ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 369 เรื่องตลก(ปลาย)
สวีลิ่งอี๋ไม่กลับจวนทั้งคืน สืออีเหนียงรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องบอกว่าฮ่องเต้และสวีลิ่งอี๋ทำความเข้าใจกันแล้ว ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะคิดทำอะไรกับเขา แต่ก็ไม่มีทางเรียกเขาเข้าไปโจมตีในพระราชวังแน่นอน และในเมื่อไทเฮาอยากจะแต่งตั้งอนุภรรยาให้สกุลสวี นางยิ่งไม่มีทางทำร้ายสวีลิ่งอี๋ ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะอยู่ในพระราชวัง แต่เขาคงปลอดภัยดี เป็นนางเองที่นอนไม่หลับพลิกตัวไปมา
บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า คนที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงส่งอย่างเขา นับว่าเป็นคนมีวาสนา แต่กลับถูกบังคับ ไร้ซึ่งอิสระ บนโลกใบนี้ไม่มีอิสระที่แท้จริง มันก็แค่เป็นการเปรียบเทียบกันว่าใครสบายกว่ากันก็แค่นั้น บางครั้งก็คิดว่า สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นปัญหา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ ทำได้แค่คิดหาวิธีปรับตัวและต่อสู้เพื่ออิสรภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเอง ทุกคนล้วนแต่พยายามดิ้นรนก็แค่นั้น…
คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระ ราวกับคนที่อารมณ์อ่อนไหว
นางพลิกตัวไปมา หลับๆ ตื่นๆ จนถึงรุ่งสาง
หู่พั่วเข้ามารับใช้นางแต่งตัว
“ท่านโหวยังไม่กลับมาอีกหรือ!” รู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่อยากจะปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ กลัวว่าเขากลับมาตอนกลางคืน แต่ไปนอนที่อื่นแล้วตัวเองไม่รู้
หู่พั่วเห็นสืออีเหนียงไม่มีชีวิตชีวา จึงพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านโหวยังไม่กลับ แล้วก็ไม่มีข่าวอะไรจากพระราชวังเลยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ลุกไปล้างหน้าล้างตา
อี๋เหนียงทั้งสามคนมาคารวะนาง
ฉินอี๋เหนียงดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่เหวินอี๋เหนียงกลับไม่เอะอะเสียงดังเหมือนเมื่อก่อน ทำให้นางดูสุขุมขึ้นไม่น้อย เฉียวเหลียนฝังมองสีหน้าของสืออีเหนียง แล้วลังเลอยู่หลายครั้ง
ดูเหมือนว่าทุกคนคงจะได้ยินแล้ว
เรือนของตนมีลูกๆ อยู่ แทนที่จะให้พวกนางเดาไปเดามาทำให้บรรยากาศตึงเครียด ไม่สู้พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียจะดีกว่า ทุกคนล้วนแต่รู้อยู่แก่ใจ ไม่ว่าอย่างไรอีกสิบกว่าวันอนุภรรยาคนใหม่ก็จะแต่งเข้ามาแล้ว
“เมื่อเย็นวาน ข้าได้รับพระราชกฤษฎีกา” สืออีเหนียงกวาดตามองอี๋เหนี๋ยงทั้งสามแล้วพูดช้าๆ “ไทเฮาแต่งตั้งบุตรสาวคนที่สามของหยางจงลูกพี่ลูกน้องของเจี้ยนหนิงโหวเป็นอนุภรรยาของท่านโหว”
นางพูดยังไม่ทันจบ สีหน้าของอี๋เหนียงทั้งสามก็เปลี่ยนไป
ฉินอี๋เหนียงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหวินอี๋เหนียงดูตกใจ ส่วนเฉียวเหลียนฝังสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษก็ไม่ปาน นางมองตรงไปที่สืออีเหนียง “เช่นนั้นก็คือเรื่องจริงหรือเจ้าคะ!” พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อ
“จริงแน่นอน” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “นางจะแต่งเข้ามาในวันที่สิบสองเดือนสาม”
“แล้วท่านโหวเล่า” นางเบิกตากว้าง “ท่านโหวว่าอย่างไร”
ไม่รู้ว่าเพราะว่าเมื่อวานนอนไม่หลับจึงตาลาย หรือว่าเพราะเรื่องนี้ สืออีเหนียงรู้สึกว่ารูปร่างที่บอบบางของเฉียวเหลียนฝังสั่นไปมา
“ท่านโหวยังอยู่ในพระราชวัง” สืออีเหนียงพูด “ข้ายังไม่ได้เจอกับท่านโหว แต่ว่า ในเมื่อเป็นพระราชกฤษฎีกา เราก็ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้”
เฉียวเหลียนฝังไม่พูดไม่จา นางกัดริมฝีปากของตัวเองจนขาวซีด
ในขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน สะใภ้หนานหย่งก็พาสวีซื่อเจี้ยมาคารวะสืออีเหนียง สวีซื่อจุน เจินเจี่ยเอ๋อร์และสวีซื่ออวี้ก็มาถึงทีละคน
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็เล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋จะแต่งอนุภรรยาให้เด็กๆ ฟังอย่างอ้อมๆ
สวีซื่ออวี้ก็เหมือนเมื่อก่อน ยืนอยู่ข้างๆ ไม่ปริปากอะไร เจินเจี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าก้มตาแล้วจับนิ้วตัวเอง แต่สวีซื่อจุนกลับนิ่งเฉย แล้วยังถามสืออีเหนียงว่า “วันนั้นพวกเราต้องขอลาอาจารย์จ้าวหรือไม่ขอรับ”
พวกเราที่เขาพูดถึงก็คือเขากับสวีซื่อเจี้ย
แต่สวีซื่อเจี้ยไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย เขานั่งฟังอยู่ที่นั่นอย่างรู้ความ เมื่อได้ยินพี่ชายตัวเองพูดว่าพวกเรา ก็เบิกตากว้างมองสวีซื่อจุนและสืออีเหนียงด้วยความสงสัย
ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนที่มาจากสกุลที่มีชื่อเสียง แล้วยังเป็นคนของไทเฮา พิธีที่ควรมีก็ควรจะมี ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงต้องจัดงานเลี้ยงสักสองสามโต๊ะ เชิญญาติสนิทมิตรสหายมาดื่มสุราร่วมยินดี
“พึ่งได้รับพระราชกฤษฎีกาเมื่อวาน เรื่องพวกนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ” สืออีเหนียงยิ้ม “หากกำหนดได้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะบอกพวกเจ้า” จากนั้นก็ถามว่าพวกเขาทานข้าวแล้วหรือยัง พวกเขาล้วนบอกว่าทานแล้ว สืออีเหนียงก็ยกถ้วยชาขึ้นมา “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด! หากมีเรื่องอันใดข้าจะบอกทุกคนอีกที”
สวีซื่ออวี้โค้งคำนับแล้วขอตัวออกไป
ฉินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็รีบย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “เช่นนั้นข้ากลับไปทำเสื้อผ้าให้คุณชายน้อยห้าที่เรือนต่อเจ้าค่ะ” รีบเดินตามสวีซื่ออวี้ออกไป
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองสืออีเหนียงด้วยความเป็นห่วง หลังจากนั้นก็เดินออกไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
ห้องของสืออีเหนียงจุดสมุนไพรแล้วยังมีกำแพงเตา หลังจากหิมะแรกของปีก่อน สืออีเหนียงก็บอกให้นางย้ายโต๊ะปักผ้าไปยังห้องปีกทิศตะวันออก ให้นางเย็บปักถักร้อยที่นั่น
สวีซื่อจุนจับมือสวีซื่อเจี้ย “ท่านแม่ พวกเราไปเรือนซวงฝูแล้วนะขอรับ”
บรรดาสาวใช้รีบถือกล่องอาหารและกระเป๋า บรรยากาศในห้องพลันครึกครื้นขึ้นไม่น้อย
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็ขอตัวออกไป
สืออีเหนียงลงมาจากเตียงเตา กำลังจะออกไปส่งสองพี่น้องเหมือนทุกวัน แต่กลับเห็นเฉียวเหลียนฝังยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าที่ลังเล ท่าทีเหมือนอยากจะออกไปแต่ก็ไม่อยากจะออกไป สืออีเหนียงจึงขยิบตาให้หู่พั่ว นางยิ้มแล้วส่งสองพี่น้องออกไปที่ประตูลาน แล้วก็ตรงไปจัดการเรื่องในจวนที่ห้องโถงใหญ่ข้างหน้า
ผ่านไปไม่นาน เฉียวเหลียนฝังก็มาขอพบนาง
ท่านป้าผู้ดูแลมองไปที่นางด้วยความสงสัย
สายตาของนางมีความไม่สบายใจ ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฮูหยิน ข้าได้ยินว่าวันที่สามเดือนสามจะจัดงานเลี้ยงให้คุณชายน้อยสอง แต่ตอนนี้อนุภรรยาคนใหม่กำลังจะแต่งเข้ามา ท่านคงมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย หากมีเรื่องอันใด ฮูหยินบอกข้าได้เลยนะเจ้าคะ ข้าจะตั้งใจช่วยฮูหยิน”
อยากรู้ว่าอนุภรรยาคนใหม่เป็นคนเช่นไรกระมัง
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “หากมีเรื่องอันใด ข้าจะบอกเฉียวอี๋เหนียงเอง!”
เฉียวเหลียนฝังอดไม่ได้ที่จะลังเล แต่เมื่อเห็นสืออีเหนียงหันหน้าไปพูดคุยกับท่านป้าผู้ดูแลแล้ว นางจึงขอตัวออกมา
ทันทีที่นางจากไป ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ โจวฮูหยินมาเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็แอบดีใจ
เมื่อวานฟังจากน้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋แล้ว เขาเชิญองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงเข้าไปในพระราชวังด้วย หรือว่ามีข่าวอะไรเช่นนั้นหรือ
นางรีบออกไปต้อนรับที่ประตูฉุยฮวา
ทันทีที่นางเดินออกจากลาน ก็เห็นโจวฮูหยินกำลังลงมาจากรถลากพอดี
สีหน้าของนางตึงเครียด สวมเสื้อคลุมสีแดง ม้วนผมเป็นมวยกลม ปักปิ่นปักผมสีทอง ห้อยหยกหยางจืออวี้ไว้ที่เอว แต่งตัวเป็นทางการดูสง่า ราวกับจะไปงานเลี้ยงที่จวนใคร
หรือว่า พึ่งกลับมาจากพระราชวัง?
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปคำนับโจวฮูหยิน
แต่โจวฮูหยินกลับจับมือนางแล้วรีบเดินเข้าไปข้างใน
นางเดินอย่างรวดเร็ว สืออีเหนียงต้องรีบสาวท้าวเร็วขึ้นสองสามก้าวถึงจะเดินตามนางทัน
“พวกเจ้าออกไปเถิด!” ทันทีที่โจวฮูหยินเข้ามาในห้อง นางก็ไล่สาวใช้ในห้องของสืออีเหนียงราวกับตัวเองเป็นนายหญิง “ไปเฝ้าอยู่ที่ทางเดิน!”
สืออีเหนียงเห็นว่านางสีหน้าไม่ค่อยดี แล้วยังพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พลันรู้สึกตึงเครียดไปด้วย นางรีบขยิบตาให้ลี่ว์อวิ๋น จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ออกไปข้างนอก
ทันทีที่ปิดประตู โจวฮูหยินก็กระทืบเท้า “ถุ้ย ไร้ยางอาย ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยเจอบุรุษ รีบถวายตัวเอง…”
สืออีเหนียงได้ยินนางพูดจาหยาบคายเช่นนี้ก็ตกใจ สงสัยว่าโจวซื่อเจิงไปทำอะไรไว้หรือเปล่า จึงรีบเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
“ไทเฮาแต่งตั้งอนุภรรยาให้พวกเจ้าไม่ใช่หรือ” โจวฮูหยินพูดอย่างเย็นชา
ข่าวแพร่กระจายเร็วขนาดนี้!
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
โจวฮูหยินเอ่ยขึ้นอย่างประชดประชันว่า “แล้วยังแต่งตั้งให้ตระกูลข้าอีกคน!”
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย
นางมองไปที่โจวฮูหยินด้วยความตกใจ “แต่งตั้งให้ใต้เท้าโจวอีกคนหนึ่ง?”
โจวฮูหยินพยักหน้า เส้นเลือดใหญ่ตรงขมับนูนขึ้นมา
“แล้วยังบอกอีกว่า ’สกุลผู้ดีมีการศึกษา’ สกุลหยางของพวกเขาผู้ดีอะไรกัน หากนำบันทึกวงศ์ตระกูลออกมาเปิดดู ย้อนกลับไปสามชั่วอายุคน เกรงว่าคงจะเป็นสมัยราชวงศ์ซย่า ซัง โจว โน่นแน่ะ ยังกล้ามาบอกว่าผู้ดี นางพูดด้วยความโมโห “ทำไมข้าถึงไม่รู้เล่าว่าการมอบบุตรสาวมาเป็นอนุภรรยาของคนอื่นคือการมีการศึกษา ข้าอยากจะร้องไห้แทนฮองเฮาและพระสนมเสียจริง…”
พระราชกฤษฎีกาของไทเฮาราวกับการมอบอนุภรรยาให้พวกเขา ไม่แปลกที่โจวฮูหยินจะพูดเช่นนี้
สืออีเหนียงเห็นว่านางโมโหจนหน้าแดง ก็รีบรินชาอุ่นๆ ยื่นให้โจวฮูหยิน “พี่หญิงนั่งลงดื่มชาก่อนเถิด โมโหสกุลเจ้าเล่ห์เช่นนั้นหากล้มป่วยจะไม่คุ้มเสีย!”
โจวฮูหยินนั่งลงด้วยความเดือดดาลพลางจิบชา จากนั้นก็เห็นว่าสืออีเหนียงมีสีหน้าปกติ เมื่อได้สติกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เกรงว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าคนที่ไทเฮาแต่งตั้งให้ท่านโหวและท่านพี่ของข้าเป็นคนเช่นไรกระมัง”
สืออีเหนียงพลันนึกถึงคำที่ว่า ‘หยางจง ลูกพี่ลูกน้องของเจี้ยนหนิงโหว’ ที่เขียนไว้ในพระราชกฤษฎีกา นางจึงพูดว่า “สกุลญาติของสกุลหยางหรือเจ้าคะ”
โจวฮูหยินพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงกว่าเมื่อครู่นี้ “ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นสกุลญาติของเจี้ยนหนิงโหว เดิมทีจะส่งเข้าไปในพระราชวัง เชิญคนมาสอนบทกวี พิณ หนังสือและวาดภาพเมื่อสองสามปีก่อน แล้วยังเรียนร้องเพลงเต้นรำอีกด้วย…” พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดพูด “เจ้าคิดว่า สตรีที่สะอาดบริสุทธิ์ที่ไหนจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้เล่า แล้วคนที่เรียนรู้เรื่องพวกนี้จะแต่งเข้ามาในจวนของพวกเราได้อย่างไร เจ้าเป็นคนฉลาด ให้คนแบบนี้มาอยู่ใกล้ๆ แล้วยังแต่งเข้ามาอย่างเปิดเผย นานวันเข้า ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาอีก”
“แต่ก็จะขัดพระราชกฤษฎีกาไม่ได้” สืออีเหนียงพูด “ทำได้แค่รับมือตามสถานการณ์ ดูๆ ไปก่อน”
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร!” โจวฮูหยินเอ่ยอย่างเสียใจ “แต่ข้าทนไม่ได้จริงๆ ตั้งแต่ข้ารับพระราชกฤษฎีกาเมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ก็ยังหายใจไม่ทั่วท้องเลย”
ถึงแม้ว่าสกุลหยางจะอาศัยอำนาจของไทเฮา แต่อาการป่วยของไทเฮาเป็นเช่นไร ฮ่องเต้คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญ แต่สกุลหยางกล้าที่จะแต่งงานกับพวกเขาด้วยวิธีนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความมั่นใจในตัวของบุตรสาวสกุลหยางสองคนนี้ไม่น้อย
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “แล้วใต้เท้าโจวว่าเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“เมื่อวานเขาเข้าพระราชวังไปกับองค์หญิง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับออกมาเลย!” โจวฮูหยินถอนหายใจ
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
องครักษ์ของพระราชวังอยู่ภายใต้คำสั่งของฮ่องเต้โดยตรง และเรื่องที่ให้องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง สวีลิ่งอี๋และโจวซื่อเจิงอยู่ในพระราชวังเช่นนี้ หากไม่ได้รับความยินยอมจากฮ่องเต้ ไม่มีทางเป็นไปได้!
นางพลันนึกถึงหลายต่อหลายครั้งที่ฮ่องเต้ทรงปฏิเสธไทเฮา
หรือว่านี่คือเจตนาของฮ่องเต้?
ไม่ใช่ หากเป็นเจตนาของฮ่องเต้ แล้วเหตุใดถึงเป็นพระราชกฤษฎีกาของไทเฮา
นางคิดวนไปวนมา จึงพูดกับโจวฮูหยินอย่างใจลอย ส่วนโจวฮูหยินที่ได้ระบายความโมโหออกมาแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย พูดคุยกับสืออีเหนียงอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงส่งนางไปที่หน้าประตูฉุยฮวา
ทันทีที่กลับมาที่ห้องโถง สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี