ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 381 ปลายฤดูใบไม้ผลิ (ปลาย)
เก็บเงินมาเท่าไรก็ทำให้เท่านั้น ครั้งที่แล้วเพียงแค่ทำพิธีอวยพรให้คุณชายน้อยสองเท่านั้น จี้หนิงกลับเก็บเงินนางตั้งสามสิบตำลึง ครั้งนี้นางขอจี้หนิงช่วยขจัดปัดเป่าผู้คนที่มาบดบังถนนหนทางของตน จี้หนิงกลับเก็บนางแค่ห้าตำลึงเท่านั้น เห็นชัดว่าจี้หนิงไม่อยากช่วยทำ
ดูท่าแล้ว เกรงว่าคงจะต้องคิดหาวิธีอื่น
ฉินอี๋เหนียงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด แต่นางกลับระงับโทสะไว้ไม่แสดงออกมา
จี้หนิงเป็นไต้ซือที่ดูแลวัดฉือหยวน คนที่เข้าออกที่วัดแห่งนี้ล้วนเป็นเหล่าบรรดาฮูหยินของขุนนางระดับสูงทั้งนั้น ที่ไปมาหาสู่กับนางก็เพราะเห็นแก่นางที่ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนโตของจวนหย่งผิงโหว
นางจึงหันไปสั่งกับชุ่ยเอ๋อร์ไปนำเงินห้าตำลึงมาให้จี้หนิง “เช่นนั้นก็รบกวนท่านอาจารย์ช่วยข้าทำพิธีสักรอบก็แล้วกัน!” เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นค่อนข้างฝืนและไม่เป็นธรรมชาติเท่าไรนัก
จี้หนิงเห็นแล้วก็แอบหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ได้เก็บเงินและอยู่คุยกับฉินอี๋เหนียงครู่หนึ่ง จึงค่อยลุกขึ้นขอตัวลาเพื่อไปหาสืออีเหนียงต่อ
“…เห็นว่าหลายวันมานี้ไม่ค่อยสบาย เอาแต่ป่วยออดๆ แอดๆ ไม่ค่อยราบรื่น นางก็เลยให้ข้าไปช่วยทำพิธีกรรมให้” จี้หนิงอธิบายให้สืออีเหนียงฟังด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ทุกคนต่างก็พากันพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับทางเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วนั้นสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก นางเองก็จนใจ ฮูหยินทั้งสองมักจะเรียกตัวนางให้ไปคุยด้วยอยู่บ่อยครั้ง นางจะไม่ไปได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ไทเฮาก็ยังทรงมีพระพรรษาไม่มากนัก ไม่แน่พระนางอาจจะทรงมีพระพรรษายืนยาวกว่านางก็ว่าได้ เรื่องภายภาคหน้าก็ให้คนภายภาคหน้าเป็นกังวลใจก็แล้วกัน นางเองก็ไม่ได้นำมาใส่ใจเท่าไรนัก แต่ตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้วไทเฮาก็ทรงประชวรอย่างหนัก นางจึงแอบลองทำนายในใจเงียบๆ แต่ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะศรัทธาในศาสนาพุทธ แต่ก็ไม่เหมือนเช่นเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วสองตระกูลนี้ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็มักจะคอยทำนายดวงอยู่เสมอ ส่วนสืออีเหนียงที่ดูเป็นคนขี้เกรงอกเกรงใจ แต่ภายในกลับดูสุขุมลุ่มลึก ไม่รู้ว่านางมีอาจารย์ที่เคารพนับถืออยู่แล้ว หรือเป็นเพราะไม่ค่อยเชื่อใจในตน และฮูหยินห้าที่ในตอนแรกสนิทสนมกับตนที่สุด ตั้งแต่ที่ซินเจี่ยเอ๋อร์มีแม่หมอมาอยู่ข้างๆ ความสนิทสนมนี้ก็ค่อยๆ เหินห่างขึ้นเรื่อยๆ ไม่เป็นดังเช่นเมื่อก่อน ภายใต้ความคลุมเครือนี้ ความใกล้ชิดระหว่างนางและคนจวนสกุลสวีก็ยิ่งอยู่ยิ่งเหินห่างเช่นกัน ช่วงเวลาก่อนจะสิ้นปีของทุกๆ ปีนางมักจะทำกระดาษเซ่นไหว้สีเหลืองหรือวัตถุมงคลอะไรทำนองนี้มาเยี่ยมเองถึงที่จวน และก็ถือโอกาสนี้ไปเก็บค่าธูปเทียนของปีที่แล้ว เพราะเรื่องนี้จึงไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบจนเกินไป นึกไม่ถึงว่าทางจวนสกุลสวีจะมาขอวัตถุมงคลกับนางเสียก่อน พร้อมกับมอบค่าธูปเทียนให้ในคราวเดียว จากนั้นทางเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วก็ได้ส่งคนมาเชื้อเชิญนางไปช่วยทำพิธีกรรมที่เรือน นางจึงได้รู้เรื่องอะไรบางอย่างเข้า…จี้หนิงยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวถึงผลที่จะตามมาในวันข้างหน้า จึงอยากที่จะหนีห่างจากเรื่องนี้ให้เร็ววัน แต่ก็ไม่กล้าจะออกตัวกะทันหันจนผิดสังเกต จึงรอสบโอกาสที่จะได้พูดคุยกับสืออีเหนียง จนนางได้พบกับไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้าและฮูหยินสองแล้ว ก็ยังไม่ได้พบกับสืออีเหนียงเสียที ขณะที่นางกำลังร้อนใจอยู่นั้น ก็ได้ยินมาว่าฉินอี๋เหนียงต้องการจะเจอนาง นางจึงได้มีความหวังใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง รีบเปลี่ยนชุดและเดินทางมาพร้อมกับคนส่งข่าวเลย
สืออีเหนียงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากเท่าไรนัก เพราะหนึ่งคือนางเชื่อใจว่าการที่จี้หนิงสามารถดูแลวัดฉือหยวนยาวนานมาจนถึงตอนนี้ได้ แน่นอนว่าไม่ใช่คนที่โง่เขลาไม่ทันคนอยู่แล้ว การที่ฉินอี๋เหนียงต้องการจะให้นางทำเรื่องที่เสี่ยงนั้น เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สองคือตอนนั้นจวนสกุลหยางยินยอมที่จะทำตามข้อเสนอของฝ่าบาท ให้บุตรีทั้งสองที่อบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูด้วยความยากลำบากแต่งเข้าจวนองค์หญิงฝูเฉิงและจวนหย่งผิงโหว แน่นอนว่าจะต้องมีเจตนาแอบแฝงอย่างแน่นอน และจี้หนิงเองก็ได้ไปมาหาสู่กับจวนสกุลหยางมาโดยตลอด การที่จี้หนิงมาหาเร็วขนาดนี้ สืออีเหนียงจึงแค่อยากรู้ว่าการแสดงครั้งนี้จี้หนิงมีบทบาทอะไร
จี้หนิงเดินเข้าประตูมาทักทายนาง หลังจากที่ออกจากเรือนของฉินอี๋เหนียงก็ตรงดิ่งมาอธิบายเหตุการณ์ความเป็นมากับสืออีเหนียงทันที เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวนางจะหาข้ออ้างไปเจอหยางอี๋เหนียงต่อหรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สืออีเหนียงก็ได้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็รบกวนไต้ซือจี้หนิงแล้ว ฉินอี๋เหนียงเองก็ไม่ได้มีงานอดิเรกอื่นใด นางชอบก็แต่กราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์”
ถึงแม้ว่าจี้หนิงจะสนิทสนมกับฮูหยินของจวนหย่งผิงโหว แต่ก็ไม่เคยคิดจะล่วงล้ำไปข้องเกี่ยวกับเรื่องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นภายในจวน
นางและสืออีเหนียงพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พากันชมการออกแบบของขอบหน้าต่างของห้องชั้นใน แล้วจึงพูดถึงวันแปดค่ำเดือนสี่ วันประสูติพระพุทธเจ้า “…ในทุกๆ ปีไท่ฮูหยินมักจะเดินทางไปที่วัดเย่าหวัง นั่นก็เพื่อคุณชายสองที่จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านโหวว่างเว้นจากงานราชสำนัก ไท่ฮูหยินก็คงจะไปกราบไหว้บูชาให้ท่านโหวแทน เพียงแต่ว่าที่วัดข้านั้นกราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม มิเช่นนั้น ก็จะเชื้อเชิญไท่ฮูหยินไปกราบไหว้ที่วัดของเราแทน”
ไม่ได้แนะนำวัดฉือหยวนโดยตรง เป็นการคิดแทนที่แฝงไปด้วยความจงรักภักดีต่อสกุลสวี สืออีเหนียงแอบพยักหน้าเบาๆ ในใจอีกครั้ง
*****
แสงแดดที่อบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิสาดกระทบลงบนสันหลังคาเรือนเล็กฝั่งทิศตะวันออกของจวนหย่งผิงโหว ภายใต้เงาแสงแดดของหลังคา ป้าหยางกำลังก้มลงไปพูดคุยกับสาวใช้น้อยที่อายุราวเจ็ดแปดขวบเห็นจะได้ นางยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้ให้เหรียญทองแดงไปจำนวนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนน้ำใจ แล้วจึงค่อยเปิดม่านกลับเข้าไปในเรือน
หยางอี๋เหนียงกำลังนั่งเย็บรองเท้าอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง
“คุณหนู…เอ่อ…อี๋เหนียง” นางรีบเปลี่ยนคำเรียก “เมื่อครู่นี้บ่าวได้ยินมาว่าฉินอี๋เหนียงเชื้อเชิญไต้ซือจี้หนิงที่วัดฉือหยวนมา นางพึ่งจะออกจากเรือนของฉินอี๋เหนียงแล้วจึงค่อยไปหาฮูหยินเจ้าค่ะ” นางส่งสายตาให้กับหยางอี๋เหนียงเพื่อบอกเป็นนัยด้วยความกังวลใจ
หยางอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “เช่นนั้นหรือ!” น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก ฝีเข็มที่เย็บรองเท้ากลับเร็วขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้อยู่หน่อยหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
ป้าหยางเงยหน้าขึ้นมามองสาวใช้น้อยที่ยืนอยู่มุมห้อง ก็เข้าใจได้ในทันที จากนั้นนางก็ได้เดินไปรินน้ำชาให้หยางอี๋เหนียงด้วยตนเอง แล้วจึงค่อยหันไปสั่งกับสาวใช้ว่า “เจ้าไปดูที่ห้องครัวหน่อย ว่าทำอาหารเสร็จแล้วหรือยัง!”
สาวใช้น้อยขานรับและถอยออกจากห้องไป หยางอี๋เหนียงจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ “ป้าหยางห้ามไปเจอไต้ซือจี้หนิงโดยเด็ดขาด!” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “หากท่านลุงมีเรื่องอันใด ก็จะต้องคิดหาวิธีมาบอกข้าอย่างแน่นอน แต่เราห้ามไปสนิทสนมกับใครหรือส่งข่าวกลับจวนสกุลหยางโดยพลการอย่างเด็ดขาด เกิดเรื่องแดงขึ้นมา รอบข้างล้วนเป็นคนสกุลสวีทั้งนั้น เราจะให้ผู้อื่นมาล่วงรู้จุดอ่อนของเราไม่ได้”
ป้าหยางได้ยินแล้วก็เกิดลังเลขึ้นมา “แต่ท่านโหว…”
“ท่านโหวไม่มาที่เรือนข้า แล้วข้าจะต้องไปฟ้องท่านลุงของข้าหรืออย่างไรกัน หากคนอื่นได้ยินเข้า มีแต่จะหัวเราะเยาะว่าข้าไม่มีปัญญา อีกอย่างหากท่านโหวเห็นแก่หน้าท่านลุงแล้วฝืนมาที่เรือนข้า แล้วข้าจะให้กำเนิดบุตรชายได้หรือ และถึงแม้ว่าข้าจะโชคดีสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ แล้วข้าจะสามารถเลี้ยงดูปกป้องเขาจนเติบใหญ่ได้หรือ ถูกโปรดปรานแค่ชั่วคราวแต่ไม่สามารถรับประกันทั้งชีวิตได้ มาแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า”
“แต่คนในจวน…”
“พวกนางอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้พวกนางพูดไป!” หยางอี๋เหนียงไม่ได้คิดเหมือนเช่นป้าหยาง แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่แล้วแววตานั้นก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว “ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร คนที่มีสิทธิ์มีเสียงโวยวายไม่พอใจ มักเป็นผู้ชนะเสมอ”
ป้าหยางเงียบงันไม่ได้พูดอะไรต่อ
หยางอี๋เหนียงหันไปหยิบชายกระโปรงที่ปักด้วยลายผีเสื้อบินเหนือดอกท้อและดอกบ๊วยที่ยาวประมาณหนึ่งฉื่อออกมาจากตะกร้าหวายที่ตั้งอยู่ข้างๆ “ป้าหยางช่วยข้าเย็บชายตะเข็บที!”
