ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 384 บุปผาโบยบิน (ปลาย)
หลังจากที่ส่งเหล่าบรรดาอี๋เหนียงกลับไปแล้ว สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะกุมขมับ
ไม่รู้ว่าเฉียวเหลียนฝังกำลังคิดจะทำอะไร แต่นางทำเช่นนี้ก็พลอยแต่จะทำให้คนรอบข้างเห็นแล้วก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจไปตามๆ กัน
ตอนบ่ายหลังจากที่สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยทานอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวฮูหยินก็ได้มาหา
“ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะไม่ไป ดังนั้นข้าก็เลยมาหาเจ้า” นางยิ้มพร้อมกับนั่งลงบนเตียงเตาใหญ่ข้างๆ สืออีเหนียง
สืออีเหนียงรับถ้วยน้ำชาจากสาวใช้มาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าของโจวฮูหยิน “ที่นั่นคงจะคึกคักไม่น้อย!”
โจวฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “ทุกคนไปพร้อมหน้าพร้อมตา ขาดก็แต่เจ้าคนเดียว” จากนั้นนางก็ได้หันไปมองรอบๆ ห้อง แล้วจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แปลกใจว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นหยางอี๋เหนียงที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่เลย”
“นางอยู่ที่เรือนของนางเอง!” สืออีเหนียงตอบกลับ “ข้าให้เหวินอี๋เหนียงที่อยู่ที่นี่นานที่สุดเป็นคนดูแลนาง เพราะกลัวว่าข้ายังรู้จักกฎเกณฑ์เก่าแก่ของจวนสกุลสวีไม่ดีพอ”
โจวฮูหยินได้ยินแล้วก็เม้มปากยิ้ม “วิธีนี้ของเจ้าดีที่สุด เจ้าเองก็จะได้ไม่ต้องออกหน้าเองด้วย”
สืออีเหนียงรู้ว่าโจวฮูหยินเข้าใจผิดคิดว่าสืออีเหนียงต้องการยืมมือของเหวินอี๋เหนียงไปจัดการกับหยางอี๋หนียง แต่นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัว ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องโกลาหลใหญ่โต ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี นางจึงเพียงแค่ยิ้มตอบไปเท่านั้น จากนั้นก็ดันจานที่ใส่ผลท้อพันธุ์น้ำผึ้งไปไว้ตรงด้านหน้าของโจวฮูหยิน “เห็นบอกว่าได้มาจากอู๋ซี พี่หญิงโจวลองชิมดูเจ้าค่ะ”
โจวฮูหยินก็หยิบไม้เล็กเรียวแหลมเสียบหนึ่งชิ้นมาลองทาน ถามขึ้นว่า “หยางอี๋เหนียงของเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ”
สืออีเหนียงพูดขึ้นอย่างเป็นกลางและตรงไปตรงมาว่า “มีเสน่ห์น่าหลงใหล งดงามเป็นอย่างมาก”
โจวฮูหยินได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่าบุคลิกภาพและหน้าตาของสตรีสกุลหยางนั้นปานกลางไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย และข้าก็ไม่เชื่อว่าจะเลือกหาคนที่โดดเด่นเช่นนี้มาได้ คงจะไม่ใช่ญาติห่างๆ ที่ต้องการจะตะเกียกตะกายปีนป่ายที่สูงหรอกกระมัง” คำพูดแฝงไปด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชันเล็กน้อย แต่มองจากด้านข้างแล้วก็พิสูจน์ให้เห็นได้ว่าหยางอี๋เหนียงของจวนสกุลโจวมีใบหน้าที่โดดเด่นมากกว่า
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “เห็นว่าเป็นญาติห่างๆ ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงมิใช่หรือ”
“ใช้ได้ทีเดียว” โจวฮูหยินเม้มปากยิ้ม จากนั้นก็ได้ทานผลท้อพันธุ์น้ำผึ้งเข้าไปอีกชิ้น “จริงๆ แล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงขนาดนั้น!”
สืออีเหนียงอึ้งไปเล็กน้อย
โจวฮูหยินก้มหน้าก้มตาทานผลท้อพันธุ์น้ำผึ้งต่ออีกหลายคำ และไม่ได้พูดอะไรต่อ
สืออีเหนียงจึงได้เข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ จากนั้นก็ได้ให้บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติในห้องถอยออกไปจนหมด
โจวฮูหยินจึงค่อยๆ หันมามองสืออีเหนียงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “แม้แต่สามีของข้าก็ยังรู้เลยว่าแตะต้องหยางอี๋เหนียงไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยางอี๋เหนียงของจวนเจ้า…”
สืออีเหนียงไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าที่ประหลาดใจของตน
โจวฮูหยินเห็นแล้วก็ปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
สืออีเหนียงจึงค่อนข้างทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
โจวฮูหยินกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “คำพูดบางคำพูด ข้าก็พูดได้แค่กับเจ้าคนเดียวเท่านั้น” ใบหน้าของนางเผยให้เห็นสีหน้าที่กังวลใจ “หากไทเฮายังทรงอยู่ เหล่าบรรดานายท่านทั้งหลายก็จะคิดเพียงแค่ว่าได้สตรีผู้นี้มาได้อย่างไร ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์และสามารถที่จะช่วยเหลือตนได้ แต่หากไทเฮาไม่อยู่แล้ว เกรงว่าคงจะเป็นวันที่เราต้องรวบรวมจิตใจลุกขึ้นมาจัดการกับพวกนาง”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าคำพูดของโจวฮูหยินมีเหตุผล
หากไทเฮายังทรงอยู่ ทุกคนก็จะมีความยำเกรงต่อไทเฮา แม้ว่าทั้งสองตระกูลจะไม่พอใจแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถกระทำการใดๆ ต่อหยางอี๋เหนียงได้ แต่หากวันหนึ่งที่ไทเฮาไม่อยู่แล้ว กุหลาบที่ถูกเด็ดหนามแหลมคมออกไปเช่นหยางอี๋เหนียง จะเหยียบจะย่ำแค่ไหนก็ย่อมได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหล่าบุรุษมักจะเกิดความรู้สึกสงสารและเห็นอกเห็นใจ จึงกลายเป็นโอกาสที่ทำให้หยางอี๋เหนียงที่เหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่ กลับมามีโอกาสอีกครั้ง…
โจวฮูหยินเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร จึงได้เอ่ยเตือนนางว่า “แทนที่เจ้าจะคิดหาวิธีป้องกันสถานการณ์ของตอนนี้ สู้ไปคิดหาวิธีจัดการเหตุการณ์หลังจากที่ไทเฮาสวรรคตแล้วยังดีเสียกว่า!”
สืออีเหนียงเองก็อยากรู้มากเช่นกัน ว่าถึงเวลานั้นสวีลิ่งอี๋จะจัดการอย่างไร
จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้สั่งสาวใช้น้อยให้ไปหั่นผลท้อพันธุ์น้ำผึ้งมาใหม่ด้วยอาการใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
คุณนายสามสกุลหวงก็ได้มาหาพอดี
“ว่าแล้วเชียว ข้าก็ว่าทำไมที่งานขาดไปคนหนึ่ง ก็เลยทายว่าเจ้าจะต้องมาที่นี่” นางยิ้มพร้อมกับชี้ไปยังโจวฮูหยิน “เหตุใดถึงไม่เรียกข้าสักคำ!”
“เราสองคนจะพูดคุยความลับกัน แล้วจะให้เรียกเจ้ามาทำไม” โจวฮูหยินเอนตัวพิงกับหมอนอิงใบใหญ่ น้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยความสนิทสนม
คุณนายสามสกุลหวงไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่สาวใช้น้อยเตรียมมาให้ แต่กลับไปนั่งเบียดข้างๆ โจวฮูหยินแทนแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อว่า “ข้าลืมไปเสียสนิท ว่าพวกเจ้าทั้งสองเกี่ยวดองกันแล้ว ไม่เหมือนเช่นพวกข้า!”
โจวฮูหยินก็ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าให้บุตรสาวของเจ้าแต่งงานมาเป็นสะใภ้ของข้า ก็กลายเป็นว่าเจ้ากับสืออีเหนียงเกี่ยวดองกันแล้วไม่ใช่หรือ”
“เด็กกะโปโลของจวนข้า ขอแค่เจ้าพึงพอใจนางก็เป็นพอ” ทั้งสองพูดคุยหยอกล้อและหัวเราะกันไปมา บรรยากาศในเรือนจึงครึกครื้นขึ้นมาทันที
ทั้งคู่พากันคุยเล่นจนถึงต้นยามโหย่ว งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นแล้วจึงค่อยพากันเดินทางไป
ฉินอี๋เหนียงยังอยู่ที่เรือนของหยางอี๋เหนียง
“…น้องหญิงให้ตัวอย่างผ้าปักลายดอกเป่าเซียงแบบใหม่กับข้าด้วยได้หรือไม่” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ “ถึงเวลานั้นข้าจะทำถุงเท้าให้คุณชายน้อยห้าสักคู่”
หยางอี๋เหนียงรับปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ได้ไปเปิดกล่องหีบออก หยิบผ้าปักลายดอกไม้ต่างๆ ออกมาหนึ่งกองมอบให้กับฉินอี๋เหนียง
“งานเย็บปักถักร้อยของน้องหญิงฝึกกับใครมาหรือ” ฉินอี๋เหนียงเห็นแล้วก็แสดงสีหน้าที่แปลกใจออกมา “นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีผ้าปักแบบใหม่เยอะขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นลายผ้าปักที่มากมายถึงเพียงนี้ แม้แต่ของฮูหยินเองเกรงว่าก็ยังไม่มากเท่าของเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
“พี่หญิงอย่าพูดเช่นนี้เชียว” หยางอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้น “หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป…แม้ฮูหยินจะเป็นคนที่ใจกว้าง แต่ก็คงไม่อาจเลี่ยงการใส่สีตีไข่จากผู้อื่นได้ จะพลอยทำให้ทุกคนต่างก็ทุกข์ใจไปกันหมด!”
“เป็นข้าเองที่พูดจาผิดไป!” ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มด้วยสีหน้าที่ใสซื่อ จากนั้นก็เลือกลายผ้าปักไปจำนวนหนึ่ง “ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของข้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ข้าเลือกลายปักที่ง่ายก่อนแล้วค่อยมายืมลายปักแบบยากอีกที” จากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลากลับ
หยางอี๋เหนียงก็รีบลุกขึ้นตาม เดินออกไปส่งที่หน้าประตูด้วยตัวเอง
“ดูท่าแล้ว ฉินอี๋เหนียงผู้นี้ถือว่าเป็นคนที่ไร้เดียงสาและตรงไปตรงมา” ป้าหยางกำลังเก็บถ้วยชามที่ใช้รับแขกเมื่อครู่นี้
หยางอี๋เหนียงไม่ได้คิดเช่นนั้น นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไร้เดียงสาและตรงไปตรงมาอย่างนั้นหรือ ไร้เดียงสาและตรงไปตรงมาแล้วจะสามารถให้กำเนิดบุตรชายคนโตของตระกูลได้อย่างไรกัน”
ป้าหยางชะงักไปชั่วขณะ
หยางอี๋เหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ท่านช่วยข้านำตัวอย่างผ้าปักลายดอกเป่าเซียงแบบใหม่ไปให้เฉียวอี๋เหนียงหน่อย!” พูดจบนางก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “นางอยากจะเรียนปักผ้ากับข้ามิใช่หรือ เช่นนั้นก็เลือกไปหลายๆ ผืนหน่อย ให้นางฝึกปักผ้ากับข้าจนหนำใจ”
ป้าหยางได้ยินแล้วก็ขานรับและไปทำตามคำสั่งทันที
หยางอี๋เหนียงหันไปจ้องมองดอกพุทธรักษาสองดอกที่ยังตูมและกำลังรอเบ่งบานที่มุมห้องพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
ต้นไม้ใบหญ้าของจวนสกุลสวีเจริญเติบโตงอกงามและเขียวชอุ่มร่มรื่น เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ที่ห้องหน่วนฝังมีดอกไม้เบ่งบานทั้งสี่ฤดู หากเปรียบเทียบกันแล้ว ที่จวนเจี้ยนหนิงโหวใหญ่โตโอ่อ่ากว่ามาก แต่กลับขาดซึ่งความสำรวมอันสงบเสงี่ยมของขุนนางผู้ดีไป
จากนั้นก็ได้นึกถึงฉินอี๋เหนียงขึ้นมา…ได้ยินว่านางถูกโปรดปรานมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าช่วงก่อนหน้านี้เพราะเรื่องของคุณชายน้อยสองจึงทำให้ท่านโหวโกรธขึ้นมา จึงถูกเพิกเฉยและเย็นชาใส่ เช่นนี้ดูแล้วท่านโหวก็คงจะเป็นคนที่มั่นคงในความรู้สึก เมื่อนึกถึงจวนเจี้ยนหนิงโหว อนุภรรยาที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไปก็จะต้องอยู่เฝ้าเรือนที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างคนเดียว…
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา หยางอี๋เหนียงก็ได้ไปนำถุงเท้าที่ปักเสร็จแค่ครึ่งเดียวมาปักต่อ
หากว่าสามารถทำถุงเท้าที่หรูหราและสวยงามมากกว่าคู่ของเหวินอี๋เหนียงได้ ถึงเวลานั้นก็จะสามารถมอบให้กับสืออีเหนียง!
แต่ฉินอี๋เหนียงกลับนำลายผ้าปักตรงไปยังเรือนของคุณชายสาม
อี้อี๋เหนียงของคุณชายสามกำลังนั่งปักผ้าอยู่บนเตียงเตา เมื่อเห็นว่าฉินอี๋เหนียงมาหา นางก็ได้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเชื้อเชิญให้ฉินอี๋เหนียงนั่ง “เชิญเจ้านั่งเถิด” จากนั้นนางก็ได้ปักผ้าต่อจนเส้นด้ายเส้นนั้นหมดไป ถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา
“เหลือแค่แขนเสื้อข้างเดียวก็จะเสร็จแล้ว!” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาฟังดูค่อนข้างหวาดระแวง ราวกับว่าหากพูดเสียงดังไปจะทำให้ผู้อื่นตกใจอย่างไรอย่างนั้น “ฮูหยินสี่เร่งเจ้าแล้วหรือยัง”
“ก็ไม่ได้ถึงขั้นเร่งหรอก” ฉินอี๋เหนียงหันไปยกกาน้ำชาลายครามขึ้นมารินน้ำชาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งรินให้อี้อี๋เหนียง ส่วนอีกถ้วยรินให้ตนเอง ดูออกได้อย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่ธรรมดา “ฮูหยินก็แค่ต้องการใช้วิธีนี้เพื่อที่จะขังข้าอยู่แต่ในเรือน คุณชายน้อยห้าจำเป็นต้องรอใส่เสื้อผ้าที่ข้าเย็บหรืออย่างไรกัน” นางพูดขึ้นพลางหยิบผ้าปักลายดอกเป่าเซียงออกมาจากแขนเสื้อ “เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้าง หยางอี๋เหนียงเป็นคนออกแบบเอง เจ้าช่วยข้าดูหน่อย ข้าอยากจะฝึกปักลายนี้”
“ทำไมหรือ!” อี้อี๋เหนียงหยิบผ้าปักออกมาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน “ลายดอกนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อน แต่สีออกจะฉูดฉาดไปหน่อย หากปักลายดอกไม้เหล่านี้ลงบนเสื้อและกระโปรงของฮูหยิน ก็จะเหมือนการเติมแต่งลายบุปผาลงบนผ้าดิ้น แต่หากว่าเรานำไปใช้เองล่ะก็…”
ฉินอี๋เหนียงจึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อี้อี๋เหนียงฟัง “…ถึงเวลานั้นข้าก็จะเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในเรือน จึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะปฏิเสธเจอแขกที่มาเยือนข้า และจึงจะมีข้ออ้างที่จะไปมาหาสู่กับหยางอี๋เหนียงอย่างไรเล่า!”
อี้อี๋เหนียงจึงค่อยเข้าใจขึ้นมา “ดังนั้นจึงจะต้องหาเหตุผลที่จะอยู่แต่ในเรือน แม่เฒ่าจูของสำนักชีบอกแล้วว่าจะต้องท่องบทสวดเจ็ดวันเจ็ดรอบร่วมสี่สิบเก้าวันอย่างต่อเนื่องถึงจะได้ หากมีการขาดช่วงไปก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่างเราไม่ได้เป็นคนที่จะสามารถทำอะไรได้อย่างอิสระ แล้วจะท่องบทสวดเวลาเดิมทุกๆ วันได้อย่างไรกัน หากสามารถใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างได้ ดีกว่าเหตุผลอื่นเป็นไหนๆ ส่วนทางฝั่งหยางอี๋เหนียง พี่หญิงฉินเองก็ควรจะสนิทสนมให้น้อยลงหน่อย จะได้ไม่ต้องถูกผู้อื่นเข้าใจผิดเอา”
“ข้ารู้” ฉินอี๋เหนียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าก็แค่หาแผนสำรองกันไว้ก่อนก็เท่านั้น” พูดจบก็แสดงสีหน้าลังเลใจออกมา “แม่เฒ่าจูของสำนักชีผู้นั้นเชื่อถือได้หรือไม่”
“เหตุใดจะเชื่อถือไม่ได้เล่า!” อี้อี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ตอบกลับเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าติดตามฮูหยินสามอยู่ที่จวนสกุลเดิม คุณนายห้าสกุลกานเองก็เชิญแม่เฒ่าจูสำนักชีคนนี้ ต่อมามารดาของฮูหยินสามก็ได้เชิญแม่เฒ่าจูสำนักชีคนนี้…มิเช่นนั้นข้าจะรู้จักนางได้อย่างไรกัน! อีกอย่างนางเก็บเงินเจ้าไปตั้งห้าร้อยตำลึงโดยที่ไม่เกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว”
ฉินอี๋เหนียงจึงพยักหน้าเห็นด้วย
ตกค่ำขณะที่กำลังไปคารวะสืออีเหนียงนั้น นางก็ได้นำแบบผ้าปักลายดอกไม้ลายนั้นออกมาให้สืออีเหนียงดู “…ข้าเองก็ไปขอตัวอย่างผ้าปักจากหยางอี๋เหนียงมาสองแบบ จะลองปักถุงเท้าให้คุณชายน้อยห้าก่อนสักคู่ หากว่าฮูหยินเห็นว่าสวย ค่อยปักให้ท่านอีกคู่”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วสีหน้าของนางเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
สืออีเหนียงได้บอกปฏิเสธอย่างรักษาน้ำใจไปว่า “…คุณชายน้อยห้าอายุยังน้อย ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้!”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น สวีลิ่งอี๋ก็ได้กลับมาถึงพอดี
พอรู้ว่าเป็นลายผ้าปักแบบใหม่ของหยางอี๋เหนียง เขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร หยิบผ้าปักมาดูอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็คืนให้กับฉินอี๋เหนียง แล้วจึงหันไปสั่งให้สืออีเหนียงมาช่วยตนเปลี่ยนชุด
เมื่อเหล่าบรรดาอี๋เหนียงเห็นแล้วก็พากันถอยออกไป
ฉินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงต่างก็พากันเริ่มฝึกปักถุงเท้าลายดอกเป่าเซียง
ชั่วเวลาหนึ่ง จวนสกุลสวีต่างก็พากันนิยมสวมใส่ถุงเท้าลายดอกเป่าเซียงกันถ้วนหน้า
แต่สืออีเหนียงกลับไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เท่าไรนัก
ส่วนทางฝั่งหลานถิงก็มีข่าวดีว่านางได้ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน สืออีเหนียงสั่งช่างตีกำไลทองส่งไปให้เนื่องในโอกาสเด็กน้อยครบหนึ่งเดือนโดยเฉพาะ วันที่แปดเดือนสี่ วันคล้ายวันประสูติของพระพุทธเจ้า สืออีเหนียง ฮูหยินสองและฮูหยินห้าก็ได้เป็นเพื่อนไท่ฮูหยินกราบไหว้ที่วัดเย่าหวัง จากนั้นก็ค่อยเริ่มจัดเตรียมงานวันเกิดให้กับไท่ฮูหยิน แต่เพราะสืออีเหนียงยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ภายใต้ความมุ่งมั่นของไท่ฮูหยิน จึงเชื้อเชิญแค่ญาติสนิทมิตรสหายเท่านั้น จัดโต๊ะกินเลี้ยงในสวนดอกไม้เพียงแค่สิบโต๊ะ ช่วงบ่ายก็มีการแสดงร้องรำทำเพลงอยู่ครึ่งค่อนวัน พอถึงช่วงกลางเดือนห้า ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้แต่งงานออกเรือน เมื่อถึงกลางเดือนหก การฟ้องร้องคดีของจวนสกุลกานก็สิ้นสุดลงในที่สุด พี่ใหญ่ของหลานถิงก็คือผู้ปกครองจงฉินปั๋วคนปัจจุบัน นอกจากที่นาที่ใช้สักการบูชาและบ้านเรือนที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้แล้ว ในส่วนอื่นๆ ก็ถูกแบ่งตามสัดส่วนให้ทุกคนในตระกูลอย่างเท่าเทียมกัน
บิดาของฮูหยินสามบอกว่าตอนนั้นตื้นตันใจจนน้ำตาไหลท่วมใบหน้า จึงได้ตัดสินใจซื้อเรือนในเมืองและย้ายเข้าไปอยู่ทันที
“…ดังนั้นช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ในเรือนถึงได้วุ่นวายไปหมด คนหนึ่งโวยวายว่าของหายหาไม่เจอ ส่วนอีกคนก็โวยวายว่าจะไม่เอาของแล้ว แต่ละคนกำลังวุ่นวายกับการย้ายบ้าน” กานไท่ฮูหยินยกน้ำแกงซวนเหมยมาให้สืออีเหนียง “อาหารที่มีฤทธิ์เย็นเช่นถั่วเขียวเจ้าควรทานให้น้อยหน่อยจะดีกว่า”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ นางเอนตัวพิงหมอนอิงที่เย็บจากผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดบนเตียงหลัวฮั่นพลางจิบน้ำแกงซวนเหมยอย่างช้าๆ คุยเรื่องทั่วไปกับกานไท่ฮูหยิน “เรื่องการฟ้องร้องคดีนี้ จงฉินปั๋วเองก็เหนื่อยไม่น้อย ตอนนี้คดีมีการพิพากษาผ่อนโทษ…เขายังสบายดีอยู่หรือไม่”