ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 385 เขาเขียว (ต้น)
“มีอะไรไม่ดีกัน!” กานไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “หนึ่งในสามของมรดกตกทอดถูกขายไปเป็นที่นา ที่ใช้สักการบูชา ส่วนคดีที่ฟ้องร้องช่วงสองสามวันที่ผ่านมา รายได้จากส่วนกลางลดลงอย่างเห็นได้ชัด จึงจำเป็นต้องขายสมบัติอีกส่วนหนึ่งไป พอถึงเวลาที่แบ่งสมบัติ จวนจงฉินปั๋วก็เหลือสมบัติเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ข้าก็แค่กลัวว่าเขาจะลุกขึ้นมาแอบหัวเราะกลางดึก”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็เกิดเหงื่อตกขึ้นมา
กานไท่ฮูหยินก็ได้พูดต่อไปว่า “คดีที่ฟ้องร้องถูกปิดลงได้อย่างนี้ จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นหลานถิงที่ทุ่มแรงกายแรงใจไปไม่น้อย”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจในคำพูด
“หลานถิงฉลาดหลักแหลม นิสัยใจคอร่าเริงแจ่มใส สามีให้การเคารพ แม่สามีรักใคร่เอ็นดู ท้องแรกก็เป็นบุตรชาย ถือว่าเป็นก้าวแรกที่มั่นคงในจวนสกุลเหลียง” กานไท่ฮูหยินยื่นจานกระเบื้องเคลือบลายทองที่ใส่เม็ดบัวที่ปอกเรียบร้อยแล้วให้กับสืออีเหนียง “รสชาติหวานสดชื่น เจ้าลองทานดู!”
สืออีเหนียงใช้ไม้จิ้มมาทานหนึ่งเม็ด “หวานจริงๆ ด้วยเจ้าค่ะ!”
กานไท่ฮูหยินชวนคุยถึงเรื่องเมื่อครู่ต่อ “จวนสกุลกานเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ มีเพียงคนสองคนที่ไม่สามารถอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขได้ หนึ่งคือเฉาเอ๋อร์ แม้แต่สินเดิมที่จะใช้ในงานแต่งก็เกรงว่าคงจะมีไม่พร้อมเสียด้วยซ้ำ ส่วนอีกคนก็คือท่านปั๋ว ยิ่งยื้อเวลานานวันเข้า คำครหานินทาก็จะยิ่งเพิ่มพูน กลายเป็นคนที่ไร้ซึ่งคุณธรรมและความสามารถในสายตาผู้อื่นโดยปริยาย อย่างไรเสียพวกเขาและหลานถิงก็มีมารดาเป็นคนเดียวกัน หลานถิงจึงเป็นคนไปขอร้องให้กงกงช่วยออกหน้า ไหว้วานกับทางศาลต้าหลี่ให้ช่วยเร่งคดีที่ฟ้องร้องนี้ให้จบโดยเร็ววัน”
สืออีเหนียงรู้สึกเป็นห่วงเฉาเอ๋อร์ขึ้นมา “แล้วเรื่องสินเดิมของเฉาเอ๋อร์…”
“ท่านปั๋วพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหลานถิงว่าผู้อื่นจัดงานแต่งให้บุตรสาวอย่างไร เขาก็จะจัดงานแต่งให้น้องสาวของเขาเช่นนั้น” กานไท่ฮูหยินปอกเม็ดบัวใหม่อีกจำนวนหนึ่งใส่ลงไปในจานกระเบื้องเคลือบลายทองใบเดิม “สินเดิมหนึ่งร้อยยี่สิบสี่ยก รับปากว่าจะใส่จนเต็มล้น ไม่ให้ทางจวนสกุลเจี่ยงได้พูดถึงประเด็นนี้อย่างแน่นอน”
สืออีเหนียงนึกถึงป้ารับใช้สองคนของจวนสกุลเจี่ยง “…ยังอยู่ปรนนิบัติรับใช้หรือไม่”
“ยังอยู่!” กานไท่ฮูหยินพูดขึ้นพลางหัวเราะออกมาเบาๆ “ที่ผ่านมาข้าเอาแต่รู้สึกว่าจิตใจของเฉาเอ๋อร์นั้นอ่อนโยนและนุ่มนวล หากเจอกับเรื่องเหล่านี้จะถูกเอาเปรียบได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าถึงแม้คำพูดและการกระทำของนางจะซื่อตรง แต่จิตใจกลับกว้างขวาง คำพูดตรงไปตรงมาและทรงพลัง จนทำให้ป้ารับใช้ทั้งสองไม่กล้าที่จะดูถูกและให้ความเคารพนางกว่าเมื่อก่อนมาก” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ทางบ้านแม่สามีดูหมิ่นดูแคลน ส่วนทางจวนสกุลเดิมก็ไร้ซึ่งที่พึ่งพิง หากยังไม่เคารพในตัวเอง ถึงเวลานั้นคงไม่มีแม้แต่ที่ยืนเสียด้วยซ้ำ สู้ทำตัวเองให้เป็นคนสุขุมและเข้มงวด แย่งชิงสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเคารพ’ มาให้ตัวเอง ยังดีกว่าการที่ถูกลดขั้นลงแล้วยังมาให้ผู้อื่นดูถูกอีก”
สืออีเหนียงเงียบงันไม่ได้พูดอะไรต่อ
ยังไม่ทันจะแต่งงานเข้าเรือน วันเวลาที่จะมาถึงก็ไร้ซึ่งความหวังใดๆ เสียแล้ว…ราวกับดอกไม้ที่ยังไม่ทันจะเบ่งบานก็เหี่ยวเฉา
บรรยากาศในเรือนเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าสลดใจ
กานไท่ฮูหยินก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงเรื่องแต่งงานออกเรือนของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา “…ได้ยินมาว่าสินเดิมยกที่หนึ่งถูกส่งมาถึงถนนตงต้าแล้ว ส่วนสินเดิมยกสุดท้ายยังไม่ได้ออกจากเรือน”
“ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน” สืออีเหนียงนึกถึงเสียงฆ้องและกลองที่ดังไปทั่วของจวนสกุลหลินในวันนั้น ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ข้าไม่ได้ไป เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนไปส่งเจ้าสาว ข้าตั้งใจส่งป้าซ่งติดตามไปปรนนิบัติรับใช้นางโดยเฉพาะ ไปดูฉากบรรยากาศตอนฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถึงตอนที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ของเราแต่งงานออกเรือน จะได้จัดให้ใกล้เคียงกันถึงจะดี”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ “เป็นคุณหนูของขุนนางในราชสำนักทั้งคู่ อีกทั้งยังแต่งไปที่ซังโจวเหมือนๆ กัน สินเดิมของเจินเจี่ยเอ๋อร์จึงไม่จำเป็นต้องมากกว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ แต่ก็ไม่ควรน้อยกว่าเช่นกัน” จากนั้นนางก็ได้ถามต่อไปว่า “เหวินอี๋เหนียงเป็นคนเตรียมเช่นเคยหรือ”
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “นางให้ความสำคัญและเอาใจใส่เป็นอย่างมาก ของที่จะต้องเตรียมข้าเห็นนางเลือกของใหม่เอี่ยมอย่างดีทีละชิ้นทีละอัน เงินที่ท่านโหวให้ไปสองหมื่นตำลึงเกรงว่าคงจะใช้ไปกว่าครึ่งแล้ว แต่สินเดิมยังได้แค่ครึ่งเดียว” สืออีเหนียงพูดจบก็ยกน้ำแกงซวนเหมยขึ้นมาจิบ “อีกสองสามวันข้าว่าจะเรียกเหวินอี๋เหนียงมาลองคำนวณบัญชี ดูว่าสามารถให้ท่านโหวนำเงินส่วนตัวมาช่วยสักหน่อยได้หรือไม่”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาทันที “เจ้านี่ดีจริงเชียว พูดเรื่องคนอื่นใช้เงินขึ้นมา ไม่ปวดใจบ้างเลยหรือ”
สืออีเหนียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “หาเงินมาก็เพื่อที่จะใช้ เหมือนดังคำที่ว่า ‘หากลูกหลานประสบผลสำเร็จ เก็บเงินทองไว้จะมีประโยชน์อันใด และหากลูกหลานไม่ประสบผลสำเร็จ เก็บเงินทองไว้ก็ไร้ซึ่งประโยชน์’ โดยเฉพาะการทิ้งเงินก้อนโตไว้จะกลายเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี สู้นำเงินมาจับจ่ายใช้สอยให้หมดตั้งแต่แรกเสียยังดีกว่า พึ่งในความสามารถของตนเอง อย่างไรเสียก็มั่นคงกว่าคนที่ตระกูลที่ร่ำรวยและปูพื้นให้หมดทุกอย่าง”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะคิดตาม
“ไม่เลวทีเดียว” นางพูดขึ้น “เจ้าดูอย่างจวนสกุลกาน เมื่อก่อนเคยเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งรกราก หลายต่อหลายตระกูลพากันสำนึกในบุญคุณอันใหญ่หลวง ไม่เคยเลยที่จะพบเจอกับอุปสรรคที่ไม่คาดฝัน แต่เจ้าดูอย่างทุกวันนี้ เกรงว่าเทียบสกุลเวยหย่วนโหวยังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
ตอนนั้นจวนสกุลเวยหย่วนโหวและจวนหย่งผิงโหวเคยถูกปลดอำนาจตำแหน่งเหมือนๆ กัน แต่จวนสกุลสวียังดีที่มีฮองเฮาและมีแม่ทัพใหญ่เช่นสวีลิ่งอี๋ และสิ่งที่จวนสกุลหลินพึ่งพาได้มีแค่การค้าขายที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น แต่สามารถประคองตระกูลที่ตกอับให้กลับมาเป็นหนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งของเมืองเยี่ยนจิงได้
เมื่อพูดจบก็นึกถึงตอนที่ตนได้รับร้านค้าส่วนหนึ่งจากสกุลกาน ดังนั้นจึงได้ตัดบทสนทนาเรื่องนี้ไป จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับถามเรื่องงานวันเกิดสืออีเหนียงขึ้นมา “วันเกิดปีนี้ของเจ้าไม่สามารถเชิญแขกมางานเลี้ยงได้ คงจะไม่ได้เงียบเหงาเกินไปใช่หรือไม่”
“ก็ไม่ถึงขั้นเงียบเหงา” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “อวี้เกอให้คนนำพัดพับที่เขาวาดลวดลายเองกับมือกลับมาให้ข้าหนึ่งเล่ม ส่วนจุนเกอก็ทำขลุ่ยไม้ไผ่ให้ข้าหนึ่งเลา เจี้ยเกอก็ได้ให้ลูกกวาดผลึกแก้วที่เขาชอบทานมากที่สุดให้ข้าหนึ่งกระปุก และเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้ทำรองเท้าให้ข้าหนึ่งคู่ จากนั้นทุกคนก็ทานบะหมี่อายุยืนด้วยกันอย่างมีความสุข ครึกครื้นเป็นอย่างมาก”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็แอบรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเสียไม่ได้
นางไม่มีลูกหลาน จึงชอบเด็กๆ เป็นชีวิตจิตใจ
“เจี้ยเกอรู้จักให้ของกับเจ้าแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ เป็นของที่ไท่ฮูหยินให้เขาอีกที เขาเองยังเสียดายและไม่กล้าทานเสียด้วยซ้ำ!”
“วันหลังเจ้ามาหาข้า ก็พามาด้วย ให้ข้าดูเสียหน่อย” กานไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ได้ยินมาว่าหน้าตาน่ารักน่าชังเสียไม่มี!”
“เด็กๆ หน้าตาน่ารักน่าชังกันทุกคน…”
ทั้งสองพูดคุยถึงเรื่องเด็กกันอย่างถูกคอ ปาไปครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ จนสาวใช้เข้ามาถามว่าจะให้ตั้งโต๊ะอาหารที่ไหน ทั้งสองจึงค่อยหยุดบทสนทนานั้นไป แล้วจึงพากันไปทานข้าว
พึ่งจะทานเสร็จ กานฮูหยินก็มาหาพอดี
สืออีเหนียงอยู่ดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่ากานฮูหยินมีธุระจะพูด สืออีเหนียงจึงขอตัวไปที่ห้องชำระแทน
แต่เพราะเรือนของกานไท่ฮูหยินค่อนข้างเล็ก และบรรยากาศในเรือนก็ค่อนข้างเงียบ บางอย่างที่ไม่ควรฟังก็ดันได้ยินเสียทุกถ้อยทุกคำ
“หลายวันก่อนชุลมุนวุ่นวายไปหมด” กานฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเคารพนับถือ “ก็เลยไม่ได้มากล่าวทักทายท่าน ก่อนหน้านี้ติดขัดไปเสียทุกอย่าง ตอนนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว กฎเกณฑ์เดิมก็ต้องร่างใหม่จนหมด เจตนาของท่านปั๋วก็คืออยากให้ข้าพาเด็กๆ มาน้อมทักทายท่านเช้าค่ำของทุกๆ วันด้วยความกตัญญูถึงจะถูก”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยพูดขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น ข้าเองก็เป็นเพียงหญิงหม้าย ธรรมดาเรียบง่ายก็พอแล้ว”
“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้” ท่าทีของกานฮูหยินดูแน่วแน่เป็นอย่างมาก “ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ถือว่าเป็นมารดาของพวกข้า”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ไม่กล้ารับปากเข้าไปใหญ่
กานฮูหยินจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา ก็เลยพูดออกไปว่า “พวกเราที่เป็นพ่อแม่ ควรเป็นแบบอย่างให้กับเหล่าบรรดาสตรีถึงจะถูก”
กานไท่ฮูหยินอึ้งไปชั่วขณะ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็เข้ามาทักทายข้าในวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของทุกๆ เดือนก็พอ! รอให้ผ่านช่วงไว้ทุกข์สามปีไปแล้วก็ค่อยมาว่ากันอีกที”
กานฮูหยินจึงค่อยถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พูดคุยกับกานไท่ฮูหยินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปทักทายสืออีเหนียงแล้วจึงขอตัวลากลับ
กานไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะพูดประชดเบาๆ กับตัวเองว่า “ถือว่าข้ายังมีประโยชน์นิดๆ หน่อยๆ!”
สืออีเหนียงกลับรู้สึกปวดใจขึ้นมา จึงทำได้แค่ปลอบใจนางไปว่า “ไม่ว่าจะเป็นเจตนาแบบไหน แต่การที่พวกเขาให้ความเคารพท่านเป็นผู้อาวุโส ท่านก็ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาจนเกินไป หากพอใจก็อนุญาตให้พวกเขามาคารวะทักทาย แต่หากไม่ชอบใจก็ปฏิเสธไปว่าไม่ค่อยสบาย!”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่คงเป็นลูกไม้ที่แม่สามีของเจ้าใช้เป็นประจำกระมัง”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วแน่นอนว่านางไม่สะดวกที่จะออกความคิดเห็นอยู่แล้ว จึงแค่เม้มปากยิ้มตอบเท่านั้น
กานไท่ฮูหยินพึ่งนึกขึ้นได้ว่าจู่ๆ สืออีเหนียงก็มาหาตน จึงรีบถามขึ้นว่า “ดูสีหน้าท่าทางของเจ้าสบายดี เข้าเรือนมาข้าก็เอาแต่ชวนเจ้าคุยไม่หยุด แล้วเหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงมาหาข้าที่เรือนโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้เล่า”
ตามหลักแล้วก่อนที่จะไปเยี่ยมเยียนเรือนของใครก็จะต้องให้ป้ารับใช้มาแจ้งก่อนเพื่อนัดแนะเวลา เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เตรียมตัวจัดแจงเวลาได้ถูก และเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่เจ้าบ้านไม่สะดวกรับแขกหรือไม่อยู่ที่เรือน
“ข้าเพียงแค่ต้องการหลบคนเท่านั้น” สืออีเหนียงพูดออกมาตามตรง “จู่ๆ เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินก็ได้ส่งคนมาแจ้งว่าจะมาหา ข้าไม่อยากเจอนาง ก็เลยมาหาท่านแทน”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เริ่มเป็นกังวลใจขึ้นมา
“แต่นี่ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีเสียหน่อย!” นางพูดขึ้น “ในเมื่อเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินอยากจะเจอเจ้า ครั้งนี้ไม่ได้เจอ คราวหน้าก็ต้องมาใหม่อีกแน่นอน อีกอย่างเจ้าและนางก็เป็นโหวฮูหยินสกุลเดียวกัน เป็นพระญาติของเชื้อพระวงศ์ทั้งคู่ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าทั้งสองจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันเท่าไรนัก แต่ตอนนี้หยางอี๋เหนียงและเจ้ามีความเกี่ยวข้องกัน นางมาเยี่ยมหาเจ้า ก็เป็นการมาเยี่ยมเยียนปกติทั่วไปที่ฮูหยินของเหล่าขุนนางในราชสำนักทำกัน เป็นการมาเยี่ยมเยียนเพราะหยางอี๋เหนียงก็ว่าได้ เจ้ายังไม่ทันได้ฟังสิ่งที่นางจะพูดก็รีบหนีออกมาเช่นนี้ ดูจิตใจออกจะคับแคบไปหน่อย หากข่าวลือถูกแพร่งพรายออกไปว่าเจ้ากำลังมีปากเสียงกันกับอนุภรรยา ให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเจ้าไร้ซึ่งความใจกว้างของผู้เป็นภรรยาเอก เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเสียมากกว่าได้ ข้าว่าเจ้าควรเจอกับนางก่อนดีกว่ากระมัง อย่างน้อยก็ลองฟังสิ่งที่นางจะพูดก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ที่พี่หญิงพูดมานั้นข้าเข้าใจดี” สืออีเหนียงตอบกลับอย่างเข้าใจว่า “ข้าเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยพิจารณา แต่ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อจะแสดงให้ทุกคนเห็นถึงเจตนาของข้า” นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่สุขุมและจริงจัง “‘เป็นญาติกับจวนสกุลหยางโดยชอบธรรม’ ถึงแม้ว่าคำพูดนี้องค์หญิงฝูเฉิงจะเป็นคนพูด แต่คนจวนสกุลหยางจะคิดอย่างไร และคนอื่นๆ จะคิดอย่างไร ก็ถือเป็นเรื่องที่ควรจะปรึกษาหารือ แต่หากจะให้ข้าไปเจอเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินโดยที่ยังไม่เข้าใจเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ก็อาจจะถูกคนที่คิดไม่ดีฉวยโอกาสนี้ไปแพร่ข่าวว่าข้าไปมาหาสู่กับทางจวนสกุลหยางเพราะจะเป็นญาติกับจวนสกุลหยาง ข้าจะกลายเป็นคนเช่นไรในสายตาของผู้อื่น และจวนสกุลหลัวของข้าจะกลายเป็นเช่นไร” เมื่อพูดจนถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็ท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล
กานไท่ฮูหยินฟังแล้วก็รู้สึกว่าที่นางพูดมานั้นมีเหตุผล สีหน้าของนางพลันเคร่งขรึมขึ้นมา “แต่หากเกิดผิดใจกับทางจวนสกุลหยางเพราะเรื่องนี้เข้า…”
“เรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาดเจ้าค่ะ” แววตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความแน่วแน่
ก็จริง หากว่าไปมาหาสู่และคลุกคลีไปเป็นญาติกับอนุ ก็เท่ากับว่าตนได้สละสิทธิ์อำนาจการเป็นภรรยาเอกโดยปริยาย
กานไท่ฮูหยินก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และไม่ได้โน้มน้าวนางต่อ หันไปสั่งกับสาวใช้น้อยให้นำผ้าเช็ดหน้าธูปหอมวางลงข้างๆ หมอนอิงของสืออีเหนียง “มันเป็นกลิ่นดอกมะลิ เจ้าพักช่วงบ่ายสักครู่ แล้วค่อยไปคิดถึงเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นอีกทีก็ยังไม่สาย!”
สืออีเหนียงตั้งใจว่าจะกลับไปตอนดึกหน่อยอยู่แล้ว จึงไม่ได้เกรงใจแต่อย่างใด นางนอนพักบนเตียงเตาทั้งบ่าย ตกเย็นก็พากันคุยเรื่องร้านขายของมงคลสมรสของตนกับกานไท่ฮูหยิน “…ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กำไรมากมายเท่าไรนัก แต่ถือว่าได้ประกาศร้านไปในตัว ขุนนางในเมืองเยี่ยนจิงที่รู้ว่าพวกเราเป็นคนปักสัญลักษณ์มงคลให้กับในวังก็มีมาก จึงตามมาให้ที่ร้านช่วยปักเย็บและซ่อมแซมเสื้อผ้าอาภรณ์”
“ดีจริง!” กานไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “มีการค้าขายใหม่ ก็เท่ากับมีรายรับเพิ่มขึ้น!”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ดังนั้นข้าจึงให้อาจารย์เจี่ยนเป็นผู้ตัดสินใจเอง หากว่าราคาสมเหตุสมผล รับมาก็ไม่ได้ถือว่าเสียหายอะไร”
ทั้งสองคุยเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่ง หลังจากที่สืออีเหนียงทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยเดินทางกลับจวน