ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 378 บุปผาหอมกรุ่น (ปลาย)
กลางคืนหลังจากที่ส่งซุ่นอ๋องกลับไปแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็ได้พูดขึ้นว่า “ซุ่นอ๋องผู้นี้ อาจจะดูตลกขบขัน แต่การกระทำสุขุมและหนักแน่นเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นฝ่าบาทคงจะไม่ให้เขามาดูแลกรมราชกิจภายในอย่างแน่นอน เขาและข้ารู้จักกันเป็นการส่วนตัว และเขาก็รู้นิสัยใจคอข้าเป็นอย่างดี ในเมื่อรู้สึกว่าสามารถทำการค้านี้ได้ ก็คงจะไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรง ร้านของเจ้าเพิ่งจะเปิด ได้ค้าขายเช่นนี้บ้างเป็นครั้งคราว จะมากจะน้อยก็ถือว่าได้ซื้อขาย”
ความหมายของคำพูดสวีลิ่งอี๋ก็คือให้ค้าขายตามการดูแลของซุ่นอ๋อง ถือว่าสามารถนำมาพิจารณาได้
สืออีเหนียงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
ในเมื่อสนิทกันตั้งแต่เด็ก ก็คงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ซุ่นอ๋องรู้ดีว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ชอบให้คนรอบข้างมีความเกี่ยวข้องกับกรมราชกิจภายใน แต่เขากลับแนะนำการค้านี้ให้ตนต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ คงเพราะมั่นใจว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน หากนึกไปถึงช่วงก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะทำงานอยู่ข้างนอกตลอด แต่ซุ่นอ๋องกลับแสดงท่าทีที่หยอกล้อออกมา ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนพูดน้อย แต่กลับแฝงไปด้วยความห่วงใย สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขาเองรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก และสงสัยว่าการค้าขายครั้งนี้เขาเองได้มีการช่วยฝากฝังและบอกกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
ทำการค้ากับกรมราชกิจภายใน สิ่งที่ต้องอาศัยก็คือความสัมพันธ์ ขอเพียงแค่มีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่กว้างขวางมากพอ ก็จะสามารถดำเนินการค้าได้อย่างราบรื่นแน่นอน มีคนมากมายขนาดไหนยินดีที่จะเสียเงินก้อนนี้ยอมขาดทุนก่อนเพื่อที่จะสามารถเบิกเส้นทางการค้าเล็กๆ เส้นนี้ได้ จากนั้นก็ค่อยๆ ปีนป่ายทีละขั้น ค่อยๆ ยึดครองทีละนิดทีละหน่อย กลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุด ตัวอย่างเช่นหยวนเหนียงและเหวินอี๋เหนียงก็มีให้เห็น แล้วเหตุใดสวีลิ่งอี๋จะปล่อยให้เรื่องเดิมๆ ผิดพลาดอีกด้วยเล่า
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงคิดว่าตัวเองคงจะคิดมากจนเกินไป
แต่ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นเช่นไร ทั้งซุ่นอ๋องและสวีลิ่งอี๋ก็ล้วนแล้วแต่มีเจตนาที่ดีทั้งนั้น นางจึงยิ้มพร้อมกับอธิบายขึ้นว่า “เมื่อรับปากมาแล้ว ก็ควรทำให้เต็มที่ที่สุด มิเช่นนั้นถึงเวลาจะผิดเจตนาที่หวังดีของซุ่นอ๋องเอาได้ สู้ใช้เวลาไปใส่ใจรายละเอียดของสินค้า พิจารณาไตร่ตรองให้ละเอียดรอบคอบด้วยความระมัดระวังเสียยังดีกว่า”
ความหมายของนางก็คือ ‘ปฏิบัติต่อกันด้วยความซื่อสัตย์ รักษาสัจวาจาด้วยความจริงใจ’ กระมัง
สวีลิ่งอี๋ที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินแล้ว ก็หันไปจ้องมองสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม
จู่ๆ ก็นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เจอกับสืออีเหนียงเป็นครั้งแรก
นางยังคงสุขุมและนิ่งสงบเหมือนดังเช่นตอนนั้นไม่มีผิด หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขากลัวว่าจะมีคนบุกเข้ามาในเรือน เกรงว่าคงจะไม่สังเกตเห็นการมีตัวตนของนางเสียด้วยซ้ำ
เมื่อลองตั้งใจคิดพิจารณาดีๆ ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับความไม่ยุติธรรมของนายหญิงใหญ่หรือจะเป็นความเห็นแก่ตัวของพี่สะใภ้สาม ไม่ว่าจะเป็นบ่าวรับใช้ที่ขาดคุณธรรมหรือจะเป็นอนุที่ทะเลาะเบาะแว้งชิงดีชิงเด่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความเย็นชาของตนหรือจะเป็นการประจบประแจงของหลี่ฮูหยิน รวมไปถึงบ่าวรับใช้เก่าแก่ที่ติดตามหยวนเหนียงมาตั้งแต่สมัยแต่งงานเข้าจวนใหม่ๆ
นางพูดแต่คำพูดที่จริงใจ ไม่เคยพูดเท็จเกินจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
นางมีความคิดที่เป็นของตัวเองเสมอ ไม่เคยเอนเอียงตามกระแสผู้อื่น ไม่หยิ่งผยองทะนงตน ให้ความสำคัญต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ทำตัวสูงส่งหรือต้อยต่ำจนเกินไป ประหนึ่งหินใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางกระแสน้ำ ไม่ว่ากระแสน้ำจะเชี่ยวหรือรุนแรงมากแค่ไหนก็ไม่เคยไหวหวั่น เพราะนางมีเป้าหมายที่หนักแน่นและชัดเจนอยู่ในใจแล้ว
เมื่อความคิดแล่นผ่านในหัว เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปจ้องมองสืออีเหนียงอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เส้นผมที่ดำขลับถูกมวยขึ้นด้วยทรงที่เรียบง่าย ปลายติ่งหูห้อยด้วยต่างหูดอกไห่ถังที่ทำจากทองบริสุทธิ์ สวมเสื้ออ่าวเล็กเข้ารูปสีน้ำเงินอมเขียว จึงยิ่งดูเอวบางเล็กเข้าไปใหญ่ สามารถเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้อย่างชัดเจน
จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็ใจสั่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สืออีเหนียงดูโตขึ้นมาก เสื้อผ้าเหล่านี้จึงดูเล็กลงไป…
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงกลองบอกเวลาดังขึ้นไกลๆ
พอเงี่ยหูฟังดีๆ ก็เข้ายามไฮ่แล้ว
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“เวลาไม่เช้าแล้ว รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!” แต่กลับไม่ได้เรียกให้สาวใช้เข้ามาช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนชุด
ตามหลักแล้ว การค้างเรือนอนุนั้นมีวันดีอยู่สามวัน เมื่อวานนี้เขาดื่มสุราจนเมามาย ก็เลยนอนค้างอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันที่สอง…นางไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋คิดวางแผนอย่างไร
สวีลิ่งอี๋จึงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้เรียกชุนมั่วมาช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
ผ่านไปครู่ใหญ่สืออีเหนียงจึงค่อยเรียกสติกลับคืนมาได้
จากนั้นก็ไปล้างไม้ล้างมือด้วยอาการใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สวีลิ่งอี๋กำลังนอนตะแคงอ่านตำราอยู่ริมเตียงด้านนอก เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา เขากลับไม่มีท่าทีที่จะขยับทางให้เลย
สืออีเหนียงจึงต้องปีนป่ายขึ้นทางปลายเตียงเพื่อเข้าไปนอนด้านใน
“เจ้าเข้านอนก่อนได้เลย!” ไม่รู้ว่าตำราเล่มนั้นคือตำราอะไร สวีลิ่งอี๋ถึงอ่านอย่างใจจดใจจ่อเช่นนี้ เวลาที่คุยกับเขา เขากลับตอบโดยที่ไม่ละสายตาจากตำราเล่มนั้นเลย
สืออีเหนียงจึงขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เอนตัวลงนอน
ร่างกายของสวีลิ่งอี๋สูงใหญ่ สืออีเหนียงนอนแอบอยู่ใต้เงาของเขาก็ไม่ได้ถือว่าเกะกะสายตาแต่อย่างใด แต่พอนึกถึงเรื่องหยางอี๋เหนียงขึ้นมา ก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาทันที
เขาเอาแต่คลุมเครือไม่ชัดเจนอยู่แบบนี้ สืออีเหนียงจึงไม่รู้ว่าจะจัดการทางฝั่งหยางอีเหนี๋ยงอย่างไรดี
ตำแหน่งของหยางอีเหนี๋ยงไม่ได้เหมือนเช่นอนุภรรยาทั่วไป จวนสกุลสวีก็ไม่เคยมีกรณีเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นก็ควรจะตั้งกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันรวมไปถึงเงินค่าครองชีพของหยางอีเหนี๋ยงถึงจะถูก!
สืออีเหนียงเหลือบไปมองสวีลิ่งอี๋อยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่สวีลิ่งอี๋ก็ยังคงจ้องแต่ตำราอย่างใจจดใจจ่อ บางครั้งก็หัวเราะออกมาเสียด้วยซ้ำ
สืออีเหนียงจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มถามเขาก่อน “ท่านโหว ทางฝั่งหยางอี๋เหนียง ท่านวางแผนไว้อย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงพึ่งพูดจบ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้น
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็รีบลุกขึ้นมาดู ก็เห็นสวีลิ่งอี๋พลิกกระดาษไปอีกหนึ่งหน้า จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเหมือนเดิม
ไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำว่าสืออีเหนียงกำลังพูดอะไรอยู่!
สืออีเหนียงจึงเอนตัวลงนอนอย่างห่อเหี่ยว และตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเขาอีก จากนั้นก็นอนหลับไปบนผ้าขนแกะ
ด้านหลังของเขามีเสียงลมหายใจแผ่วเบาที่สม่ำเสมอดังขึ้น สวีลิ่งอี๋จึงรู้ว่านางนอนหลับไปแล้ว
ราวกับเด็กน้อยไม่มีผิด ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวใหญ่โตมากมายมาแค่ไหน แต่แค่หัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ย
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว มุมด้านหนึ่งในใจของเขาก็ค่อยๆ ละลายกลายเป็นหยดน้ำ ค่อยๆ เอ่อล้นไหลรินออกมา
สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ พลิกตัวหันมาช้าๆ
สืออีเหนียงนอนขดตัวซุกอยู่ข้างๆ เขา เส้นผมที่ดำขลับกองจนล้นหมอนสีแดงสด แสงตะเกียงที่สลัว ผิวของนางขาวเนียนละเอียดจนมิอาจจินตนาการได้ เหมือนหยกขาวหยางจืออวี้และคล้ายกับเครื่องเคลือบกระเบื้องก็ไม่ปาน
เขายิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปช่วยนางเกลี่ยเส้นผมที่ปกคลุมไปทั่วใบหน้าไว้หลังหู จากนั้นเขาก็ได้หยัดกายลุกขึ้นเพื่อดับไฟตะเกียง แล้วจึงค่อยเอนตัวลงนอน แต่หางตาของเขายังคงเหลือบไปมองสืออีเหนียง สีผิวนั้นขาวกระจ่างราวกับแสงที่กระทบบนผิวหิมะ พลอยทำให้ชุดคลุมชั้นในผ้าไหมซานเหลิงปู้สีขาวดูหมองหม่นไปทีเดียว
เขานึกถึงตอนที่นางสวมชุดอ่าวตัวเล็กสีน้ำเงินอมเขียวที่ดูอรชรตัวนั้น
พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเข้ากับป้ายหยกที่สืออีเหนียงห้อยอยู่ตรงช่วงอก
ป้ายหยกชิ้นนั้นเขาเป็นคนมอบให้นางเป็นของขวัญ หยกถูกแกะสลักด้วยลายสามแพะมงคล ดูเหมือนว่านางค่อนข้างชอบเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นถักเชือกแดงลายดอกบ๊วยเพื่อห้อยมันไว้ตรงช่วงอก
ความคิดค่อยๆ แล่นผ่านในหัว เชือกถักสีแดงสดเด่นชัดในตาของเขา ร่างกายที่สะอาดหมดจดไร้ซึ่งที่ติ…ราวกับแสงแดดแห่งฤดูใบไม้ผลิที่มีเสน่ห์และต้องตาต้องใจ…
“ไร้ซึ่งที่ติ…” เขาโน้มตัวกึ่งคร่อมอยู่บนตัวของนาง
สืออีเหนียงถูกเสียงของเขาทำให้สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา
นางยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่นายหญิงใหญ่เสีย ถึงแม้ว่าเขาจะพักที่เรือนของนาง แต่ก็ไม่เคย…แต่จู่ๆ วันนี้ทำไม…
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงใช้มือยันแผ่นอกของเขาไว้ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา “ข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์นะเจ้าคะ”
หลังจากที่แต่งงานออกเรือนมา ก็ถือว่าเป็นคนของเรือนอื่นไปแล้ว ดังนั้นหากบิดามารดาเสียชีวิต บุตรีที่ยังอยู่เรือนจะไว้ทุกข์สามปี ส่วนบุตรีที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วจะไว้ทุกข์หนึ่งปี เพราะการใช้ชีวิตอยู่บ้านสามี เรื่องบางเรื่องก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นบ้าง แต่หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แล้วถูกคนอื่นจับจุดอ่อนได้ จะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ไม่สามารถโงหัวขึ้นมาได้อีกเลย
แต่สำหรับสวีลิ่งอี๋แล้ว เรื่องเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กราวกับมดที่เขย่าต้นไม้ก็ว่าได้ จะทำให้เขาสะทกสะท้านได้อย่างไรกัน
“ข้ารู้” สวีลิ่งอี๋จ้องมองนางด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็แค่อยากจะกอดเจ้าเฉยๆ”
สืออีเหนียงจึงนึกขึ้นมาว่าช่วงนี้เขาพักอยู่ที่เรือนของนางเสียส่วนใหญ่
สืออีเหนียงหันหน้าหนี นางเม้มปากแน่นไม่ได้พูดอะไรออกมา ใบหน้าค่อนข้างซีดเผือด
“ไม่ต้องกลัว!” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “มีข้าอยู่ทั้งคน!”
“สวีลิ่งอี๋!” ร่างกายของนางแข็งทื่อเล็กน้อย
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เขาโอบกอดสืออีเหนียงที่อยู่ใต้ผ้าห่ม “ไม่ต้องกลัว ยังมีข้าอยู่ทั้งคน!”
มีเขาน่ะหรือ
สืออีเหนียงหันมาสบตาสวีลิ่งอี๋
แววตาของเขาร้อนแรงดั่งเปลวไฟ แต่กลับดูจริงใจ ราวกับว่ากำลังเปล่งประกายทอแสงออกมาอย่างไรอย่างนั้น
นางนึกถึงเหตุการณ์ความสุขในครั้งนั้นที่ล้มเลิกไปกลางคัน นึกถึงน้ำอุ่นยามค่ำคืนแก้วนั้น นึกถึงตอนนั้น เขาที่กำลังเมามายและเม้มปากแน่น…
สืออีเหนียงจึงค่อยๆ หลับตาลง จากนั้นก็โอบกอดคอของเขาไว้ ส่งมอบการริเริ่มทั้งหมดให้กับเขา
ในขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น ก็มีเสียงกระซิบที่ข้างหูว่า “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ที่นี่คือจวนหย่งผิงโหว เจ้าเป็นภรรยาของข้า สวีลิ่งอี๋ผู้นี้”
สืออีเหนียงเบิกตากว้าง
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
กำลังจะบอกว่าเขาจะปกป้องตนอย่างนั้นหรือ
หรือกำลังจะบอกว่านี่คือสิ่งที่นางควรกระทำโดยหน้าที่ และนางก็ไม่สามารถที่จะยื้อต่อไปได้
ในใจของสืออีเหนียงตอนนี้สับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงทำได้แค่เพียงปล่อยทุกๆ อย่างให้ล่องลอยไปกับเขาราวกับเรือที่กำลังล่องแก่งไปตามกระแสน้ำที่พัดพา
สวีลิ่งอี๋ปลดปล่อยออกมาในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุด
ใต้ผ้านวมอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกเกาลัด
น้ำตาของสืออีเหนียงค่อยๆ ไหลเอ่อ
ในใจของนางยังวนเวียนอยู่กับคำพูดของเขาที่ว่า ‘เจ้าเป็นภรรยาของจวนหย่งผิงโหว’