ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 344 หมั้นหมาย(ปลาย)
หลังจากส่งสวีซื่ออวี้ไปแล้ว พ่อบ้านไป๋ก็เริ่มทำความสะอาดเรือนมู่เต๋อถังที่อยู่ลานนอก ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของซื่อจื่อในทุกรุ่น นับตั้งแต่สวีลิ่งอานแต่งงาน ที่นี่ก็ถูกปล่อยว่างมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีคนมาทำความสะอาด แต่อย่างไรที่นี่ก็ไม่มีคนอยู่อาศัยมานานสิบกว่าปีแล้ว เมื่อเดินเข้าไปไม่เพียงให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก สิ่งของบางอย่างในนั้นก็ยังต้องซ่อมแซมและจัดใหม่ พ่อบ้านไป๋ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับสืออีเหนียงโดยเฉพาะ
ไท่ฮูหยินให้ป้าตู้มาเชิญสืออีเหนียง
“ข้าว่าเรื่องย้ายเรือนไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” ไท่ฮูหยินมองจุนเกอที่ใบหน้าขาวซีดกำลังนั่งทานน้ำลำไยใส่เม็ดบัวที่เว่ยจื่อนั่งป้อนอยู่ พูดอย่างลังเลว่า “อย่างไรก็ต้องรอให้หน้าร้อนผ่านไปก่อน ตอนนี้แม้แต่ถั่วเขียวต้มอุ่น ข้าก็ไม่กล้าให้เขาทาน”
นับตั้งแต่วันนั้นที่อาเจียนเพราะเวียนหัว ในงานเลี้ยงฉลองแต่งตั้งซื่อจื่อเขาก็ได้ตามสวีลิ่งอี๋ไปดื่มสุราแสดงความเคารพ หย่งชังโหวแกล้งหยอกให้เขาทานหมูสามชั้นครึ่งชิ้น สุดท้ายพอกลับมาถึงเรือนก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย ทานอะไรก็ไม่รู้สึกอยากอาหาร อดอาหารอยู่สี่ห้าวันถึงได้ดีขึ้น
เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมจนเกินไป!
กระนั้นสืออีเหนียงเองก็เป็นห่วงเช่นกัน จึงพยักหน้าเห็นด้วยทันที “เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินถามถึงเรื่องการย้ายเรือนของสืออีเหนียง “เรือนริมน้ำเป็นสถานที่หลบร้อนได้ดี ข้าว่าพวกเจ้ารอให้ผ่านหน้าร้อนไปก่อนแล้วค่อยย้ายดีหรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยอาศัยอยู่ที่เรือนลี่จิ่งเซวียนคนเดียว เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปกลับระหว่างเรือนเสาหวากับเรือนริมน้ำทุกวัน วันละสี่รอบ ไม่มีศาลาทางเดิน ใบหน้าถูกแดดแผดเผาจนแดงระเรื่อ…
“ทำตามคำสั่งของท่านโหวดีกว่าเจ้าค่ะ อีกสองวันก็คงต้องย้ายแล้ว” สืออีเหนียงพูดปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
“ในเมื่อพวกเจ้าได้ตกลงกันแล้ว เช่นนั้นก็เลือกวันมงคลฤกษ์งามยามดีย้ายเข้าเถิด” ไท่ฮูหยิไม่ได้เซ้าซี้ แต่แววตากลับมีความผิดหวังเล็กน้อย
สืออีเหนียงเห็นได้อย่างชัดเจน รู้ว่าไท่ฮูหยินอยากให้ตัวเองกับสวีลิ่งอี๋อยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่นางไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ได้แต่หลบสายตาของไท่ฮูหยินราวกับนกกระจอกเทศ
เมื่อนางออกไปแล้ว ไท่ฮูหยินก็พูดกับป้าตู้อย่างทอดถอนใจว่า “เดิมทีนึกว่าจะมีข่าวดี สุดท้ายก็ย้ายกลับไปทั้งอย่างนี้!”
“เรื่องแบบนี้รีบร้อนไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มพลางใช้ไม้จิ้มแตงโมที่ปลอกเปลือกแล้วส่งให้ไท่ฮูหยิน “ยิ่งไปกว่านั้นการย้ายกลับไปก็เป็นเรื่องดี จะได้ไม่ต้องละกฎเกณฑ์อย่างเช่นตอนนี้”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าช้าๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก วันที่สืออีเหนียงย้ายกลับเข้าเรือนอย่างเป็นทางการ นางก็ยังตั้งใจไปดูโดยเฉพาะ
สืออีเหนียงปรึกษากับสวีลิ่งอี๋นานแล้ว ห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋ให้จัดไว้ที่ห้องปีกทิศตะวันออกข้างห้องหลัก ส่วนห้องปีกทิศตะวันตกให้เป็นที่อยู่ของสวีซื่อเจี้ย ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์ให้ไปอาศัยอยู่ที่เรือนลี่จิ่งเซวียน หากสวีซื่ออวี้กลับมาก็ให้เขาพักอยู่เรือนนอก
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจินเจี่ยเอ๋อร์โตแล้ว ก็ควรมีเรือนเป็นของตัวเองได้แล้ว เจ้าคิดได้รอบคอบจริงๆ” มองสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนอย่างสบายใจ ดวงตาฉายแววพึงพอใจ พูดคุยกับสืออีเหนียงสองสามประโยค จากนั้นก็พาป้าตู้กลับเรือนตัวเอง
สืออีเหนียงสั่งการบรรดาสาวใช้ให้ช่วยกันจัดเรือน จัดกล่องหีบ และเป็นช่วงวันที่หกเดือนหกพอดี จึงอาศัยโอกาสนี้นำเสื้อผ้าหรือของใช้ในฤดูหนาวออกมาตาก ยุ่งวุ่นวายอยู่สี่ถึงห้าวัน เมื่อถึงวันที่สิบสองก็เป็นวันเกิดของจุนเกอ เนื่องจากว่าพึ่งจะดีขึ้นจากอาการตกใจก่อนหน้านี้ ไท่ฮูหยินจึงกังวลว่าหากจัดงานเลี้ยงจะเสียงดังมากเกินไป จึงสั่งให้คนครัวทำบะหมี่อายุยืน เชิญคนในบ้านมาทานบะหมี่อายุยืนด้วยกันก็พอแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่ากลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมากมายมาที่จวน
ใต้เท้าเจียงได้ส่งคนให้นำคัมภีร์มหาบุรุษและคัมภีร์ทางสายกลางสองเล่มของราชวงศ์ก่อนมาเป็นของขวัญวันเกิดให้จุนเกอ ต่อมาคุณนายใหญ่สกุลหลัวได้ส่งคนให้นำเสื้อคลุมสีแดงกับสีขาวนวลจันทร์มาส่ง ชีเหนียงได้ส่งคนให้นำหินหยกแกะสลักลายค้างคาวมงคลห้าตัวสูงครึ่งไม้บรรทัดมาส่ง ส่วนซื่อเหนียงได้ส่งถุงหอมลายดอกบัวร้อยไข่มุกมา หวงฮูหยินส่งกระบอกพู่กันแกะสลักด้วยไม้หวงหยางมา
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างจนปัญญา “พวกเราเสียมารยาทแล้ว”
“ครอบครัวของเรายุ่งวุ่นวาย ทั้งหมดก็ล้วนเป็นญาติสนิทมิตรสหายกัน คิดดูแล้วก็คงจะเข้าใจได้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเอ่ยปลอบใจไท่ฮูหยิน กลับไปจัดการของขวัญและฝากเอ่ยคำขอบคุณให้แต่ละตระกูลกับหู่พั่ว
มารดาของหลี่จี้ หลี่ฮูหยินมาเยี่ยมเยียน
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
หากมาเพราะงานเฉลิมฉลองวันเกิดของจุนเกอ เช่นนั้นข่าวสารของนางก็เร็วเกินไปแล้ว คนโบราณเชื่อว่าช่วงเวลาตกฟากของวันเดือนปีเกิดนั้นเกี่ยวพันกับดวงชะตาของตัวเอง จะไม่ให้ใครล่วงรู้ได้ง่ายๆ หากเป็นเรื่องบังเอิญ การที่นางมาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใด หากกังวลเรื่องการหมั้นหมายของหลี่จี้ นางก็ควรจะไหว้วานให้คนอื่นมาพูดกับสืออีเหนียงแทนการมาเผชิญหน้ากับสืออีเหนียงด้วยตัวเอง เพื่อให้เวลากับทั้งสองฝ่ายมีโอกาสได้ครุ่นคิด…
นางรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ กำชับหู่พั่วว่า “เชิญหลี่ฮูหยินมานั่งที่ห้องโถงหลักของเรือนข้า” จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่ห้องโถง
หลี่ฮูหยินนำของขวัญวันเกิดมาให้จุนเกอ
“นายท่านของเราที่จริงแล้วไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่กลับรู้แต่เรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านั้น พวกเรารู้วันเกิดของซื่อจื่อมานานแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พี่หญิงของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง จึงไม่อยากมารบกวนบ่อยๆ ครั้งนี้ได้ยินข้าบอกว่าฮูหยินเป็นคนจิตใจดีและสุภาพ นายท่านจึงได้เลือกของขวัญชิ้นนี้ด้วยตัวเองแล้วกำชับให้ข้านำมาส่งให้ แม้ว่าข้าเองจะรู้สึกว่าไม่เหมาะสมเท่าไร แต่พอนึกขึ้นได้ว่านายท่านให้คนนำมาส่งจากซานซีโดยเฉพาะ คิดถึงความตั้งใจของนายท่านข้าจึงไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงฝืนใจนำของมาส่ง ขอฮูหยินเห็นแก่ความจริงใจของนายท่านของพวกเราด้วยเถิด อย่าได้ปฏิเสธเลย”
สืออีเหนียงมองพยัคฆ์น้อยสีทองอร่ามที่สูงสามนิ้ว นางเหงื่อแตกพลั่ก
“ข้ารับน้ำใจของใต้เท้าหลี่กับหลี่ฮูหยินแล้ว…”
นางพึ่งจะเริ่มเอ่ยขึ้น หลี่ฮูหยินก็ตัดบทนาง “ฮูหยิน ท่านฟังข้าก่อน…”
“หลี่ฮูหยิน ท่านฟังข้าเถิด” สืออีเหนียงพูดเสียงดังกลบเกลื่อนคำพูดของหลี่ฮูหยิน “วันเกิดของซื่อจื่อพวกเราไม่ได้เชิญแขก จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก พวกเรากลัวว่าหากจัดงานยิ่งใหญ่เกินไปจะไม่เหมาะสม ของแบบนี้ข้าจึงไม่กล้ารับไว้ ใต้เท้าหลี่กับท่านโหวของเราก็เคยเป็นสหายร่วมงานกัน บุตรชายของท่านโหวร่างกายไม่แข็งแรง ใต้เท้าหลี่ก็รู้เรื่องนี้ ท่านนำคำพูดนี้กลับไปบอก เชื่อว่าใต้เท้าหลี่คงจะเข้าใจความลำบากใจของข้า”
เหตุผลที่สืออีเหนียงปฏิเสธนั้นดูสมเหตุสมผล หลี่ฮูหยินจึงไม่อาจเซ้าซี้ได้
ดวงตาของนางพลันฉายแววหงุดหงิด
สืออีเหนียงเห็นแล้วยิ้ม มองกล่องสีแดงแกะสลักที่ใส่พยัคฆ์น้อยทองคำไว้ “กล่องใบนี้ขนาดกำลังดี ไม่เล็กไม่ใหญ่ สามารถนำมาใส่ตราประทับหรือแท่งหมึกได้ ก่อนหน้านี้ซื่อจื่อได้ถามข้าว่าช่วยทำขึ้นให้สักอันได้หรือไม่ ข้าว่าหลี่ฮูหยินมอบกล่องสีแดงใบนี้ให้แก่ซื่อจื่อดีหรือไม่ นับว่าได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่แล้ว” จากนั้นก็ส่งสายตาให้หู่พั่วเป็นสัญญาณให้นางคืนพยัคฆ์ทองคำให้หลี่ฮูหยินแล้วเก็บกล่องไว้
หลี่ฮูหยินมองสืออีเหนียงด้วยสายตาจริงจังยิ่งกว่าเดิม
“เป็นข้าที่กระทำการบุ่มบ่าม แค่ฮูหยินไม่ตำหนิ ข้าก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นท่านต้องการเพียงแค่กล่อง เช่นนั้นท่านก็เอาไปเถิด” นางฝืนยิ้มเล็กน้อย “หากนายท่านถามขึ้นมา ข้าก็นับว่าทำภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้ว”
“ของขวัญที่หายากที่สุดคือของขวัญที่เหมาะสมพอดี” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินได้มอบสิ่งที่ซื่อจื่อต้องการแล้ว ยังจะมีสิ่งใดที่ดีกว่านี้อีก ต่อให้ใต้เท้าหลี่รู้เข้า ก็สามารถพูดได้ว่าสิ่งที่ฮูหยินทำ ทำให้เขาวางใจได้” สืออีเหนียงพูดอย่างเกรงใจ ลุกขึ้นจับมือหลี่ฮูหยิน “ยากนักที่ท่านกับใต้เท้าหลี่จะใส่ใจซื่อจื่อของพวกเรา ในเมื่อวันนี้มาแล้วก็ทานบะหมี่อายุยืนสักชามก่อนแล้วค่อยไปเถิด!”
หลี่ฮูหยินไม่ได้ปฏิเสธ นางไปหาไท่ฮูหยินพร้อมกับสืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินเองก็ประหลาดใจกับการมาของหลี่ฮูหยิน เมื่อได้ฟังสืออีเหนียงบอกว่าหลี่ฮูหยินได้มอบกล่องแกะสลักสีแดงให้เป็นของขวัญวันเกิดจุนเกอ นางจึงยิ้มบางๆ แล้วเรียกหลี่ฮูหยินมาทานบะหมี่อายุยืนด้วยกันด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลี่ฮูหยินเองก็ไม่ได้มีท่าทีอึดอัดเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีสกุลสวีมากมายในห้อง ทานบะหมี่อายุยืนแล้วสนทนากับไท่ฮูหยินครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงไปส่งนางที่ประตูฉุยฮวา
ระหว่างทาง หลี่ฮูหยินถามนางด้วยความเป็นห่วงว่า “ได้ยินนายท่านของพวกเราบอกว่าหลายวันก่อนท่านโหวไปซานตง ระหว่างทางได้พบกับโจรเข้า แล้วผู้คุ้มกันก็ยังตายไปหลายคนกว่าจะรอดมาได้ โลกในยามนี้ไม่สงบสุขเสียแล้ว!”
เจอกับโจรที่ซานตง?
สืออีเหนียงตกใจ
ตอนสวีลิ่งอี๋กลับมาเขาไม่ได้เอ่ยกับตนถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่คำเดียว
มิน่าเล่า ชีเหนียงถึงได้บอกว่าตอนที่เจอเขาก็นึกว่าเขาเป็นโจร
ตนนึกว่าเขาไม่อยากดูโดดเด่นเวลาออกไปข้างนอกดังนั้นจึงได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ดูไม่เรียบร้อย และคิดว่าเขาเดินทางอย่างยากลำบากจึงได้มีสีหน้าอ่อนล้า…
แต่เมื่อเห็นว่าหลี่ฮูหยินกำลังมองมา สืออีเหนียงจึงไม่กล้าเปิดเผยสีหน้าแม้แต่น้อย
ในเมื่อใต้เท้าหลี่เล่าเรื่องนี้ให้หลี่ฮูหยินฟัง ทำให้นางแอบรู้สึกว่าการมาเยือนของหลี่ฮูหยินในครั้งนี้นั้นไม่ธรรมดา
สืออีเหนียงกล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “ข้าเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง ไม่อาจพูดเรื่องนี้ได้”
หลี่ฮูหยินได้ฟังเช่นนี้ก็อดแสดงสีหน้าตกใจออกมาไม่ได้
สีหน้าของสืออีเหนียงสงบนิ่งเกินไป
หากไม่ใช่เป็นเพราะรู้เรื่องนี้มานานแล้วก็คงเป็นคนที่ลุ่มลึก
อย่างที่สืออีเหนียงบอก เรื่องนี้เดิมทีสตรีไม่ควรรู้ หากสืออีเหนียงรู้ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียวคือสวีลิ่งอี๋ได้รับบาดเจ็บ! ถ้าหากนางไม่รู้…รอยยิ้มของหลี่ฮูหยินดูเกร็งขึ้นก่อนจะผ่อนคลายลงอีกครั้ง
“ใช่แล้ว เดิมทีข้าเองก็ไม่รู้มาก่อน หากไม่ใช่ครั้งนี้…” นางหยุดบทสนทนากะทันหัน จากนั้นก็หยุดฝีเท้าแล้วมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เห็นสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยยืนคำนับอยู่ไกลๆ จึงได้ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ขยับตัวเข้าไปใกล้สืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินนายท่านบอกว่าท่านโหวเกิดเรื่องที่ซานตง หลังจากนั้นซื่อจื่อของจิ้งไห่โหว…ก็หายตัวไปกะทันหันอย่างไร้เหตุผล!”
สืออีเหนียงพลันสับสนไปหมด นางทนไม่ไหวอีกต่อไป เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หลี่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็พยักหน้าให้นางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม “หากยังมีชีวิตอยู่ก็หาตัวไม่พบ หากตายแล้วก็หาศพไม่เจอ”
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้”
นางได้ยินเสียงที่แหบแห้งของตัวเอง
“ดังนั้นฝูเจี้ยนจึงเกิดความโกลาหล” หลี่ฮูหยินมองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า “จิ้งไห่โหวไม่เพียงแค่สั่งให้คนพลิกแผ่นดินฝูเจี้ยน ซ้ำยังส่งคนไปตามหาที่เมืองซั่งเหรา ลี่สุ่ย เหมยโจว ทำเอาราษฎรบริเวณนั้นต่างหวาดกลัว ฮ่องเต้ทรงพิโรธมากเมื่อรู้เข้า จึงสั่งปลดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารฝูเจี้ยน!”
สืออีเหนียงใจเต้นระรัว
ช่างบังเอิญเสียจริง!
สวีลิ่งอี๋ถูกสุ่มโจมตีก่อน จากนั้นซื่อจื่อจิ้งไห่โหวก็หายตัวไป
พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีลิ่งอี๋ไม่ได้กลับเรือนติดต่อกันสองวัน…นางรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งกาย…พูดตอบหลี่ฮูหยินไปตามน้ำ “ก็ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะทรงกริ้ว เรื่องนี้ส่งผลกระทบไม่น้อย!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” หลี่ฮูหยินพยักหน้า “ผู้บัญชาการทหารฝูเจี้ยนก็เหลือเกิน ถึงกับปล่อยให้สกุลโอวกระทำการเหลวไหลเช่นนี้ ดูแล้วตำแหน่งผู้บัญชาการทหารของเขาคงจะไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้ว” พูดพลางถอนหายใจเบาๆ “ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้ใครไปเก็บกวาดที่ฝูเจี้ยน”
ในยุคนี้สตรีให้ความสำคัญกับหลักคำสอน ‘สามคล้อยตาม สี่คุณธรรม’ พูดถึงเรื่องการเมืองนั้นไม่พึงกระทำ…แต่หลี่ฮูหยินไม่เพียงแต่พูดคุยซุบซิบเกี่ยวกับการเมือง ซ้ำนางยังพูดกับสืออีเหนียงที่ไม่ใช่ทั้งสหายรักหรือสหายรู้ใจ
สืออีเหนียงแอบเตือนตัวเองอยู่ในใจ ไม่ได้ปริปากตอบนาง