ป้าหยางขานรับพร้อมกับรับผ้าไปนั่งปักที่เก้าอี้เล็กข้างเตียงเตา จากนั้นก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “อี๋เหนียง ท่านมีเวลาช่วยเหวินอี๋เหนียงเย็บชายกระโปรงผ้าไหมเช่นนี้ สู้เอาเวลาไปมาหาสู่กับฮูหยินหรือช่วยฮูหยินทำกระโปรงผ้าไหมสักตัวเสียยังดีกว่า อย่างไรเสียก็ยังดีกว่าเอาเวลาเหล่านี้มาเสียให้กับอี๋เหนียงที่ไม่ได้ถูกโปรดปรานแล้ว” พูดจบนางก็หยุดฝีเข็มลงแล้วหันไปมองหยางอี๋เหนียง “วันยี่สิบสี่เดือนสี่ก็เป็นวันเกิดของไท่ฮูหยินแล้ว ได้ยินมาว่าปีที่แล้วฮูหยินลงมือทำรองเท้าถุงเท้าและเสื้อผ้าให้ไท่ฮูหยินด้วยตนเอง ต่อหน้าฮูหยินอี๋เหนียงก็ควรกระตือรือร้นและมีไมตรีจิตให้มาก ไม่แน่บางทีฮูหยินอาจจะมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับอี๋เหนียงก็ได้นะเจ้าคะ!”
“ป้าหยาง คำพูดนี้ของเจ้าก็ไม่มีเหตุผลแล้ว” หยางอี๋เหนียงจ้องมองไปยังผ้าปักที่อยู่ในมือของป้าหยางพลางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ในเมื่อฮูหยินมอบหมายให้เหวินอี๋เหนียงเป็นคนดูแลข้า ข้าก็ควรเคารพเหวินอี๋เหนียงให้เหมือนกับการเคารพฮูหยินก็สิ้นเรื่อง ทำรองเท้าถุงเท้า ตักน้ำรินน้ำชา นี่ถึงจะเป็นการรักษาหน้าที่ของตน จะไปแสดงความเคารพต่อฮูหยินเกินหน้าเกินตาเหวินอี๋เหนียงได้อย่างไรกัน เช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เหวินอี๋เหนียงเกิดความไม่พอใจในตัวข้า ฮูหยินก็พลอยจะรู้สึกว่าข้าเร่งรีบจนเกินไป ส่วนเรื่องที่ฮูหยินเย็บปักถักร้อย คนในจวนที่เย็บปักถักร้อยมีตั้งมากมายก่ายกอง โรงเย็บปักถักร้อยเล็กใหญ่ของเมืองเยี่ยนจิง ช่างปักเย็บของวังถูกคัดเลือกจากทั่วทั้งทิศเหนือจนไปถึงทิศใต้ เป็นไปได้หรือว่าจะไม่มีผู้ใดมีฝีมือเทียบเท่ากับฮูหยินเลยสักคน สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่การแสดงความกตัญญูต่อไท่ฮูหยินเท่านั้น นางปักใบไม้แค่ใบเดียวก็มีค่ากว่าการที่ข้าปักดอกไม้ทั้งดอกอยู่ดี ต่อไปคำพูดที่ไม่รู้จักที่สูงต่ำเหล่านี้อย่านำมาพูดอีก” จากนั้นก็ได้สั่งกับป้าหยางว่า “รีบเย็บกระโปรงผืนนี้ให้เสร็จ เหวินอี๋เหนียงสามารถใส่ไปคารวะฮูหยินได้ จึงจะถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของข้า”
ป้าหยางแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเย็บตะเข็บชายกระโปรงต่อ
*****
เหวินอี๋เหนียงยิ้มพร้อมกับจ้องมองไปยังกาน้ำชาลายดอกท้อในมือที่สวีลิ่งอี๋มอบให้ด้วยสีหน้าชื่นชม “น้องหญิง มานั่งดื่มชาด้วยกันสักถ้วย”
เฉียวเหลียนฝังขานรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างข้างๆ เหวินอี๋เหนียง
ชิวหงยกน้ำชาและอาหารว่างเข้ามาให้ด้วยตัวเอง
ทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง เหวินอี๋เหนียงก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหตุใดวันนี้น้องหญิงเฉียวถึงมีเวลาว่างมาเที่ยวหาข้าได้”
เฉียวเหลียนฝังยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาแค่ว่ากำลังทาสีเรือน แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพี่หญิงเหวินที่ย้ายมาอยู่เรือนเดิมของคุณชายน้อยสอง ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจมาเยี่ยมโดยเฉพาะ” พูดจบนางก็ให้ซิ่วหยวนนำภาพวาดหมึกจีนที่นางวาดเองมาเป็นของขวัญแทนคำอวยพร จากนั้นก็มองสังเกตทั่วทั้งเรือน “พอต่อเติมซ่อมแซมแล้ว ดูดีกว่าเรือนเดิมของพี่หญิงเสียด้วยซ้ำ”
เหวินอี๋เหนียงให้ชิวหงนำภาพวาดไปเก็บ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่ก็ล้วนเป็นความคิดของฮูหยินทั้งนั้น หากว่าไปตามนิสัยใจคอของข้า อยู่ที่ไหนก็เหมือนๆ กัน”
“ดังนั้นทุกคนถึงบอกว่าพี่หญิงเป็นคนใจกว้าง” เฉียวเหลียนฝังยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ฮูหยินถึงได้มอบหมายหยางอี๋เหนียงให้พี่หญิงดูแลและชี้แนะอย่างไรเล่า”
“น้องหญิงชมเกินไปแล้ว” เหวินอี๋เหนียงไม่อยากจะลงลึกถึงรายละเอียดกับเฉียวเหลียนฝัง จึงชี้ไปยังของว่างที่อยู่ในจานพร้อมกับชวนให้นางทานเยอะๆ “นี่คือขนมเปี๊ยะดอกเบญจมาศ นี่คือขนมกุ้ยฮวา…” เหวินอี๋เหนียงแนะนำขนมแก่นางไปหลายอย่าง ไม่ขาดไปแม้แต่อย่างเดียว
เฉียวเหลียนฝังตอบกลับตามมารยาท จากนั้นก็ได้ถามถึงเรื่องหยางอี๋เหนียงขึ้นมา “…ได้ยินว่านางมาชวนพี่หญิงไปคารวะฮูหยินทุกเช้าค่ำเลยหรือ”
เหวินอี๋เหนียงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฮูหยินมอบหมายนางให้กับข้า กฎเกณฑ์บางอย่างข้าก็ควรจะบอกกล่าวให้รู้และเข้าใจจึงจะถูก มิเช่นนั้น เกิดนางเสียมารยาทขึ้นมา แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็เม้มปากยิ้มขึ้น “หากนางเสียมารยาท ก็เป็นเพราะนางขาดคุณสมบัติผู้ดี จะมาโทษพี่หญิงได้อย่างไรกัน รอบตัวพี่หญิงไม่รู้ว่ามีสาวใช้และป้ารับใช้มากมายตั้งเท่าไร แต่มีแค่ชิวหงคนเดียวที่เฉลียวฉลาดหัวไวและเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เช่นนั้นเท่ากับว่าพี่หญิงไม่ได้ตั้งใจอบรมสอนสั่งพวกนางอย่างสุดความสามารถหรืออย่างไรกัน มันเป็นเพราะคนเหล่านั้นขาดซึ่งคุณสมบัติผู้ดีจนเกินไป ฮูหยินเองก็คงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงมอบหมายให้พี่หญิงมาสอนสั่งและชี้แนะด้วยเล่า หยางอี๋เหนียงผู้นั้นเป็นคนที่ไทเฮาทรงพระราชทานเชียวนะ” พูดจบนางก็ยืดตัวตรงพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “พี่หญิง จวนของเราจะมีกฎเกณฑ์สำคัญแค่ไหน แต่จะไปสำคัญสู้ในวังได้อย่างไรกัน ฮูหยินกำลังเคลื่อนไหว มีนัยแอบแฝงอย่างแน่นอน เรื่องบางเรื่องพี่หญิงควรจะช่วยแบ่งเบาฮูหยินถึงจะถูก ในเมื่อเข้าจวนมาแล้ว ท่านโหวก็คงจะไม่ให้นางขึ้นเกี้ยวแล้วส่งนางกลับอย่างแน่นอน ฮูหยินกำลังจะจุดเพลิงไฟ ก็ควรจะต้องมีฟืนถึงจะถูก!”
คำพูดของนางกำลังบอกเป็นนัยว่าที่ฮูหยินมอบหมายหยางอี๋หนียงให้เหวินอี๋เหนียงดูแล ก็เพราะจะยืมมือของเหวินอี๋เหนียงไปจัดการหยางอี๋เหนียงต่างหาก