ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 359 ร้านมงคลสมรส(กลาง)
สืออีเหนียงเห็นมือของจินเหลียนและอิ๋นผิงถือห่อผ้าอยู่ นางก็ตกใจ “พวกเจ้าทำอะไร”
จินเหลียนก้มหน้าไม่พูดอะไร แต่อิ๋นผิงกลับน้ำตาคลอ “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านรีบไปดูคุณนายใหญ่สกุลเราเถิดเจ้าค่ะ! หลังจากวันนั้นที่คุณนายใหญ่พาท่านกั๋วกงกลับมาจากตรอกกงเสียนนางก็ล้มป่วย สองสามวันนี้ไม่ทานอะไรเลย อาการแย่ลงเรื่อยๆ เรื่องในจวนก็ถูกพ่อแม่แท้ๆ ของท่านกั๋วกงเป็นคนควบคุม คุณนายใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่สนใจ แล้วยังไล่พวกบ่าวออกมาต่อหน้าพ่อแม่แท้ๆ ของท่านกั๋วกง บอกว่าบ่าวเป็นสาวใช้ของสกุลหลัว ตอนนี้นางไม่ต้องการพวกบ่าวแล้วพวกบ่าวก็ต้องกลับไปสกุลหลัว บอกให้พวกบ่าวมาหาฮูหยิน ต่อให้เกิดแก่เจ็บตายก็ล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับนางแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแอบโมโหในใจ
สือเหนียงคนนี้ ทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ไล่สาวใช้คนสนิทของตัวเองออกไปหมด ปล่อยให้ตัวเองอยู่ที่นั่นคนเดียว หรือว่าจะเลียนแบบพระโพธิสัตว์ เลี้ยงเสือด้วยร่างกายตัวเองเช่นนั้นหรือ นางคิดว่าคนอื่นไม่กล้าทำอะไรนางจริงๆ เช่นนั้นหรือ
นี่เป็นครั้งแรกที่สาวใช้ในห้องเห็นสืออีเหนียงทำท่าทีเย็นชาเช่นนี้ ทุกคนล้วนแต่หวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจ
ทันใดนั้นบรรยากาศก็ตึงเครียด
จินเหลียนรีบแก้ตัว “ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายใหญ่ไม่ได้อยากจะไล่พวกบ่าวออกมาจริงๆ แต่เพราะว่านางไม่มีทางเลือกเจ้าค่ะ” พูดจบก็ตาแดง “พ่อแม่แท้ๆ ของท่านกั๋วกงฉวยโอกาสตอนที่คุณนายใหญ่ไม่สบาย เปลี่ยนคนทำงานในจวน ไล่คนในจวนออกไป ตอนนี้ทุกคนล้วนแต่ทำงานตามสีหน้าของพวกเขา คุณนายใหญ่ใช้ข้ออ้างนี้ไล่พวกบ่าวออกมา เพื่อไม่ให้พ่อแม่แท้ๆ ของท่านกั๋วกงคิดทำอะไรกับพวกบ่าวสองคนเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงได้ยินนางพูดเป็นนัย ก็ไล่สาวใช้ในห้องออกไปแล้วถามจินเหลียนและอิ๋นผิงอย่างละเอียด “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สกุลหลัวกลับอวี๋หังไปแล้ว สือเหนียงอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้ ถึงแม้ว่าเรื่องที่พวกนางพูดเป็นเรื่องจริง แต่ก็เพราะว่าพวกนางอยากให้สืออีเหนียงช่วยออกหน้าแทนสือเหนียง เห็นสืออีเหนียงถามเช่นนี้ พวกนางก็ไม่สนใจว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด เล่าออกมาหมดทันที
“คุณนายใหญ่ของพวกเราถึงแม้ว่าภายนอกจะดูเย็นชา แต่จิตใจดี ตอนที่ซื่อจื่อยังมีชีวิตอยู่ เขาจู้จี้จุกจิกคุณนายใหญ่ บางครั้งเจอเรื่องที่ไม่ถูกใจข้างนอก ดื่มสุราลงท้อง กลับมาก็มาตบตีคุณนายใหญ่ ว่ากันว่าสาวใช้ห้องข้างสองสามคนนั้น ก็ถูกตบตีจนตาย ลูก…ก็เหมือนกันเจ้าค่ะ” จินเหลียนพูดทั้งน้ำตา “เพราะเช่นนี้ คุณนายใหญ่จึงปกป้องพวกบ่าวมาตลอดเจ้าค่ะ”
อิ๋นผิงร้องไห้เบาๆ
“พวกเรานึกถึงความดีของคุณนายใหญ่ตลอด หลังจากที่ซื่อจื่อเสียชีวิตไปแล้ว พวกเราก็ตั้งใจจะปรนนิบัติคอยรับใช้คุณนายใหญ่เช่นนี้ไปตลอดชีวิต” จินเหลียนพูด “แต่ใครจะรู้ว่า สองวันก่อนแม่แท้ๆ ของท่านกั๋วกงบอกว่า เราคือคนที่เคยรับใช้ซื่อจื่อมาก่อน ตามหลักแล้วไม่ควรอยู่ที่จวน นางจะ…” พลันหน้าแดงด้วยความโกรธขึ้นมา “จะส่งพวกเราออกไปจากจวนเจ้าค่ะ”
ประโยคนี้คือประเด็นสำคัญใช่หรือไม่
“ส่งพวกเจ้าไปให้ใคร” สืออีเหนียงถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ส่งพี่อิ๋นผิงไปให้สหายคนสนิทของบิดาแท้ๆ ของท่านกั๋วกง แล้วส่งบ่าวไปให้…พ่อม่ายเฒ่าคนหนึ่งเจ้าค่ะ!” จินเหลียนพูดเบาๆ
สืออีเหนียงครุ่นคิด “นางรับเงินพวกเขามาเท่าไร”
พวกนางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ ว่า “รับมาคนละสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงหัวเราะแห้ง
อิ๋นผิงรีบพูด “ฮูหยินเจ้าคะ เราเป็นผู้ติดตามของสกุลหลัว ท่านซื่อจื่อจะขายหรือจะไล่มันก็เป็นเรื่องที่สมควร แต่นางก็ไม่ควรเข้ามายุ่ง” นางพูดด้วยความโมโห “ไม่เพียงเท่านี้ นางยังพูดอีกว่าตอนนี้สกุลลำบาก ลดจำนวนสาวใช้และท่านป้าที่คอยรับใช้คุณนายใหญ่จากแปดคนให้เหลือสี่คน ตอนนี้แม้แต่คนรินชารินน้ำให้คุณนายใหญ่ยังไม่มีเลยเจ้าค่ะ”
“ไท่ฮูหยินของพวกเจ้าเล่า ยังป่วยอยู่อีกหรือ” สืออีเหนียงถาม
“ท่านกั๋วกงผู้เฒ่าและไท่ฮูหยินรักและเอ็นดูคุณนายใหญ่ราวกับบุตรแท้ๆ ของตัวเองเจ้าค่ะ” อิ๋นผิงแก้ต่างให้พ่อสามีและแม่สามีของสือเหนียง “รู้ว่าท่านซื่อจื่อไม่เคารพคุณนายใหญ่ ไม่เพียงแต่เกลี้ยกล่อมเขา แล้วยังเคยพาท่านซื่อจื่อไปทำพิธีของตระกูลที่ศาลบรรพชน ครั้งหนึ่งท่านซื่อจื่อดื่มสุราเมามายกลับมา ไท่ฮูหยินกลัวว่าท่านซื่อจื่อจะบ้าคลั่ง จึงมาเกลี้ยกล่อมเขา แล้วยังรับหมัดแทนคุณนายใหญ่ แต่ตอนนี้ท่านกั๋วกงผู้เฒ่าเสียชีวิตไปแล้ว ไท่ฮูหยินก็ไม่สบาย ตอนที่พวกเราไปคารวะนาง นางจำพวกเราไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ยังมีมารดาแท้ๆ ของท่านกั๋วกงโผล่ขึ้นมาอีก เราแทบจะไม่ได้ไปเจอนาง คุณนายใหญ่สกุลหลัวเป็นฉลาด แต่ห่างจากเยี่ยนจิงไกลเกินไป เราก็หาคนส่งจดหมายให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวไม่ได้” นางพูดพร้อมกับมองดูสีหน้าของสืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง “ฮูหยินเจ้าคะ ตอนนี้บรรดาพี่ชายและพี่สะใภ้ล้วนไม่อยู่ที่เมืองหลวง คุณนายใหญ่ไล่พวกเรามาหาท่าน ก็เพราะคิดว่าท่านคือคนที่เราพึ่งพาได้เจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ “พวกเจ้ากลับไปเถิด เรื่องนี้ เป็นเรื่องของจวนสกุลเม่ากั๋วกง ข้าไม่มีทางยื่นมือเข้าไปยุ่งได้” พูดจบนางก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ ทำท่าทีส่งแขก
จินเหลียนและอิ๋นผิงตกใจ จากนั้นสีหน้าของพวกนางก็หม่นหมองลง
นึกถึงตอนที่อยู่อวี๋หัง ถึงแม้ว่าพวกนางตอนนั้นจะอยู่กับคุณนายใหญ่สกุลหลัว แต่ก็เคยได้ยินว่าสือเหนียงเป็นคนเกเร ชอบรังแกสืออีเหนียงที่ขี้ขลาดตาขาว เพราะเช่นนี้พวกนางจึงไม่ถูกกัน ต่อมาติดตามสือเหนียงมาที่จวนเม่ากั๋วกง เห็นสือเหนียงรับใช้ท่านกั๋วกงผู้เฒ่าและไท่ฮูหยินอย่างตั้งใจ สกุลเดิมมีเรื่องอันใดนางก็ไม่เคยไปยุ่ง พวกนางกลัวว่าจะห่างเหินกัน ต่อไปมีเรื่องอันใดคนของสกุลเดิมจะไม่ยอมออกหน้าช่วยเหลือ พวกนางก็เคยเกลี้ยกล่อมสือเหนียงอยู่หลายครั้ง แต่สือเหนียงกลับบอกว่า ‘บุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว ในเมื่อพวกเขาให้ข้าแต่งเข้ามาอยู่ในสกุลหวัง มีชีวิตอยู่ข้าเป็นคนของสกุลหวัง ตายไปข้าก็เป็นผีของสกุลหวัง ข้าจึงต้องดูแลแม่สามีและพ่อสามี ทำไมต้องไปยุ่งเกี่ยวกับสกุลหลัว’ สือเหนียงพูดถูก และพวกนางก็เป็นแค่สาวใช้ ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่ในใจกลับไม่สบายใจ ต่อมาเห็นสือเหนียงลำบาก คนของสกุลเดิมต่างพากันช่วยเหลือนาง พวกนางจึงโล่งใจ เมื่อสือเหนียงบอกให้พวกนางมาหาสืออีเหนียง พวกนางคิดว่าสืออีเหนียงแต่งงานกับหย่งผิงโหว ไม่ว่าเช่นไรพ่อแม่แท้ๆ ของท่านกั๋วกงก็ต้องไว้หน้านาง จึงมาขอความช่วยเหลือจากสืออีเหนียง แต่ที่จริงแล้วคืออยากให้สืออีเหนียงออกหน้าแทนสือเหนียง ตอนนี้ได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเหมือนที่พวกนางคิดไว้ แต่มันกลับสมเหตุสมผล ทำเอาพวกนางพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
จินเหลียนและอิ๋นผิงตกใจจนนิ่งงันอยู่สักพักใหญ่ พวกนางหันมามองหน้ากัน ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็ลุกออกไปข้างนอก
“ประเดี๋ยวก่อน” พวกนางเดินไปถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงที่สงบและเย็นชาของสืออีเหนียงดังขึ้นมา
หรือว่าเปลี่ยนใจแล้ว?
จินเหลียนกับอิ๋นผิงพลันดีอกดีใจ พวกนางรีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว
สืออีเหนียงพูดช้าๆ ว่า “หากพวกเจ้าไม่มาก็คือไม่มา แต่ในเมื่อมาแล้ว ข้าก็ต้องส่งพวกเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัย ประเดี๋ยวคนสกุลหวังจะมาถามข้า”
จินเหลียนและอิ๋นผิงตกใจ
สืออีเหนียงตะโกนเรียกหู่พั่วเข้ามา “เจ้าพาคนสองสามคนส่งแม่นางทั้งสองกลับไปจวนเม่ากั๋วกง”
หู่พั่วมีสีหน้าสับสน แต่นางก็ตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความเคารพ
สืออีเหนียงบอกนาง “เจ้าไปเถิด ไม่เพียงแต่ต้องส่งแม่นางทั้งสองให้พี่หญิงสิบ แล้วก็ไปบอกพี่หญิงสิบแทนข้าด้วย” นางพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “บอกนางว่า เดิมทีข้าเห็นว่านางเย่อหยิ่ง แต่อย่างน้อยก็มีศักดิ์ศรี เรื่องของปี้เถาและหงเถา เพราะว่านางยังเด็ก ทำอะไรไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าข้ามองผิดไป ที่แท้ก็เป็นแค่คนที่ภายนอกดูแข็งแกร่งแต่ภายในกลับอ่อนแอ เห็นว่าคนในจวนล้วนแต่ยอมนางก็หยิ่งยโสโอหังขึ้นมา ทำอะไรก็ไม่สนใจใคร แต่ใครจะรู้ว่าพออยู่ข้างนอกก็ราวกับหนูที่เจอแมว ตัวเองไม่กล้าออกมาพูดยังไม่พอ แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ไม่สนใจแล้ว มาอ้อนวอนขอร้องข้า เช่นนี้ช่างน่ารังเกียจเสียจริง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บอกนางว่าอย่ามาหาข้าบ่อยนัก”
ทุกคนในห้องล้วนหน้าซีดกันหมด จินเหลียนและอิ๋นผิงสีหน้ามืดมนราวกับขี้เถ้า
หู่พั่วตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา จากนั้นก็พาพวกนางออกไปจากเรือนหลัก
สืออีเหนียงถอนหายใจ
สือเหนียงสามารถอดทนต่อความรุนแรงของหวังหลังได้ มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเกลียดชังนายหญิงใหญ่ในใจ ตอนนี้นายหญิงใหญ่ไม่อยู่แล้ว แรงจูงใจที่จะให้นางมีชีวิตอยู่ต่อก็หายไปแล้ว ตัวเองก็ล้มป่วย สืออีเหนียงหวังว่าการกระทำของตนจะทำให้นางคิดได้ ถึงแม้ว่าจะเพื่อจินเหลียนและอิ๋นผิง หรือว่ายอมมีชีวิตต่อไปเพราะไม่อยากถูกอดีตศัตรูอย่างตนดูถูก แต่มันก็ดีกว่าตายไปทั้งๆ ที่อายุแค่นี้
ปีนี้นางอายุแค่สิบแปด!
สืออีเหนียงคิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
นางเรียกสาวใช้ย้ายอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยเข้ามาเย็บปัก จึงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้
สวีลิ่งอี๋เข้ามาเห็นนางมีสีหน้าหม่นหมอง เขายิ้มแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป เปิดร้านขายของมงคลสมรสไม่ราบรื่นหรือ”
สองสามวันมานี้ สืออีเหนียงมีความสุขตลอด
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงลงจากเตียงเตาไปย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋ รับถ้วยชามาจากสาวใช้แล้วยื่นให้เขา “เรื่องของร้านมงคลสมรสราบรื่นดีเจ้าค่ะ อาจารย์เจี่ยนกำลังมอบหมายหน้าที่ให้คนในร้าน!”
สวีลิ่งอี๋นึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงชอบเบี่ยงประเด็นจากเรื่องราวที่แย่ๆ กลายเป็นเรื่องที่ดี เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้ากังวลเรื่องอันใด”
เดิมทีเขานั้นเป็นคนที่ไม่ชอบเค้นถาม
สืออีเหนียงแปลกใจ นางคิดว่าจะเล่าเรื่องสือเหนียงให้สวีลิ่งอี๋ฟังดีหรือไม่ หู่พั่วก็กลับมาพอดี
คงเป็นความประสงค์ของสวรรค์!
สืออีเหนียงเล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆ ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง จากนั้นก็เรียกหู่พั่วเข้ามา
“พี่หญิงสิบว่าเช่นไรบ้าง”
หู่พั่วเห็นว่าสวีลิ่งอี๋อยู่ด้วยก็ตกใจ จากนั้นก็เก็บอาการอย่างรวดเร็วแล้วพูดด้วยความเคารพ “บ่าวยังพูดไม่จบ คุณหนูสิบก็พยายามลุกขึ้นมานั่ง บอกให้บ่าวกลับมารายงานท่าน บอกว่าท่านไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่านางจะต้องไปเป็นขอทาน นางก็ไม่มีทางมาขอที่จวนหย่งผิงโหวเจ้าค่ะ” พูดพร้อมกับดูสีหน้าของสืออีเหนียง เมื่อเห็นสืออีเหนียงนิ่งเฉย ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สกุลหวังและสกุลสวีตัดขาดกันเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะมองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มอย่างเฉยเมยแล้วพูดว่า “ตอนที่พี่เขยสิบเสียชีวิต คุณนายใหญ่เคยยืมท่านป้าที่จวนเราสองสามคนไปช่วยงาน เจ้าไปหาหัวหน้าท่านป้าคนนั้น บอกให้นางแอบไปดูความเคลื่อนไหวที่จวนสกุลหวัง แล้วก็มารายงานข้า” จากนั้นก็พูดเบาๆ “ข้ากลัวว่านางจะพาจินเหลียนและอิ๋นผิงหนี”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
“เจ้าระวังจะเล่นละครมากเกินไป ทำให้นางโมโหจนเสียชีวิต” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วมองไปที่สืออีเหนียง
“บางคนสมควรที่จะได้รับลมฝนที่ตกปรอย แต่บางคนกลับสมควรได้รับพายุฝนฟ้าคะนอง” สืออีเหนียงยิ้ม “พี่หญิงสิบของข้า ต้องใช้ไม้แข็งเท่านั้นเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป ทำสีหน้าเคร่งขรึม “สืออีเหนียง เจ้าเคยเกลียดชังนายหญิงใหญ่หรือไม่” ถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง