ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 368 เรื่องตลก(กลาง)
สืออีเหนียงแอบเล่าให้ไท่ฮูหยินฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ไท่ฮูหยินได้ฟังแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็บอกให้สาวใช้จัดอาหาร
สวีซื่ออวี้รีบเข้ามาประคองไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
ไท่ฮูหยินถามสวีซื่ออวี้ “วันที่สามเดือนสามของปีนี้จัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อเจ้า เจ้ามีสหายที่อยากจะเชิญมาหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ!” สวีซื่ออวี้ยิ้ม “สหายของหลานล้วนแต่อยู่ที่เล่ออานขอรับ”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “สองวันก่อนหลานชายคนโตของจวนเจิ้นหนานยังมาชวนเจ้าไปเที่ยวเล่นอยู่เลย เจ้าไม่อยากเชิญเขาหรือ”
สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีอาจารย์เจียงบอกว่าหากข้าสอบผ่านแล้วก็ให้กลับเล่ออาน จะได้ไม่ทำให้การเรียนล่าช้า แต่ข้าเลื่อนวันเดินทางกลับเล่ออานออกไปแล้ว จะเสียการเรียนไม่ได้ขอรับ สองสามวันนี้จึงต้องอ่านหนังสืออยู่ที่จวน หากตกลงออกไปกับหลานชายคนโตของจวนเจิ้นหนาน เกรงว่าหลังจากนี้เขาคงจะเชิญอีกบ่อยครั้ง แทนที่จะใช้เวลากับเรื่องพวกนี้ ไม่สู้อ่านหนังสือที่จวนสักสองสามหน้าดีกว่า” เขาพูดด้วยท่าทีที่ไม่อยากไปมาหาสู่กับใคร
ฮูหยินห้าฟังแล้วก็ตกใจ
สายตาของฮูหยินสองมีรอยยิ้มที่แผ่วเบา
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “อวี้เกอของเราพูดมีเหตุผล”
พูดจบ ทุกคนก็นั่งลง บรรดาสาวใช้ยกอาหารเข้ามาอย่างเบาไม้เบามือ
ทุกคนไม่พูดอะไรอีก ต่างพากันก้มหน้าทานข้าว ในห้องมีเพียงเสียงกระเบื้องกระทบกัน
หลังจากทานเสร็จ ทุกคนก็ย้ายไปดื่มชาที่ห้องปีกทิศตะวันออก
ใต้ชายคามีโคมไฟม่านสีแดงห้อยอยู่ ส่องประกายลงบนใบหน้าของผู้คนทำให้บรรยากาศดูมีความปิติยินดี
สวีซื่ออวี้เล่าถึงเรื่องราวที่เจอระหว่างทาง ไท่ฮูหยินและเด็กๆ สองสามคนฟังอย่างเพลิดเพลิน ฮูหยินสองยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ นางไม่ได้พูดอะไร เจินเจี่ยเอ๋อร์ชวนทุกคนดื่มชา ทานของว่างและผลไม้กับสืออีเหนียง ฮูหยินห้าเหม่อลอย นางลูบหัวซินเจี่ยเอ๋อร์เป็นครั้งคราว ถามอาการของซินเจี่ยเอ๋อร์กับแม่นม เมื่อครู่ซินเจี่ยเอ๋อร์ยังไอค่อกแค่กสองสามที
ถึงแม้ว่าในห้องจะมีเสียงเอะอะโวยวาย แต่มันกลับอบอุ่นและครึกครื้น
เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืด ฮูหยินสองก็ลุกขึ้นขอตัวลา
ไท่ฮูหยินบอกให้สืออีเหนียงรับใช้นางพักผ่อน ทุกคนต่างพากันแยกย้ายกันไป
“เจ้าก็ไปพักผ่อนเสียเถิด” ไท่ฮูหยินเอ่ยปลอบสืออีเหนียง “ตอนที่องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงยังเด็กนางเป็นคนไม่ยอมใคร ตอนนี้อายุมากแล้วก็สุขุมขึ้นไม่น้อย แต่หากไทเฮาทำอะไรเกินไป องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงคงจะไม่มีทางยอม คุณชายสี่ก็ไม่ใช่คนซื่อบื้อ เรื่องพวกนี้เขาก็พอรู้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีฮ่องเต้อยู่ เรื่องใหญ่เช่นนี้ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางสับสน”
เห็นว่าสวีลิ่งอี๋ยังไม่กลับมา กลัวว่านางจะเป็นห่วงเขากระมัง!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ ห่มผ้าให้ไท่ฮูหยิน เป่าตะเกียงแปดเหลี่ยมบนหัวเตียง ย้ายโคมไฟรูปทรงแตงโมบนโต๊ะเตียงเตาลงไปบนโต๊ะข้างล่าง เห็นเว่ยจื่ออุ้มที่นอนเข้ามา นางก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
ลมในคืนต้นฤดูใบไม้ผลิยังคงมีความหนาวเย็นของฤดูหนาว พระจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า ทำให้จวนหย่งผิงโหวดูเงียบสงบ โคมไฟสีแดงที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาแกว่งไปมาตามสายลม ราวกับเด็กซุกซนกำลังวิ่งไล่กัน วิ่งชนกันแล้วก็วิ่งออกจากกัน วิ่งไปวิ่งมาอย่างมีความสุข
สืออีเหนียงกระชับเสื้อคลุมของตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องโถง
สาวใช้เดินเข้ามารับใช้นางล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า
สืออีเหนียงเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดา เอนตัวลงบนหมอนอิงบนเตียงเตาข้างหน้าต่างแล้วดื่มชาดอกเบญจมาศอย่างสบายใจ คิดว่าจะรอสวีลิ่งอี๋กลับมาดีหรือไม่ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “พ่อบ้านไป๋มาเจ้าค่ะ!”
เวลานี้!?
สืออีเหนียงนึกถึงสวีลิ่งอี๋ที่เข้าไปในพระราชวัง… สีหน้าของนางมีความตกใจที่แม้แต่ตัวเองก็ยังสังเกตไม่เห็น บอกให้สาวใช้เชิญพ่อบ้านไป๋เข้ามา จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมไปที่ห้องโถง
พ่อบ้านไป๋สีหน้าซีดเซียว รีบเดินเข้ามาโค้งคำนับ “ฮูหยินขอรับ มีพระราชกฤษฎีกาจากไทเฮาขอรับ!”
สืออีเหนียงพลันรู้สึกไม่สบายใจ
“ข้ารู้แล้ว!”
จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ไปรายงานไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและฮูหยินห้า ส่วนตัวเองเรียกหู่พั่วเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้อง จากนั้นก็รีบไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ในคืนที่เงียบสงบ ประตูหลักของจวนหย่งผิงโหวค่อยๆ เปิดออก โคมไฟในสวนหลังจวนก็สว่างขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก ผ่านไปไม่นาน ทั้งจวนก็จุดไฟสว่างไสว
ไท่ฮูหยินพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ “คุณชายสี่ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับ ฮูหยินสองก็พูดขึ้นว่า “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านโหว จะต้องเป็นพระราชโองการไม่ใช้พระราชกฤษฎีกา”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ฮูหยินห้าเดินมาประคองไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ไปที่ลานข้างหน้าของห้องรับแขกเล็กที่เรือนหลัก
คนประกาศพระราชกฤษฎีกาคือหัวหน้าขันทีของพระตำหนักฉือหนิง เมื่อเห็นบรรดาสตรีสกุลสวี เขาก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คำนับไท่ฮูหยิน จากนั้นก็เปิดผ้าสีเหลืองที่มีลวดลายหงส์ออก
“บุตรสาวคนที่สามของหยางจงลูกพี่ลูกน้องของเจี้ยนหนิงโหว ฝึกฝนมารยาทมาตั้งแต่เยาว์วัย กิริยาท่าทางเรียบร้อย เป็นบุตรสาวสกุลใหญ่สกุลโตที่มีชื่อเสียง แต่งตั้งให้เป็นอนุภรรยาของสวีลิ่งอี๋ หย่งผิงโหว วันมงคลคือวันที่สิบสองเดือนสาม”
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบสงัดราวกับก้อนหินที่จมลงไปในทะเล
ขันทีคนนั้นจึงกระแอมเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยเรียกไท่ฮูหยินราวกับขอความช่วยเหลือ
ไท่ฮูหยินสีหน้าซีดเซียว คุกเข่าอยู่ตรงนั้นอยู่เป็นเวลานาน
ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ รีบลุกขึ้นไปพยุงไท่ฮูหยิน
แต่ฮูหยินสองกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม
พระราชกฤษฎีกาออกมาแล้ว หรือจะไม่ยอมรับเช่นนั้นหรือ แล้วอีกอย่าง คุกเข่าอยู่เช่นนี้ก็แก้ไขปัญหาไม่ได้! หากไปถึงหูของไทเฮา ยิ่งจะทำให้มีปัญหาเพิ่มไปอีก
นางยื่นมือไปจับสืออีเหนียง
นี่เป็นเรื่องของครอบครัวคุณชายสี่ นางต้องเป็นคนรับพระราชกฤษฎีกา ไท่ฮูหยินจึงจะได้สบายใจ
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อนางกำลังยกมือขึ้น สืออีเหนียงที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็ยืนขึ้นในทันใด
“ลำบากกงกงแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วรับพระราชกฤษฎีกามา จากนั้นก็ขยิบตาให้พ่อบ้านไป๋ที่คุกเข่าอยู่นอกประตู “ท่านโหวยังอยู่ในพระราชวัง คุณชายห้าเองก็ไปเข้าเวร คงต้องเชิญกงกงไปดื่มชาที่ห้องโถงรับแขกก่อนเจ้าค่ะ”
ขันทีคนนั้นได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยื่นพระราชกฤษฎีกาให้สืออีเหนียงราวกับทิ้งเผือกร้อนที่อยู่ในมือออก จากนั้นก็เดินเข้าไปคำนับไท่ฮูหยิน “ไท่ฮูหยิน ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวกลับไปรายงานก่อน วันอื่นค่อยมาคารวะไท่ฮูหยินก็แล้วกัน” ไม่รอให้ไท่ฮูหยินตอบกลับ เขาก็หันไปคำนับสืออีเหนียง “หย่งผิงโหวฮูหยิน ข้าต้องขอตัวก่อน” พูดจบก็ขยิบตาให้ขันทีที่ติดตามมา จากนั้นก็เดินออกไปจากลาน
พ่อบ้านไป๋รีบเดินเข้ามา โค้งคำนับแล้วเดินออกไปพร้อมเขา แล้วก็ยัดของอะไรบางอย่างให้
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสกุลหยางหลังจากที่ไทเฮาสิ้นพระชนม์ ไทเฮาไม่มีทางยอมได้ เรื่องนี้สืออีเหนียงมีวิธีรับมืออยู่แล้ว แต่เรื่องที่ไม่รู้มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวล ทันทีที่นางได้ยินพระราชกฤษฎีกา นางจึงรู้สึกสบายใจราวกับรองเท้าอีกข้างหนึ่งตกลงมาแล้ว
นึกถึงสีหน้าของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงก็หันไปประคองแขนอีกข้างหนึ่งของนาง “ท่านแม่ ข้ากลับไปกับท่านดีกว่าเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินจับมือสืออีเหนียงแน่นแล้วพยักหน้าเบาๆ
ฮูหยินห้าก็ปล่อยมือไท่ฮูหยินออกอย่างรู้ความ จากนั้นก็ถอยมายืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
ไท่ฮูหยินเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินสองและฮูหยินห้า พูดอย่างเคร่งขรึม “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด! ไม่ต้องกลับไปด้วยกันก็ได้!”
พูดอย่างไม่ใส่ใจ
ฮูหยินสองและฮูหยินห้าก้มหน้าลงแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” พร้อมกัน ยืนอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังของไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงที่ถูกบรรดาสาวใช้และท่านป้าล้อมรอบเดินออกไป จากนั้นพวกนางก็แยกย้ายกัน
*****
สืออีเหนียงมองดูสีหน้าที่ลังเลของไท่ฮูหยิน นางไม่อยากให้ไท่ฮูหยินลำบากใจ จึงรับน้ำชาในมือของป้าตู้ยื่นให้ไท่ฮูหยิน “ไม่ว่าฮ่องเต้มีเจตนาเช่นไร ท่านโหวคิดเช่นไร แต่ในเมื่อพระราชกฤษฎีกาของไทเฮาออกมาแล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางกลับคำได้เจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้น ศักดิ์ศรีของราชวงศ์อยู่ที่ไหน ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาอยู่ที่ไหน ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้ารู้ดี ข้าจะระมัดระวัง ไม่มีทางปล่อยให้คนนอกหัวเราะเยาะสกุลสวีของเราแน่นอน”
ไท่ฮูหยินรับถ้วยชามาวางไว้ข้างๆ ตัว สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางจับมือสืออีเหนียงแล้วถอนหายใจ “เจ้าเป็นเด็กดีที่รู้ความ…” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
“ในเมื่อแต่งตั้งอนุภรรยาให้ แล้วยังกำหนดวันอย่างเร่งรีบเช่นนี้ ยังมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องจัดการ แล้วข้าก็พึ่งเคยเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เกรงว่าคงต้องขอคำแนะนำจากท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วหยัดกายลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ ข้ารับใช้ท่านพักผ่อนดีกว่า!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าดื่มชาถ้วยนี้ก่อนแล้วค่อยนอน”
สำหรับสกุลสวีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสกุลหยางได้ การที่บุตรสาวสกุลหยางแต่งเข้ามาที่จวนไม่ใช่เรื่องน่าเฉลิมฉลองอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ไท่ฮูหยินก็ต้องไตร่ตรองเรื่องในอนาคต
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้ไท่ฮูหยินนอนพักผ่อน จากนั้นก็ออกไปข้างนอกกับป้าตู้
หู่พั่วเห็นนางมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วยังทำสีหน้าครุ่นคิดเป็นครั้งคราว นางจึงย่างเท้าก้าวเดินอย่างเงียบเชียบ พลางมองสาวใช้และท่านป้าที่ติดตามมาด้วยสายตาที่เฉียบแหลม กลัวว่าพวกนางจะส่งเสียงอะไรรบกวนสืออีเหนียงในตอนนี้
พวกนางเดินตามสืออีเหนียงอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ เดินผ่านทางเดินไป แล้วหยุดอยู่ที่หน้าประตูลาน
สืออีเหนียงยืนมองลานกว้างที่จุดไฟสว่างไสวอยู่บนขั้นบันได นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน
ท่ามกลางลานที่กว้างขวาง ได้ยินเพียงเสียงลมที่พัดผ่านยอดไม้
“ฮูหยินเจ้าคะ! ทางเข้าลานเป็นช่องลม หากเป็นหวัดขึ้นมาจะไม่ดีเอานะเจ้าคะ บางคนที่คิดไม่ดีอาจจะคิดว่าท่านโมโหจนไม่สบายหรือแสร้งทำเป็นไม่สบายเอาได้” หู่พั่วค่อยๆ เดินเข้ามาเรียกสืออีเหนียงเบาๆ “ให้บ่าวนำเสื้อคลุมมาให้ท่านดีหรือไม่”
เป็นการเตือนนางอ้อมๆ ว่าที่นี่ลมแรง
สืออีเหนียงตอบ “อืม” แล้วก็พูดว่า “ไม่ต้อง เราเข้าไปข้างในกันเถิด!”
หู่พั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากนั้นก็ได้ยินสืออีเหนียงพูดว่า “เจ้าคิดว่า แต่งอนุภรรยาคนใหม่เข้ามา ควรจะให้นางอยู่คนเดียวหรืออยู่กับพวกเรา ตามหลักแล้ว นางคือคนของไทเฮา ไม่เหมือนอนุภรรยาทั่วไป ควรจะให้อยู่คนเดียวได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็คงต้องอยู่ที่เรือนท่าเรือหลิวฟัง เรือนจ้าวจวงถังหรือว่าเรือนหน่งเซียงทางทิศตะวันตกของสวนดอกไม้ เรือนท่าเรือหลิวฟังใกล้แม่น้ำ ไม่ค่อยปลอดภัย เรือนหน่งเซียงก็เรียบง่ายเกินไป กลัวจะมีคนบอกว่าเราต้อนรับนางไม่ดี…แต่หากมาอยู่กับเรา” พูดจบ นางก็กวาดตามองดูห้องรอบๆ “อย่างไรก็เป็นเพียงอนุภรรยา คงอยู่ลานข้างหน้าไม่ได้แน่นอน อยู่ลานข้างหลัง? เช่นนั้นพวกเจ้าจะทำอย่างไร หากอยู่ที่ลานเล็กทางทิศตะวันออกกับบรรดาอี๋เหนียง เหวินอี๋เหนียงก็อยู่ที่ลานแรกที่หันหน้าไปทางทิศใต้ หรือว่าจะให้เหวินอี๋เหนียงแบ่งลานให้นาง?” พูดพลางถอนหายใจ “ช่างเป็นเรื่องที่วุ่นวายเสียจริง!”
ฮูหยินกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ส่งคนไปสืบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นในพระราชวังตอนนี้? ท่านโหวปลอดภัยหรือไม่ แต่กลับมาสนใจเรื่องพวกนี้!
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็เป็นห่วง นางเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “เรื่องพวกนี้ ต้องถามท่านโหวก่อนเจ้าค่ะ!”
ดูเหมือนว่าสืออีเหนียงจะไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร นางพยักหน้า “รอท่านโหวกลับมาแล้วค่อยตัดสินใจก็แล้วกัน!” จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง