจะดูว่ามีลายใดที่เหมาะสมกับร้านมงคลสมรสหรือไม่”
*****
เหวินอี๋เหนียงกำลังสงสัย “…อารามต้าเจวี๋ย ทำไมฟังดูคุ้นๆ แต่คิดดูแล้วก็จำไม่ได้”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดเจ้าค่ะ!” ชิวหงยิ้ม “ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีกระมัง ไม่เช่นนั้นจะส่งเฉียวอี๋เหนียงที่โต้เถียงฮูหยินไปที่นั่นทำไมเล่า” นางกังวลเรื่องอื่นมากกว่า “อี๋เหนียงเจ้าคะ ฮูหยินได้บอกหรือไม่ว่าจะจัดการซิ่วหยวนและคนอื่นๆ อย่างไร”
เหวินอี๋เหนียงออกแรงโบกพัดสองที “ขังพวกนางอยู่ในเรือน ให้พวกนางช่วยช่างปักเย็บปักถักร้อย”
ชิวหงหัวเราะ “ฮูหยินชอบให้คนเย็บปักถักร้อยมากที่สุด!”
“เย็บปักถักร้อยดีจะตาย” เหวินอี๋เหนียงพูดอย่างเรียบเฉย “ขังพวกนางเย็บปักถักร้อยในเรือน พวกนางจะได้ไม่ออกไปก่อเรื่องอีก…” ทันทีที่พูดจบ นางก็สะดุ้งขึ้นมา
“ทำไมหรือเจ้าคะ” ชิวหงเห็นเช่นนี้ก็สงสัย
“ไม่มีอะไร! ไม่มีอะไร!” เหวินอี๋เหนียงครุ่นคิด “ข้าแค่คิดว่า ฮูหยินมักจะบอกให้ฉินอี๋เหนียงเย็บปักถักร้อย…”
“แปลกตรงไหนกัน” ชิวหงถามด้วยความสงสัย “อี๋เหนียงก็ต้องช่วยฮูหยินเย็บปักถักร้อยอยู่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เหวินอี๋เหนียงไม่พูดไม่จา พลันใจลอย
เมื่อไปคารวะสืออีเหนียงตอนเย็น นางนั้นดูเงียบผิดปกติ แต่ว่าความผิดปกตินี้นั้นกลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจของฉินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียง เพราะเมื่อเทียบกับพวกนางสองคนแล้ว นางก็ยังดูพูดเยอะเหมือนเดิม แต่สืออีเหนียงที่สังเกตเห็นเช่นนี้ก็แอบครุ่นคิดอยู่ในใจ
เกิดเรื่องเฉียวเหลียนฝังขึ้น ทุกคนคงจะรู้สึกไม่สบายใจกระมัง
หลังจากพูดคุยสองสามประโยค นางก็ยกถ้วยชาขึ้นมา
วันต่อมาอาจารย์เจี่ยนก็ได้มาเยี่ยม
“ซุ่นอ๋องแนะนำกิจการให้เราอีกแล้ว” นางยิ้ม “ทำผ้าปักลายสะพานนกกางเขนของเทศกาลชีซี”
“ร้านของเรากลายเป็นร้านทำผ้าปักลายไปแล้ว” สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็ถามว่า “ให้เงินเท่าไรเจ้าคะ”
“เหมือนกับครั้งก่อน” อาจารย์เจี่ยนยิ้ม “แต่ว่าจำนวนมากกว่าครั้งก่อนตั้งสองเท่า เถ้าแก่บอกให้ข้ามาปรึกษาเจ้า อยากจะรับสมัครคนเพิ่มสักสองสามคน”
เช่นนั้นก็หมายความว่า สามารถทำกำไรได้ไม่น้อย
“กิจการกำลังไปได้ดี แน่นอนว่าต้องรับคนเพิ่มสักสองสามคนเจ้าค่ะ”
อาจารย์เจี่ยนได้ยินเช่นนี้ นางก็ยิ้มแล้วขอตัวลา
บังเอิญดอกพุดซ้อนที่สะใภ้จี้ถิงปลูกไว้ให้สืออีเหนียงในห้องหน่วนฝังออกดอกพอดี นางจึงมอบให้ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง ฮูหยินห้าและคนอื่นๆ กระทั่งเหลืออยู่เพียงสี่ห้าดอก สืออีเหนียงได้บอกให้คนนำไปให้คุณนายใหญ่สกุลหลินสองดอก จากนั้นก็นำอีกสามดอกไปที่จวนของกานไท่ฮูหยิน
“กลิ่นหอมและดอกใหญ่กว่าดอกซ่อนกลิ่นและดอกมะลิอีก” กานไท่ฮูหยินชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก “คงมีแค่สกุลเจ้าที่ปลูกได้ดีขนาดนี้!” จากนั้นก็บอกให้สาวใช้หาชามสีแดงใบเล็กออกมาจากหีบเพื่อนำมาใส่ไว้ แล้วก็สั่งสาวใช้หั่นแตงโมมาให้ทาน
สืออีเหนียงเห็นว่านางชอบก็ดีใจไม่น้อย ทานผลไม้พร้อมกับพูดถึงเรื่องที่ร้านกับกานไท่ฮูหยิน
กานไท่ฮูหยินยิ้มหน้าบานแล้วพูดว่า “เทศกาลตรุษจีนต้องสวมผ้าปักลายน้ำเต้า เทศกาลโคมไฟต้องสวมผ้าปักลายโคมไฟ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างต้องสวมผ้าปักลายเสือ เทศกาลฉงหยางต้องสวมผ้าปักลายดอกเบญจมาศ เทศกาลฤดูหนาวต้องสวมผ้าปักลายหิมะ…มีกิจการให้ทำทั้งปี เจ้าต้องขอบพระคุณซุ่นอ๋องให้ดี”
“ข้าก็คิดเช่นนี้” สืออีเหนียงยิ้ม “อยากขออาจารย์เจี่ยนช่วยปักเสื้ออ่าวให้พระชายาซุ่นอ๋องสักสองสามตัว ท่านคิดว่าเช่นไรบ้าง”
“เป็นความคิดที่ดี” กานไท่ฮูหยินพยักหน้าซ้ำๆ “เป็นทั้งเรื่องมงคล แล้วยังแสดงให้เห็นงานปักของอาจารย์เจี่ยนอีกด้วย”
พวกนางสองคนพูดคุยกันอีกมากมาย สืออีเหนียงทานข้าวเย็นที่เรือนของกานไท่ฮูหยินจากนั้นก็กลับจวนตัวเอง
ป้าซ่งมาต้อนรับนางที่ประตูฉุยฮวา “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านออกไปไม่ถึงสองเค่อ คุณชายจูและคุณหนูเจ็ดก็มาพอดีเจ้าค่ะ ไท่ฮูหยินบอกให้พวกเขาอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน กำลังพูดคุยกันอยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันตกเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตกใจ “สองวันก่อนนางเขียนจดหมายให้ข้า ไม่ได้บอกว่าจะมาที่เยี่ยนจิง…”
ป้าซ่งประคองนางขึ้นรถลาก “บอกว่าตัดสินใจโดยกะทันหันเจ้าค่ะ”
นี่คือนิสัยของชีเหนียง
สืออีเหนียงกลับไปที่เรือน อี๋เหนียงทั้งสามคนกำลังยืนรอคารวะนางอยู่ใต้ชายคา นางพูดส่งๆ ไปสองสามประโยค จากนั้นก็บอกให้พวกนางแยกย้ายกันออกไป ส่วนตัวเองกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยินทันที
เพียงเดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาแต่ไกล เดินเข้าไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันตกก็เห็นชีเหนียงและฮูหยินห้านั่งอยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของไท่ฮูหยิน กำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควนและจูอานผิงกลับนั่งฟังอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ชีเหนียง ฮูหยินห้า สวีลิ่งควนและจูอานผิงก็ยืนขึ้นแล้วทักทายนาง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วคำนับทุกคน ชีเหนียงเดินเข้ามาจับแขนนาง
“กำลังรอเจ้ากลับมาอยู่พอดี” นางพูดอย่างรวดเร็ว “เรากำลังคุยกันเรื่องขอพรหัตถการในเทศกาลชีซี” นางพูด “ข้ากับตานหยางปรึกษากันแล้ว วันนั้นเราจะเชิญพี่หญิงสี่ คุณชายห้าสัญญาว่าจะช่วยเราไปเอาเข็มหัตถการมาจากสำนักคลังอาวุธ”
เทศกาลชีซีเดิมทีเป็นเทศกาลของสตรี สกุลสวีก็จัดงานใหญ่ทุกปี มีกิจกรรมเล่นเกมโยนเข็มหัตถการบ้าง เล่นสร้างใยแมงมุมบ้าง
“ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ถึงตอนนั้นข้าจะเตรียมผลไม้ ชาและของว่าง ดอกไม้และกระถางธูป ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ส่งยิ้มให้ฮูหยินห้า “เรื่องที่น้องหญิงสิบเอ็ดของข้าสัญญาไว้ นางต้องทำได้แน่นอน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณสืออีเหนียง “รบกวนพี่สะใภ้สี่แล้ว!”
นางเป็นคนดูแลจวน มันคือหน้าที่ของนางอยู่แล้ว
“น้องสะใภ้ห้าไม่ต้องเกรงใจข้า!” สืออีเหนียงยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องถามว่าจะเชิญพี่หญิงสี่มาที่ไหนดี
ชีเหนียงและฮูหยินห้าก็ปรึกษากันอย่างจริงจัง
และสวีลิ่งอี๋เห็นว่ามันดึกแล้ว จึงยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ยังมีเวลาอีกสองสามวันกว่าจะถึงเทศกาลชีซี ตอนนี้ถึงเวลาห้ามออกจากเคหสถานในยามค่ำคืนแล้ว พวกเจ้านอนที่นี่เถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่”
ฮูหยินห้าและชีเหนียงถูกชะตากันจริงๆ เพียงได้ยินสวีลิ่งอี๋เชื้อเชิญให้นอนที่นี้ ก็รีบพูดว่า “วันนี้เจ้านอนที่เรือนของข้าเถิด ให้คุณชายห้าไปนอนกับคุณชายจูที่เรือนปีกทางทิศตะวันตกก็ได้”
สวีลิ่งควนได้ยินแล้วก็รีบหันไปบอกกับจูอานผิง “ใช่ ใช่ เจ้ากับข้าไปนอนที่เรือนปีกทางทิศตะวันตกเถิด เราสูงเท่าๆ กัน เจ้าสวมเสื้อผ้าของข้าก็ได้” พูดจบ เขาก็ขยิบตาให้จูอานผิง
จูอานผิงไม่พูดไม่จา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มิตรภาพที่ลึกซึ้งนั้นยากที่จะปฏิเสธ เช่นนั้นก็รบกวนคุณชายห้าและฮูหยินห้าแล้ว”
สวีลิ่งควนเลิกคิ้วด้วยความพอใจ “ไม่รบกวน ไม่รบกวน”
ไท่ฮูหยินคิดมาตลอดว่าจำนวนลูกหลานของสกุลสวีนั้นมีน้อย จูอานผิงเป็นทั้งสกุลญาติแล้วยังเป็นคนสุขุม ทำให้คนเฒ่าคนแก่ต่างชื่นชอบเขา ไท่ฮูหยินก็อยากที่จะสนิทสนมกับพวกเขาเช่นกัน นางหัวเราะ “ไปพักผ่อนกันเถิด!”
พวกเขากลัวว่าไท่ฮูหยินจะเหนื่อย ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วคำนับไท่ฮูหยิน เดินออกมาจากเรือนของไท่ฮูหยิน จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับเรือนของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋เรียกหลิวปัวมาหาทันที “ไปดูสิว่าคืนนี้คุณชายห้าทำอะไร”
สืออีเหนียงห้ามเขาไว้ “คุณชายห้าโตขนาดนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจูอานผิงอยู่ด้วย เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้ความเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด จากนั้นก็ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อน
แต่เขากลับนอนไม่หลับ
เช้าวันต่อมา ไปคารวะไท่ฮูหยินก็เห็นสวีลิ่งควนสีหน้าเหนื่อยล้า
สวีลิ่งควนเขายิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าพูดคุยกับพี่เขยเจ็ดทั้งคืนขอรับ”
เปลี่ยนจากที่เรียกจูอานผิงว่าคุณชายจู เป็นเรียกเขาว่าพี่เขยเจ็ด
สืออีเหนียงยิ้ม
ส่วนสวีลิ่งอี๋กระแอมไออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก