ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 361 ฤดูหนาว(ต้น)
สืออีเหนียงมองดูท่าทีภาคภูมิใจของท่านป้าคนนั้น นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่ว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
โดยปกติแล้ว บุตรบุญธรรมจะต้องไม่ไปมาหาสู่กับพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเอง พ่อแม่แท้ๆ ของหวังเฉิงจู่ทำเช่นนี้ได้ เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ใช่คนฉลาดอะไร บางทีมันอาจตรงกับคำโบราณที่ว่า ‘คนชั่วไม่มีทางมีจุดจบที่ดี’ แต่ว่าเป็นกระต่ายแล้วยังไล่กัดคน สือเหนียงทำเช่นนี้มันเสี่ยงเกินไป
นางถามท่านป้าคนนั้น “เรื่องที่เจ้าไปแอบฟังที่จวนสกุลหวัง มีคนรู้เยอะหรือไม่”
“ไม่เยอะเจ้าค่ะไม่เยอะ” ท่านป้าคนนั้นรีบพูด “พี่น้องที่บ่าวรู้จักตอนไปช่วยงานที่จวนสกุลหวังเจ้าค่ะ นางเป็นคนในโรงครัว ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับคนในเรือนหลัก แล้วยังมีฝีมือ จึงยังได้อยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้ดีกว่า!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ต่อไปเจ้าไปจวนสกุลหวังทุกๆ สองหรือสามวัน แล้วก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่ก็อย่าทำให้เป็นที่สนใจ หากมีคนถาม ก็บอกว่าข้าให้เจ้าไปดู”
เช่นนี้ พ่อแม่แท้ๆ ของหวังเฉิงจู่จะได้ระมัดระวังมากขึ้น!
ท่านป้าคนนั้นยิ้มแล้วตอบรับ
สืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วนำเงินให้นางหนึ่งตำหนึ่ง “หากทำงานได้ดียังมีรางวัลอีก”
ท่านป้าคนนั้นออกไปอย่างชอบอกชอบใจ
ผ่านไปไม่กี่วันก็กลับมารายงานอีกครั้ง
“คุณหนูสิบบอกให้ผู้ดูแลไล่สกุลญาติของสกุลหวังที่มาอยู่ที่จวนเม่ากั๋วกงออกไปเจ้าค่ะ คนเหล่านั้นไม่สนใจ คุณหนูสิบจึงไม่ให้โรงครัวทำอาหารให้พวกเขา มีคนไปตำหนิคุณหนูสิบ คุณหนูสิบก็ไม่พูดอะไร ขว้างถ้วยชาร้อนๆ ออกไป…” พูดถึงตรงนี้ ท่านป้าคนนั้นอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสืออีเหนียง
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะตกใจ แต่เมื่อคิดดูแล้ว มันคือนิสัยที่แท้จริงของสือเหนียง นางไม่แสดงท่าทีอะไร ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างเรียบเฉย
ท่านป้าคนนั้นเห็นเช่นนี้ ก็กล้าพูดต่อ
“หากไม่ใช่เพราะว่าคนคนนั้นหลบเร็ว คุณหนูสิบเองก็ป่วยนานจนไม่มีแรง เกรงว่าถ้วยชาถ้วยนั้นคงจะขว้างไปกระแทกหน้าแน่นอนเจ้าค่ะ คนอื่นรู้เข้าจึงพากันวิพากษ์วิจารณ์ คุณหนูสิบดึงดาบออกมาจากห้องโถงแล้วโยนมันปักลงบนพื้น แล้วยังบอกว่า เก่งมากก็ฆ่านางเสีย ไม่เช่นนั้น อีกสามวันนางจะส่งคนไปจุดไฟเผาเรือนปีกที่เหล่าสกุลญาติอาศัยอยู่ บังคับคนเหล่านั้นกลับไป คืนวันนั้นก็มีคนขโมยของในห้องแล้วแอบออกไป คุณหนูสิบรู้เช่นนี้ จึงส่งผู้คุ้มกันชายสองสามคนไปเฝ้าที่ประตู ตอนนี้ทุกคนที่ออกจากจวนเม่ากั๋วกงต้องถูกค้นตัวอย่างละเอียดทุกคน หากเจอสิ่งของของจวนเม่ากั๋วกงแม้แต่ชิ้นเดียว ก็จะส่งตัวไปศาลว่าการในฐานะหัวขโมย ตอนนี้คนเหล่านั้นวุ่นวายกลายเป็นข้าวต้มไปแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิด บอกให้ลี่ว์อวิ๋นไปเรียกพ่อบ้านไป๋เข้ามา
“พี่หญิงสิบของข้า ตอนนี้เป็นม่ายคอยดูแลบุตรชายบุญธรรมและแม่สามีที่ป่วยหนัก กลัวว่าจะมีหัวขโมยแอบย่องเข้าไปตอนกลางคืน รบกวนพ่อบ้านไป๋ส่งเทียบเชิญไปให้ศาลว่าการ ไม่มีอะไรทำก็ไปตระเวนหน้าประตูจวนเม่ากั๋วกงบ่อยๆ” จากนั้นก็บอกให้หู่พั่วนำเงินห้าสิบตำลึงให้พ่อบ้านไป๋ “เงินพวกนี้นำไปซื้อสุราให้พวกเขาเถิด”
พ่อบ้านไป๋รีบผลักเงินออก “จวนเรามักจะเชิญพวกเขามาทานมาดื่มเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์และเทศกาลตรุษจีนของทุกปีอยู่แล้วขอรับ ปกติก็ไม่มีอะไรรบกวนพวกเขา ตอนนี้ฮูหยินมีเรื่องรบกวนให้ช่วย เป็นการถือโอกาสให้พวกเขาได้ตอบแทนบ้าง ไม่จำเป็นต้องใช้เงินพวกนี้ขอรับ!” จากนั้นก็พูดว่า “ฮูหยินไม่ต้องห่วง เรื่องนี้บ่าวจัดการเองขอรับ บ่าวรับรองว่าจะไม่มีใครกล้าไปสร้างปัญหาที่จวนเม่ากั๋วกงแน่นอน”
นำเงินออกมาเพียงเพราะอยากจะแสดงความขอบคุณ พ่อบ้านไป๋กลับไม่รับไว้ สืออีเหนียงก็ไม่บังคับเขา นางยิ้มแล้วพูดว่าลำบากเจ้าแล้วตามมารยาท พ่อบ้านไป๋ก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวออกไปอย่างรู้ความ
ตกเย็นนางเล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ช่างน่าเป็นห่วงเสียจริงเจ้าค่ะ!”
“มีอะไรต้องเป็นห่วง!” สวีลิ่งอี๋เอนตัวไปเป่าตะเกียง “ตราบใดที่มีจวนหย่งผิงโหวอยู่ คนเหล่านั้นก็ต้องเกรงใจเรา” จากนั้นเขาก็พูดเรื่องร้านกับนาง “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ช่างปักสองสามคนจะมาถึงในอีกสองสามวันนี้เจ้าค่ะ” กำลังเป็นไปด้วยดี สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข “คนเช่าคนก่อนรีบออกไป ยังมีชาดแดงอยู่ในมือ อาจารย์เจี่ยนปรึกษากับข้า อยากจะซื้อมาในราคาถูก ตอนที่เปิดกิจการ ทุกคนที่มาซื้อของเรา เราจะมอบกล่องชาดแดงและกล่องแป้งฝุ่นให้พวกเขา บอกว่าตอนที่อยู่เจียงหนาน เคยเห็นร้านขายเมล็ดข้าวมอบกระสอบข้าวให้ลูกค้าตอนที่เปิดกิจการ ข้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี จึงใช้เงินสองร้อยตำลึง ซื้อกล่องแป้งฝุ่นมาสี่ร้อยกล่อง และกล่องชาดแดงสามร้อยกล่อง แล้วยังมีน้ำมันทาผมและทาหน้าอีก ตอนนี้เป็นห่วงว่าถึงตอนนั้นจะมอบให้ลูกค้าไม่หมดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ให้ไม่หมดก็นำกลับมาให้บรรดาสาวใช้และท่านป้า ถึงตอนนั้นก็จะปีใหม่แล้ว”
“เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่เกรงว่าจะมีคนนำเรื่องนี้ไปเป็นแบบอย่างแล้วเลียนแบบ ต่อไปมอบชาดแดงให้สาวใช้ทุกปีใหม่ หากเหลือเยอะจริงๆ ข้าคิดว่ามอบให้คนของตัวเองก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าตัดสินใจเองเถิด” สวีลิ่งอี๋คิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็ก “ข้าได้ยินพ่อบ้านไป๋บอกว่า หยางฮุยจู่ที่เจ้าแนะนำมาไม่เลวเลยทีเดียว ซื้อข้าวซื้อของเป็น อยากจะเลื่อนเขาเป็นผู้ดูแลระดับสอง”
“เขาเป็นผู้ติดตามของพี่หญิงใหญ่” สืออีเหนียงไม่อยากยอมรับเป็นความดีความชอบของตัวเอง เล่าเรื่องที่หยางฮุยจู่ซื้อไข่มุกให้เขาฟัง “…เห็นว่าเขาไม่เลว จึงแนะนำให้กับท่านโหว”
พวกเขาพูดคุยกันอยู่นานจากนั้นก็พักผ่อน
ท่ามกลางความงงงวย นางรู้สึกว่าสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นเบาๆ
“เป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร เจ้านอนเถิด!” สวีลิ่งอี๋ลูบหัวนางเบาๆ
แต่นางตื่นแล้ว สืออีเหนียงลืมตาขึ้น
ไฟข้างนอกสว่างไสว มีเสียงพูดคุยกันและเสียงฝีเท้าเบาๆ เดินออกไป แล้วก็มีเสียงเปิดประตูเบาๆ จากนั้นสวีลิ่งอี๋ที่สวมเสื้อคลุมก็เปิดม่านเข้ามา
ท่ามกลางความมืดสลัว เขาเห็นดวงตาที่เป็นประกายราวกับอัญมณีของสืออีเหนียง
“ตื่นแล้วหรือ!” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วถอดเสื้อคลุมขึ้นบนเตียง
“เกิดอะไรขึ้นกันเจ้าคะ” สืออีเหนียงหาว
“ฮองเฮาได้ให้กำเนิดองค์หญิงเมื่อยามอิ๋น”
“ไอ๊หยา!” สืออีเหนียงตาสว่างในทันที นับวันดูแล้ว ฮองเฮาจะคลอดช่วงนี้พอดี แต่เมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ นางก็ดีใจ “บุตรสาวถือเป็นเสื้อผ้าฝ้ายตัวเล็กของมารดา ฮองเฮามีทั้งพระโอรสและพระธิดา เป็นเรื่องที่น่ายินดีเจ้าค่ะ”
“ฮ่องเต้ก็ดีใจเป็นอย่างมาก” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพยักหน้า “นี่คือพระธิดาองค์โตของฮ่องเต้ เขากำลังให้คณะราชทูตร่างพระราชโองการ ให้บรรดาขุนนาง องค์หญิงและฮูหยินที่ระดับสี่ขึ้นไปในเมืองหลวงเข้ามาแสดงความยินดีในอีกสามวัน แล้วยังจะลดโทษให้นักโทษอีกต่างหาก!”
“ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงตกใจ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็พอเข้าใจ
ถึงแม้ว่าจะมีพระโอรสถึงเจ็ดคน แต่พระธิดาองค์นี้คือบุตรสาวคนแรก
แต่สวีลิ่งอี๋คิดไม่เหมือนสืออีเหนียง “ช่วงนี้เรื่องยกเลิกคำสั่งปิดทะเลไม่ค่อยราบรื่น ถือโอกาสวันพระบรมราชสมภพขององค์หญิงรื่นเริงกันบ้างก็ดีเหมือนกัน”
ช่วงกลางเดือนเก้า ฮ่องเต้ออกพระราชโองการตั้งระบบศุลกากรในเฉวียนโจว หนิงปัวและกว่างโจว แต่ตอนนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่สืออีเหนียงให้ความสำคัญมากที่สุด
นางลุกขึ้นนั่ง “เรานำข่าวดีนี้ไปบอกท่านแม่กันเถิด! ให้ท่านได้ดีใจ”
“ประเดี๋ยวค่อยไปดีกว่า!” สวีลิ่งอี๋ห้ามนางเอาไว้ “ตอนนี้พึ่งจะยามอิ๋น!”
สืออีเหนียงแปลกใจ
หมายความว่า ตั้งแต่ฮองเฮาทรงคลอดองค์หญิงจนข่าวมาถึงหูของสวีลิ่งอี๋ ผ่านไปแค่สามเค่อ
นางอดไม่ได้ที่จะมองไปยังสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็พูดว่า “เรื่องในพระราชวัง ยิ่งรู้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี!”
สืออีเหนียงไม่ถามอะไรอีก นางล้มตัวนอนต่อ แต่กลับนอนไม่หลับ เปิดปากพูดกับสวีลิ่งอี๋ “ฝูเจี้ยนมีข่าวอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่มีข่าวอะไร!” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเรียบเฉย “คนของสกุลโอวก็ค่อยๆ หยุดการเคลื่อนไหวแล้ว ตอนแรกเปลี่ยนความสนใจจากการตามหาซื่อจื่อที่หายตัวไป ไปสนใจว่าใครจะเป็นคนสืบทอดตำแหน่งซื่อจื่อ ผู้บัญชาการหลี่ไล่ฆ่าโจรไปสองสามครั้ง มีหน้ามีตามากมาย กรมกลาโหมกำลังให้ความดีความชอบเขา อยากแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพจาวหย่วน”
เพราะเป็นไปตามที่คิดไว้ ดังนั้นจึงไม่ถือว่ามีข่าวคราวอะไร!
สืออีเหนียงครุ่นคิด นึกถึงหลี่จี้ที่ไปฝูเจี้ยนกับบิดา
ราวกับว่ามีจิตสัมผัส สวีลิ่งอี๋พูดถึงหลี่จี้ขึ้นมาพอดี “…เป็นผู้บังคับของบิดาเขา”
ผู้บังคับเป็นขุนนางระดับห้า ขึ้นไปอีกก็เป็นขุนนางระดับสี่ ระดับห้าข้ามไประดับสี่ไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนทั้งชีวิตก็ข้ามไปไม่ได้ แต่เมื่อข้ามไปได้แล้ว มีคนอยู่ในราชสำนัก และไม่ทำผิดในเรื่องการปกครองบ้านเมือง การเป็นผู้บัญชาการ ขุนนางระดับสามก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ แต่ว่าหลี่จี้ยังเด็กก็ได้รับตำแหน่งเช่นนี้ ผู้บัญชาการหลี้ใจร้อนเกินไปหรือเปล่า!
สืออีเหนียงครุ่นคิด ก็มีมือใหญ่ที่อบอุ่นจับมือตัวเองไว้ “ชีวิตของคนเรายังอีกยาวไกล เราจะเฝ้ามองแค่วันเวลาได้เช่นไร”
นางมองออกไปตามเสียง ก็เห็นดวงตาอันอ่อนโยนของสวีลิ่งอี๋
“ดาบที่แหลมคมต้องคอยลับอยู่ตลอด กลิ่นของดอกเหมยก็มาจากฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ รับตำแหน่งที่สูงเช่นนี้เมื่ออายุยังน้อย ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นก่อนที่การสอบศิลปะการต่อสู้เซียงซื่อจะเปิด ข้าเรียกจ้งหรานมา ถามว่าเขาวางแผนไว้เช่นไร เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็ตัดสินใจทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจะอยู่ช่วยเหลือลูกหลานของสกุลเซ่าที่จะเข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้ในปีหน้าที่เยี่ยนจิง จากนั้นค่อยกลับไปเข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้ฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้าที่ซังโจว ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของเขาจะระมัดระวังมากเกินไป แต่เขาสามารถรักษาสัญญา คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง นี่คือการแสดงความเป็นลูกผู้ชายข้าเห็นว่าเขาเป็นเด็กที่หนักแน่น ไม่แปลกที่เจ้าจะถูกใจเขา”
ที่แท้ก็กลัวว่านางจะผิดหวังเมื่อเห็นหลี่จี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยแค่นี้ เขาจึงพูดเกลี้ยกล่อมนาง
สืออีเหนียงพลันรู้สึกอุ่นใจ “คนเราล้วนเข้าใจเหตุและผลดี แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตนเองได้”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังแล้วก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา
สืออีเหนียงพูดตรงไปตรงมาราวกับไม่มีอะไรต้องปิดบัง ทำให้คนที่พูดคุยกับนางรู้สึกสบายใจราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
เขาอดไม่ได้ที่จะกำมือเล็กๆ ของนางไว้แน่น
นุ่มนวลและละเอียดอ่อนราวกับหยก ทำให้คนที่ได้จับไม่อยากปล่อยมือ
“นอนต่อเถิด!” สวีลิ่งอี๋เอนตัวพิงหมอนที่หัวเตียงแล้วพูดเบาๆ “รอฟ้าสร่างแล้วค่อยไปบอกท่านแม่”
สืออีเหนียงพยักหน้า อยากจะดึงมือออกมาแล้วนอนลง
แต่มือของตัวเองกลับถูกกำไว้แน่น
นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋หลับตาลงราวกับนอนหลับไปแล้ว
หรือจะนอนจับมือนางเช่นนี้
สืออีเหนียงแอบบ่นพึมพำอยู่ในใจ จากนั้นก็ออกแรงดึงมือกลับมาอีกครั้ง
แต่มือของเขาก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
เขาหลับตาสนิท
สืออีเหนียงเบิกตามองเขาอยู่นาน จากนั้นก็นอนลงไปอย่างเอือมระอา ปล่อยให้เขาจับมือของตัวเองแล้วหลับไป
สวีลิ่งอี๋ลืมตาขึ้น มองไปที่สืออีเหนียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
*****
สิ้นปีแล้ว สืออีเหนียงได้ยินข่าวข่าวหนึ่ง
คุณชายสองของตระกูลผู้บัญชาการหลี่ที่ฝูเจี้ยนและบุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลองค์หญิงอานเฉิงหมั้นกันแล้ว