ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 377 บุปผาหอมกรุ่น (กลาง)
สืออีเหนียงยื่นแจกันให้หู่พั่ว แล้วแนะนำหยางอีเหนี๋ยงให้เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้จัก “นี่คือหยางอี๋เหนียง!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วคำนับนาง จากนั้นก็ประคองแขนสืออีเหนียงอย่างสนิทสนม
สวีซื่อจุนจับมือสวีซื่อเจี้ย “…อาจารย์จ้าวบอกว่าให้เราไปเช้าหน่อย บอกว่าวันนี้จะสอนพวกเราทำว่าวขอรับ!”
“เช่นนั้นพวกเจ้ารีบไปเถิด!” สืออีเหนียงส่งพวกเขาออกไปที่ประตู “ถึงตอนนั้นเราค่อยไปเล่นว่าวที่สวนหลังจวนกัน”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็จับมือกันเดินออกไป
ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ขอตัวไปที่ห้องปีกทางตะวันออก สืออีเหนียงและคนอื่นๆ กลับไปนั่งที่ห้องโถง นางถามหยางอีเหนี๋ยงว่า “คุ้นชินแล้วหรือยัง มีอะไรขาดแคลนหรือไม่”
ทันทีที่สืออีเหนียงเริ่มพูด หยางอีเหนี๋ยงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพ เมื่อสืออีเหนียงพูดจบ นางก็รีบพูดว่า “เรือนที่ฮูหยินจัดไว้ให้ข้าคล้ายกับเรือนที่จวนของข้ามากเจ้าค่ะ แค่เห็นก็รู้สึกอบอุ่นใจ ราวกับได้กลับจวนตัวเอง ข้าวของต่างๆ ก็ครบครันกว่าที่จวนเสียอีก แค่ราวเเขวนผ้าก็มีทั้งใหญ่ กลาง เล็ก ที่จวนของข้ามีแค่ราวเดียวเอง” จากนั้นก็พูดถึงเหวินอี๋เหนียง “…เป็นมิตรราวกับพี่หญิงของข้า ข้าพึ่งจะแต่งเข้ามายังไม่รู้อะไร โชคดีที่มีนางคอยแนะนำ”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ไม่กล้า ไม่กล้า ไม่กล้าแนะนำ แค่ข้าแต่งเข้ามาก่อน รู้อะไรเยอะกว่าเจ้า เจ้าถามอะไรข้าก็ตอบแค่นั้น”
“พี่หญิงเหวินถ่อมตัวเสียจริง” หยางอีเหนี๋ยงชมนางด้วยสีหน้าที่จริงใจ
สืออีเหนียงนึกถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของเหวินอี๋เหนียงวันนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากเจ้ามีเรื่องอันใด ต่อไปก็บอกเหวินอี๋เหนียงเถิด ข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์จึงไม่ค่อยออกมาข้างนอก เจ้าพึ่งจะแต่งเข้ามา มีคนรู้ใจคอยอยู่ใกล้ๆ ข้าจะได้สบายใจ” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้เหวินอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงเห็นนางยิ้มอย่างอ่อนโยน อีกทั้งดวงตายังเป็นประกายแฝงความนัย ก็ตกใจ
หยางอีเหนี๋ยงตอบรับอย่างนอบน้อม
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมา
บรรดาอี๋เหนียงต่างก็พากันขอตัวออกไป
หยางอีเหนี๋ยงจับมือเหวินอี๋เหนียงทันที “พี่หญิงเหวิน ปกติเราไม่ต้องรับใช้ฮูหยินอาบน้ำ ทานข้าวเช้าหรอกหรือ”
เหวินอี๋เหนียงรู้สึกว่าแขนที่ถูกนางจับหนักๆ จึงฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินเป็นคนใจดี นางไม่ตั้งกฎเกณฑ์และไว้หน้าเรา”
ได้ยินเช่นนี้ หยางอีเหนี๋ยงก็ถอนหายใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ก่อนจะแต่งเข้ามาข้ายังกังวล ไม่คิดว่าจะเจอพี่หญิงที่เป็นมิตรเช่นนี้ แล้วยังเจอฮูหยินที่ใจกว้างเช่นนี้ ข้าช่างมีวาสนาเสียจริง!”
เหวินอี๋เหนียงยิ้ม ปฏิเสธคำเชิญที่หยางอีเหนี๋ยงเชิญนางไปนั่งที่เรือนและกลับไปที่เรือนของตัวเองทันที
“ชิวหง” นางล้มตัวนอนลงบนเตียงเตาโดยที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้า “ต้องคิดหาวิธีให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็ว เราจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน!”
ชิวหงยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงกลัวอะไรเจ้าคะ ท่านบอกว่าตอนนี้ท่านโหวและฮูหยินคิดเหมือนกันไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนท่านยังกังวลว่าประจบฮูหยินคนก่อนแล้วจะทำให้ท่านโหวไม่พอใจ ประจบท่านโหวก็จะทำให้ฮูหยินคนก่อนไม่พอใจ แต่ตอนนี้ประจบแค่ฮูหยินคนเดียวก็พอแล้ว ง่ายกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ” นางพูดพร้อมกับถอดรองเท้าให้เหวินอี๋เหนียง “หรือว่ามันยากกว่าเมื่อก่อนเจ้าคะ”
“เจ้าไม่เข้าใจ!” เหวินอี๋เหนียงขึ้นไปบนเตียงเตา “ข้าเห็นว่าหยางอีเหนี๋ยงคนนั้นหน้าตาดี แล้วยังมีความอดทน ไม่ใช่คนธรรมดา ข้ากลัวว่าถึงตอนนั้น…” พูดถึงตรงนี้ นางก็พูดเบาลง
“กลัวว่าถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” ชิวหงอยากรู้อยากเห็น นางช่วยจัดผ้าห่มให้เหวินอี๋เหนียง แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านกลัวว่าฮูหยินจะสู้หยางอีเหนี๋ยงไม่ได้? แต่ถึงแม้ว่าจะสู้ไม่ได้ ฮูหยินก็เป็นภรรยาเอก เช่นไรท่านโหวก็ต้องให้เกียรติฮูหยินอยู่แล้ว บ่าวคิดว่าฮูหยินดีกับคนรอบข้าง เหมือนตงชิง ปินจวี๋ พวกนางรับใช้ฮูหยินมาตั้งแต่เด็ก ฮูหยินก็ดูแลพวกนางมาตลอด หากเราช่วยฮูหยิน ถึงตอนนั้นฮูหยินก็คงไม่มีทางทิ้งเราเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นก็เหมือนตอนที่ฮูหยินคนก่อนยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้รับความโปรดปรานจากท่านโหวแค่นั้น แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ว่าเราไม่ช่วยฮูหยิน…” นางหยุดพูด แล้วกลืนประโยคที่ว่า ‘ท่านโหวก็ไม่โปรดปรานเราอยู่ดี’ ลงไป จากนั้นก็พูดว่า “หากฮูหยินอยากให้พวกเราช่วย พวกเราจะไม่ช่วยนางได้หรือ” แล้วก็นึกถึงเรื่องที่เหวินอี๋เหนียงให้ความสำคัญอยู่ในใจ “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อไปคุณหนูใหญ่ยังต้องพึ่งพาฮูหยินอีกเยอะนะเจ้าคะ!”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น “ให้ข้าคิดดูก่อน…”
ชิวหงไม่กล้ารบกวนนาง จึงเดินออกไปเงียบๆ
*****
หลังจากส่งอี๋เหนียงสามสี่คนออกไปแล้ว สืออีเหนียงก็ไปหาเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังปักผ้าอยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกก่อน จากนั้นก็เข้าไปในห้องข้างใน
สวีลิ่งอี๋นอนหลับอยู่
สืออีเหนียงช่วยจัดหมอนให้เขา
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสืออีเหนียงด้วยความึนงง จากนั้นก็พลิกตัวแล้วหลับไป
สืออีเหนียงห่มผ้าให้เขาแล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างเงียบเชียบ บอกให้จู๋เซียงทำเกี๊ยวให้สวีซื่อจุน จากนั้นก็ไปทานข้าวเช้าที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก เมื่อเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ยังไม่ตื่น จึงไปที่เรือนของไท่ฮูหยินก่อน
เมื่อรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ดื่มสุราจนเมามาย ไท่ฮูหยินก็บ่นขึ้น “ต่อไปเจ้าต้องเกลี้ยกล่อมเขา อย่าตามใจเขามากนัก”
“ก็แค่นานๆ ทีเท่านั้นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงแอบดีใจที่ตัวเองไม่ได้พูดถึงเรื่องที่สวีลิ่งอี๋เชิญหมอหลวงมา “ท่านโหวเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง”
ลูกสะใภ้ไม่สนใจ แม่สามีก็กังวล แต่หากลูกสะใภ้ควบคุมบุตรชายมากเกินไป แม่สามียิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก
ไท่ฮูหยินไม่พูดอะไรอีก นางเร่งสืออีเหนียงให้กลับเรือน “…กลับไปดูแลคุณชายสี่เถิด!”
สืออีเหนียงขอตัวลาไท่ฮูหยินแล้วกลับไปที่เรือนของตัวเอง
หมอหลวงมาถึงแล้ว
เขาจับชีพจรให้สวีลิ่งอี๋ จ่ายยาแล้วก็แนะนำว่า “…ทางที่ดีควรทำเป็นยาเม็ด ดื่มสุราแล้วรู้สึกไม่สบายก็ทานสักสองเม็ด”
สวีลิ่งอี๋คิดว่าความคิดนี้ไม่เลว จึงบอกให้หลินปัวนำใบสั่งยาไปทำยาเป็นยาเม็ด
หากเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ก็ไม่กลัวแล้ว!
สืออีเหนียงเดินออกมาจากม่านกันลม นางไม่พอใจแต่ก็ไม่พูดอะไร จากนั้นก็รินชาให้สวีลิ่งอี๋ที่นอนอยู่บนเตียง
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ซุ่นอ๋องมาขอรับ!”
สืออีเหนียงลุกออกไปข้างนอก
แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดว่า “ไม่ใช่คนนอกอะไร เจ้าไม่ต้องออกไปหรอก!” ตอนแรกเขาเริ่มพูดอย่างลังเล แต่ยิ่งพูดกลับยิ่งหนักแน่น “เราโตมาด้วยกัน!”
เจอกับสหายที่โตมาด้วยกันของเขา!
ในความคิดของนาง ทำเช่นนี้หมายถึงการยอมรับในตัวนาง แล้วในความคิดของเขามันคืออะไรกัน
สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่คลุมเครือ
*****
มองผ่านหน้าต่างกระจกใส สามารถมองเห็นใบไม้สีเหลืองบนกิ่งไม้ได้อย่างชัดเจน
หยางอีเหนี๋ยงยิ้มอย่างแผ่วเบา ใบหน้าที่สง่างามก็สดใสขึ้นไม่น้อย
“คุณหนูเจ้าคะ!” ป้าหยางถือถาดน้ำชาแกะสลักลายดอกไป่เหอเดินเข้ามา “ชาปี้หลัวชุนชั้นดีเจ้าค่ะ” พูดด้วยท่าทีชอบอกชอบใจ
“เปลี่ยนเป็นเรียกข้าว่าอี๋เหนียงเถิด!” หยางอีเหนี๋ยงมองดูป้ารับใช้คนสนิทของตัวเองด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ต่อไปก็ต้องเรียกอี๋เหนียง ไม่ต้องเรียกว่าคุณหนูอีกต่อไป”
“เจ้าค่ะ!” ป้าหยางตอบรับอย่างเชื่อฟัง แต่ก้มหน้าวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเตียงเตาด้วยสีหน้าเสียใจ
“เสียใจอะไร” หยางอีเหนี๋ยงยิ้มรับถ้วยชามา “ข้าเป็นคนเลือกเดินถนนเส้นนี้เอง ถึงแม้จะยากลำบากแค่ไหน ก็โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าดูข้าตอนนี้สิ อยู่ในเรือนที่กว้างขวาง สวมชุดผ้าไหมเช่นนี้ ที่เรือนยังมีคนคอยดูแล ยังมีอะไรไม่พอใจอีก!” พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“คุณหนู!” ป้าหยางนึกถึงการต้อนรับของสกุลสวี ก็พลันน้ำตาคลอ “ต้องโทษคุณนายใหญ่…”
“อย่าพูดเช่นนี้อีก” หยางอีเหนี๋ยงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้ป้าหยาง จากนั้นก็พูดความในใจด้วยเสียงเบา “นางแค่รักบุตรชายมากกว่า ข้าเองก็รู้ ภรรยาสืบทอดที่เป็นบุตรีของอนุภรรยาอย่างสืออีเหนียง แต่กลับสามารถได้รับความเคารพจากบรรดาคุณชายน้อยและคุณหนู นางไม่มีทางเป็นแค่คนอ่อนโยนและใจดีแน่นอน แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องดูต่อไปเรื่อยๆ หรือว่ามันยังจะอันตรายกว่าแต่งเข้าไปในพระราชวังอีกเช่นนั้นหรือ…”
*****
ซุ่นอ๋องเป็นชายร่างอ้วนท้วมที่สะอาดสะอ้าน ตอนที่เขาเดินเข้ามาก็เห็นพุงที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมสีม่วงแดงอย่างแน่นหนา จากนั้นก็เห็นใบหน้าที่กลมราวกับพระจันทร์เต็มดวงของเขา
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา
นางเคยเห็นพระชายาของซุ่นอ๋องที่พิธีในพระราชวังจากไกลๆ สองสามครั้ง หากเปรียบว่าซุ่นอ๋องเป็นซาลาเปาไส้หมู เช่นนั้นพระชายาของซุ่นอ๋องก็คือตะเกียบ…
ทันทีที่ซุ่นอ๋องเห็นสาวงามคนหนึ่งอยู่ในห้องก็ตกตะลึง
“นี่คือหลัวสืออีเหนียง ภรรยาของข้า” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเรียบง่าย
“อ๋อ!” ซุ่นอ๋องเข้าใจในทันที “ที่แท้ก็คือฮูหยินนี่เอง!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับ บอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้มาวางไว้ข้างเตียง พร้อมทั้งยกชาและของว่างเข้ามา
ซุ่นอ๋องหมุนตัวที่อ้วนท้วมของเขา หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเชื่องช้า จากนั้นก็หรี่ตาลงแล้วเอ่ยทักทายสืออีเหนียง “…หีบสมบัติครั้งก่อนที่เจ้าให้ข้าทำ ใช้ดีหรือไม่”
สืออีเหนียงพลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตั้งแต่ลากรูบิคกลายพันธุ์ชิ้นนั้นจากกรมพระราชวังกลับมา นางก็นำมันไปวางไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของห้องเก็บของ คิดแล้วก็เหงื่อตกขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋เห็นว่างนางอึดอัด นึกขึ้นได้ว่านางไม่เคยนำของชิ้นนั้นออกมาใช้ แล้วยังเป็นของที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นางน่าจะเห็นมาจากหนังสือโบราณอะไรสักอย่าง จากนั้นเขาก็คิดว่าส่งไปให้คนทำให้แต่กลับใช้งานไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ก็แค่ให้เจ้าช่วยทำหีบสมบัติ” เขาหัวเราะแล้วหยอกล้อซุ่นอ๋อง “เจ้ากลับมาขอความดีความชอบ!”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่!” ซุ่นอ๋องหัวเราะ “ข้าไม่ได้หมายถึงเช่นนั้น” จากนั้นก็ยิ้มแล้วมองไปที่สืออีเหนียง “ฮูหยิน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเปิดร้านเย็บปักถักร้อย อีกสองเดือนก็จะเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว ในพระราชวังยังต้องเพิ่มผ้าปักลาย เพราะว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งราคาที่กรมพระราชวังเสนอก็ไม่สูง จึงยังหาร้านเย็บปักถักร้อยที่เหมาะสมไม่เจอ ข้ากำลังคิดว่าจะเพิ่มเงินดีหรือไม่ แล้วค่อยหาร้านเย็บปักถักร้อย หากฮูหยินสนใจ สามารถส่งเถ้าแก่ไปหาข้าที่กรมพระราชวัง”
สืออีเหนียงตกใจ
นางครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ขอบพระคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ แต่ว่าร้านมงคลสมรสของข้ามีช่างปักแค่สี่ห้าคน แล้วผ้าปักลายก็ยังต้องพิถีพิถันเป็นอย่างมาก หากข้าตอบตกลงส่งๆ แล้วช่างปักทำออกมาไม่ดี ถึงตอนนั้นไม่มีงานส่งให้ท่านทำให้เกิดความผิดพลาด อาจจะทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่สู้ให้ข้าไปปรึกษากับช่างปักและอาจารย์เจี่ยนที่ร้านเสียก่อน แล้วค่อยส่งเถ้าแก่ไปหาท่าน ท่านคิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ” นางพูดอย่างจริงใจ
ซุ่นอ๋องตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะแล้วเหลือบมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าก้มตาจิบชา
“ฮูหยินพูดถูก” ซุ่นอ๋องพูดด้วยท่าทีพอใจ ยิ้มหน้าบาน “เช่นนั้นข้ารอจดหมายจากเจ้า” พูดจบ เขาก็เหลือบมองสวีลิ่งอี๋อีกครั้ง