ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 360 ร้านมงคลสมรส(ปลาย)
เคยเกลียดหรือไม่
ดูเหมือนว่าตนจะไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “ไม่เคยเกลียดเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
“จริงๆ แล้วข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้” สายตาของสืออีเหนียงนิ่งสงบ “เพราะข้ารู้ว่าการเกลียดไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะของข้าได้ แล้วข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำกว่าการเกลียดชังคนอื่นเจ้าค่ะ”
นางต้องฝึกเย็บปักถักร้อยแล้วเข้าสู่สังคมให้เร็วที่สุด นางต้องพยายามแสดงความสำคัญของตัวเองต่อหน้านายหญิงใหญ่ นางต้องคิดหาวิธีรักษาสมดุลรายจ่าย รักษาคุณภาพชีวิตของตัวเองเพื่อไม่ให้อู่เหนียงและคนอื่นๆ เยาะเย้ย…ตนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องพวกนั้น
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้คนมักพูดว่า ‘คนยากจนไม่มีสิทธิ์มานั่งเสียใจ!’
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่เบ่งบานราวกับดอกไม้ของสืออีเหนียง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
นางและสือเหนียงคือพี่น้องที่อายุใกล้เคียงกันมากที่สุด เกิดที่ฝูเจี้ยนด้วยกัน เติบโตที่อวี๋หังด้วยกัน และแต่งงานมาอยู่ที่เยี่ยนจิงด้วยกัน แต่สือเหนียงยอมถูกคนอื่นมองว่าเป็นลูกอกตัญญู ทำให้นายหญิงใหญ่ที่นอนป่วยอยู่บนเตียงโมโห เพียงเพราะว่าสือเหนียงเป็นคนเย็นชาตั้งแต่เกิดเช่นนั้นหรือ
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบแก้มนางเบาๆ
ผิวที่อยู่ใต้นิ้วของเขา บอบบางราวกับกลีบดอกกุหลาบ
เขานึกถึงคืนแรกที่เดินทางออกไปโจมตีเเคว้นเหมียวเจียงแต่กลับพ่ายแพ้คืนนั้น
แสงดวงจันทร์ที่สว่างไสวสาดส่องลงบนผ้าห่มสีฟ้าอย่างเย็นชา ส่องแสงเป็นประกายที่มืดมน กดลงบนตัวเขาราวกับแอ่งน้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็ง มันหนักจนทำให้เขารู้สึกแทบจะหายใจไม่ออก แต่เมื่อฟั่นเหวยกังที่ฮ่องเต้ส่งมาปกป้องความปลอดภัยของเขาถามเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาว่า ‘ท่านโหว ท่านกลัวหรือไม่ขอรับ’ มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มของเขาพลันกำหมัดแน่น แต่น้ำเสียงของเขากลับแผ่วเบาราวกับสายลมและก้อนเมฆ ‘มีเวลากลัว ไม่สู้คิดว่าพรุ่งนี้จะทำเช่นไรดีกว่า!’
คำพูดดูกล้าหาญ แต่แท้จริงแล้วตนกำลังหวาดกลัว
ตอนนั้นตนลุกขึ้นแต่งตัว บอกให้ฟั่นเหวยกังเรียกแม่ทัพทั้งหมดมาปรึกษากลยุทธ์รับมือ…บรรดาแม่ทัพถึงร่วมด้วยช่วยกัน การสู้รบที่เเคว้นเหมียวเจียงจึงพลิกผันไปในทางที่ดีขึ้น ถึงได้มีความสำเร็จของทุกวันนี้
คำตอบของพวกเขา ช่างคล้ายกันเสียเหลือเกิน
หรือว่าสืออีเหนียงในตอนนี้ก็เหมือนกับเขาในตอนนั้น ใช่ว่าไม่กลัว ใช่ว่าไม่เสียใจ ใช่ว่าไม่ลังเล และใช่ว่าไม่เคยคิดที่จะหันหลังกลับ แต่แค่รู้ว่าตัวเองจะกลัวไม่ได้ เสียใจไม่ได้ ลังเลไม่ได้ และหันหลังกลับไม่ได้ ข้างหน้าคือภูเขาที่สูงชัน แต่ข้างหลังคือหุบเขาลึก พวกเขาต้องไม่คิดอะไร กัดฟันแล้วเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น
ตัวเขาในวันนี้ ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกเสียใจที่ราวกับสายลมเย็นเช่นนั้นมาตั้งนานแล้ว
แต่สืออีเหนียงที่พึ่งจะทำพิธีขึ้นปิ่นปักผมไปเมื่อต้นฤดูร้อนเล่า
นางจะเหมือนเขาในตอนนั้นหรือไม่ ที่ถามตัวเองในตอนกลางคืนว่า ‘หากเปลี่ยนเป็นท่านพ่อ เขาจะทำเช่นไร’ หรือ ‘หากพี่สองเจอเรื่องเช่นนี้ เขาจะทำเช่นไร…’
แล้วนางจะถามใครกัน
สวีลิ่งอี๋นึกถึงท่าทีตำหนิที่ไร้ความปรานีของนายหญิงใหญ่ตอนที่นางกลับสกุลเดิม สายตาที่พยายามหลบหน้านางของอู่เหนียง หัวใจของเขาก็ราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
บางสิ่งที่เขาพยายามเก็บไว้ในใจก็ผุดขึ้นมา
นิ้วของเขาร้อนรุ่มราวกับถูกไฟแผดเผา เขารีบดึงมือกลับมา
“เงียบ” เขามองหน้านาง “เจ้าไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก? หรือว่าหลังจากมาที่เยี่ยนจิงร่างกายก็เริ่มแย่ลง?”
วันนี้สวีลิ่งอี๋แปลกๆ
ตอนแรกหยอกล้อนางราวกับสหายเก่าที่เชื่อใจนาง บอกนางว่าอย่าทำให้สือเหนียงโมโห จากนั้นก็ถามว่านางเคยเกลียดนายหญิงใหญ่หรือไม่ จากนั้นก็ลูบหน้านางด้วยสายตาที่รักใคร่เอ็นดู และสุดท้ายก็ถามถึงสุขภาพของนางด้วยสีหน้าจริงจัง
สืออีเหนียงพลันนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ตัวเองทานยาอยู่ตลอด
จะว่าไปแล้ว ตนแต่งงานมาปีกว่าแล้ว…เขากำลังถามถึงเรื่องบุตรใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงก้มหน้าลง “ข้าเคยป่วยตอนเด็ก รักษาตัวอยู่ครึ่งปี แต่หลังจากดีขึ้นแล้วก็ไม่ค่อยป่วยเจ้าค่ะ!”
“เป็นโรคอะไร” สวีลิ่งอี๋ถาม
สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าทะเลาะกับพี่หญิงสิบ ฤดูหนาวพื้นลื่น สุดท้ายไม่ระวังจึงลื่นล้มหัวกระแทกกับเสาข้างทางเดิน”
สวีลิ่งอี๋ตกใจจนไม่พูดอะไรอยู่นาน
สกุลหลัวคือสกุลใหญ่สกุลโตในเจียงหนาน ไม่ใช่สกุลยากจนอะไร คุณหนูในจวนทะเลาะกันไม่มีใครเกลี้ยกล่อม แต่กลับปล่อยให้นางหัวกระแทกเสา สาวใช้และท่านป้าของนางมัวแต่ทำอะไรอยู่ หากไม่ใช่เพราะมีคนให้ท้าย จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร!
เขาเม้มปากแน่น
จู่ๆ บรรยากาศก็เยือกเย็นลง
สืออีเหนียงเหงื่อตก
เรื่องที่สือเหนียงทำลงไปมันน่าตกใจมากพอแล้ว ตอนนี้เกรงว่าสวีลิ่งอี๋คงจะรู้สึกไม่ชอบสือเหนียงเข้าไปอีก ถ้ารู้อย่างนี้คงจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
นางหัวเราะขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม “โชคดีที่มีรอยแผลยาวไม่ถึงนิ้ว แล้วยังอยู่ในเส้นผม…”
ยังพูดไม่ทันจบ สวีลิ่งอี๋ก็พูดขัดว่า “ให้ข้าดูหน่อย!”
สืออีเหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋ยื่นมือออกมาคลำหัวของนางทันที
ที่แท้ก็จะดูรอยแผลเป็นของนาง!
สืออีเหนียงเอียงหัวแล้วชี้ให้เขาดูอย่างใจกว้าง “อยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ลูบแผลเป็นนั้นเบาๆ นึกถึงความอันตรายในตอนนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ตอนนั้นเจ้ากลัวหรือไม่”
กลัว?
ต้องกลัวอยู่แล้ว!
ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าอยู่ในโลกใบใหม่คนเดียว กลัวว่าคนอื่นจะมองออก กลัวว่าตัวเองจะมีพฤติกรรมแปลกๆ ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและถูกคนอื่นมองว่าเป็นตัวประหลาด
ความรู้สึกนั้น นางไม่มีวันลืม
ตอนนี้คิดเช่นนี้ หัวใจของนางก็รู้สึกเยือกเย็น
“จำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!”
บอกว่าจะลืม ก็ต้องพยายามลืมให้ได้
“ผ่านไปนานมากแล้ว ตอนนั้นข้ายังเด็ก จำไม่ค่อยได้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงนึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขเหล่านั้น “จำได้แค่ว่าข้านอนอยู่บนเตียงคนเดียวตั้งนาน ทุกครั้งที่นอนตะแคงแล้วมองออกไป ก็จะเห็นต้นดอกจื่อเถิงที่พันอยู่บนต้นกล้วยนอกหน้าต่าง ออกดอกสีม่วงเล็กๆ เมื่อลมพัดมา มันก็จะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามา แต่เมื่อเปิดหน้าต่าง ก็จะมีแมลงบินเข้ามา ต้องเปิดหน้าต่างแค่ตอนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น…แสงแดดส่องเข้ามาเป็นดวง ส่องแสงระยิบระยับอยู่กลางอากาศ ส่องตานิดหน่อยแต่สวยงามมากเจ้าค่ะ…ฤดูใบไม้ผลิมีนกนางแอ่นสองตัวบินเข้ามาทำรังใต้ชายคา…ข้าเฝ้าดูพวกมันฟักนกนางแอ่นตัวน้อยสี่ตัว ตอนหิวพวกมันจะอ้าปาก ยื่นคอออกมาแล้วร้อง ปากของพวกมันเป็นสีเหลือง…”
สวีลิ่งอี๋ฟังอย่างเงียบๆ สายตาของเขามีร่องรอยของความสงสารที่แม้แต่เขาเองก็ไม่ทันสังเกต
เหมือนตอนที่เขาป่วย มีผู้คนมากมายมาอยู่รอบตัวเขาเสมอ เขาแค่คิดว่าจะไล่คนพวกนั้นออกไปเช่นไร ตัวเองจะได้นอนหลับพักผ่อนสักที จะมีเวลาไหนไปสนใจว่านอกหน้าต่างปลูกต้นอะไรไว้ ดอกอะไรกำลังเบ่งบาน
สังเกตละเอียดขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นนางโดดเดี่ยวมากเพียงใด
เขาอดไม่ได้ที่จะโอบกอดสืออีเหนียงจากข้างหลัง
เอวของสืออีเหนียง ผอมเพรียวราวกับต้นหลิวในฤดูใบไม้ผลิ
นางรูปร่างสูงปานกลางแต่ลำตัวเรียวยาว เอวคอด กระดูกเล็ก ทำให้นางดูสง่างามและบอบบางเป็นพิเศษ และดูสูงกว่าความจริงไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะดูดี แต่กลับยังไม่เหมาะที่จะมีลูก
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีลิ่งอี๋พลันใจสั่น
เขาครุ่นคิด จากนั้นก็กระซิบที่หูนางเบาๆ “เจ้ามีระดูครั้งแรกเมื่อไร”
สืออีเหนียงที่กำลังพูดอยู่ ได้ยินเช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะหยุดพูด จากนั้นก็หน้าแดงระเรื่อจนถึงใบหู
สวีลิ่งอี๋ถามเบาๆ อีกครั้ง “เมื่อไร”
“หลังจากมาที่เยี่ยนจิงเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยความเขินอาย
อวี๋หังอยู่ไกลจากเยี่ยนจิงหลายพันลี้ นายท่านใหญ่สกุลหลัวและหลัวเจิ้นซิ่งมาถึงก่อน จากนั้นนายหญิงใหญ่ก็พาอู่เหนียงที่อายุสิบแปดปี สือเหนียงที่อายุสิบห้าปีกับสืออีเหนียงที่ระดูยังไม่มามาที่เยี่ยนจิง… และสุดท้ายคนที่ได้แต่งงานกับตัวเองก็คือสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเฉลียวฉลาดขนาดนี้ นางเคยคิดหาสาเหตุของเรื่องนี้หรือไม่
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้าที่แดงราวกับดอกบัวสีแดงของนาง ความเจ็บปวดในคืนวันแต่งงาน ความสบายใจของคำพูดที่อ่อนโยนภายใต้แสงไฟสลัว ความสุขตอนที่เต้นรำกับจุนเกอ ความอ่อนโยนตอนที่สั่งสอนเจี้ยเกอ ความเมตตาใจดีตอนที่ต้องเผชิญกับบรรดาอี๋เหนียง…มันวนเวียนอยู่ในหัวของเขาราวกับขบวนรถม้า
ตอนนั้นตัดสินใจแต่งงานกับสืออีเหนียง ถึงแม้ว่าหยวนเหนียงจะบอกว่าสืออีเหนียงยังเด็ก แล้วเขาก็ยังไม่อยากมีบุตรชายภรรยาเอกคนที่สองเร็วๆ นี้ แต่เขาเปลี่ยนความตั้งใจเดิมไปนานแล้ว สืออีเหนียงทำพิธีขึ้นปิ่นปักผมผ่านไปตั้งสี่เดือนแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย…หรือว่ายังมีเหตุผลอื่น
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
และสืออีเหนียงรู้สึกได้ถึงความเงียบของสวีลิ่งอี๋ นางอดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความงงงวย
ดวงตาที่กลมโตแบ่งสีขาวดำอย่างชัดเจน สดใสราวกับสายน้ำจากภูเขา จนนางสามารถมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋หลบตาสืออีเหนียง
หากรู้แล้วจะทำไมเล่า ด้านหนึ่งคือสกุลเดิม อีกด้านหนึ่งคือสามี นี่คือตำแหน่งที่วางตัวยากที่สุดในโลก ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่นางแต่งเข้ามาในจวนสกุลสวี ก็เป็นเหมือนที่นางพูดไว้ เพราะนางรู้ว่าความเกลียดเปลี่ยนแปลงสภาวะของนางไม่ได้ ดังนั้นนางจึงกระทำมากกว่าคำพูด เพราะว่ามีเรื่องที่สำคัญมากกว่าความเกลียด ดังนั้นนางจึงอ่อนโยนและใจกว้างมาตลอด…
เขาแนบหน้าตัวเองลงบนรอยแผลเป็นที่หัวของสืออีเหนียง
ในตอนนี้ เขาหวังว่าสืออีเหนียงจะไม่รู้
บางครั้ง การไม่รู้ก็คือวาสนาอย่างหนึ่ง
*****
ไม่กี่วันต่อมา ท่านป้าที่สืออีเหนียงส่งไปแอบฟังข่าวที่สกุลหวังก็กลับมารายงาน “…ว่าไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูสิบของเราช่างไม่ธรรมดา เรียกท่านกั๋วกงมาสั่งสอน จากนั้นก็บอกให้ท่านกั๋วกงเชิญคนของท่านกั๋วกงผู้เฒ่ากลับมา แล้วยังบอกว่า ให้ท่านกั๋วกงจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายในสามวัน ท่านกั๋วกงยังเด็ก จะรู้ได้เช่นไรว่าควรทำอย่างไรกัน สาเหตุที่เรื่องในจวนถูกพ่อแม่แท้ๆ ของท่านกั๋วกงควบคุม ก็เพราะว่าท่านกั๋วกงเชื่อฟังพ่อแม่ของตัวเอง แน่นอนว่าเขาไม่มีทางสนใจคำพูดของคุณหนูสิบ แต่คุณหนูสิบของเราก็ไม่ธรรมดา นางพูดทันทีว่า หากไม่ทำตามที่นางบอก นางก็จะไปฟ้องศาลต้าหลี่ว่าท่านกั๋วกงทรยศ อกตัญญู เป็นลูกบุญธรรมของคนอื่นแต่กลับให้บิดามารดาของตัวเองมาจัดการเรื่องในจวน ไม่สนใจแม่บุญธรรมของตัวเอง มารดาแท้ๆ ของท่านกั๋วกงได้ยินเช่นนี้ก็พูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า สกุลหลัวเป็นสกุลขุนนาง เป็นสกุลใหญ่สกุลโตของเจียงหนาน สกุลสวีก็เป็นสกุลขุนนาง ใต้เท้าอวี๋ก็ทำงานอยู่ที่ราชสำนัก หากคุณนายใหญ่ไม่สนใจอะไร ก็เชิญไปฟ้องได้เลย สุดท้ายท่านคิดว่าจบลงเช่นไรเจ้าคะ”
นี่เป็นวิธีของนางเช่นนั้นหรือ
จะไปฟ้องศาลต้าหลี่ว่าลูกบุญธรรมของตัวเองทรยศ อกตัญญู?
สืออีเหนียงพูดไม่ออก
แต่หู่พั่วที่อยู่ข้างๆ กลับรีบถามขึ้นว่า “เป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ”
ท่านป้าคนนั้นก็พูดอย่างภาคภูมิว่า “สุดท้ายคุณหนูสิบของเราไม่พูดอะไรทั้งนั้น ไปศาลต้าหลี่กับแม่นางจินเหลียน มารดาของท่านกั๋วกงเห็นว่ามันผิดปกติ จึงไปรับคุณหนูสิบกลับมาด้วยตัวเอง แล้วก็ทำตามที่คุณหนูสิบบอกทุกเรื่อง!”