ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 343 หมั้นหมาย(กลาง)
ฮูหยินห้าพยายามจะทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก
สวีลิ่งอี๋ไหนเลยจะมองไม่ออก
เขาตบไหล่สวีลิ่งควนแล้วพูดกับฮูหยินห้าว่า “ต่อไปอย่าตัดสินใจบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก!”
สวีลิ่งควนรีบพยักหน้า “ไม่ทำแล้ว ไม่ทำแล้ว”
ฮูหยินห้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนที่จะค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา
ฮูหยินสองลุกขึ้นยืน “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด ให้จุนเกอได้นอนพักผ่อนให้สบาย ดื่มน้ำแกงสงบจิตสักสองเวลาก็พอแล้ว”
สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยของแต่ละคนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอยออกไป แต่ไท่ฮูหยินกลับนั่งลงบนเก้าอี้ สวีลิ่งควน ฮูหยินห้าและคนอื่นๆ จึงอยู่ต่อด้วย มองไท่ฮูหยินจับมือเล็กๆ ของจุนเกอพลางเอ่ยถามเขาเสียงเบาว่า “เจ้าอยากทานอะไรหรือไม่ ให้ป้าตู้ต้มน้ำแกงเนื้อลำไยใส่เม็ดบัวให้เจ้าดีหรือไม่” สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ” จุนเกอพูดเสียงเบาว่า “แค่อยากนอนพักผ่อนสักหน่อย” สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ดี ดี ดี ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว นอนพักผ่อนเถิด”
จุนเกอหลับตาลง
สืออีเหนียงยกถ้วยชาเขียวมา “จุนเกอ บ้วนปากก่อนแล้วค่อยนอน ”
จุนเกอได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอีก ให้สืออีเหนียงพยุงตัวขึ้นมาบ้วนปากแล้วค่อยนอนลงอีกครั้ง
สืออีเหนียงช่วยจุนเกอจัดผ้าห่มแล้วเกลี้ยกล่อมไท่ฮูหยิน “ท่านเองก็ไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ ที่นี่มีข้าคอยดูแลอยู่”
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะกลับก่อน หากมีอะไรเกิดขึ้นเจ้าก็ส่งคนมาเรียกข้า”
สืออีเหนียงตกปากรับคำ ไท่ฮูหยินพาฮูหยินสอง สวีลิ่งควน และฮูหยินห้ากลับเรือนใน
ภายในห้องเหลือเพียงสวีลิ่งอี๋กับภรรยาเท่านั้น
จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็พูดเสียงเบา “เจ้าว่านี่นับว่าเป็นการฟาดเคราะห์หรือไม่” น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความหวัง
แม้จะไม่ศรัทธาในศาสนาพุทธหรือลัทธิเต๋า แต่ในใจคงรู้สึกเป็นกังวลอยู่กระมัง
สืออีเหนียงพูดอย่างคลุมเครือว่า “ลางร้ายจะกลายเป็นดี จุนเกอต้องไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
หมอหลวงรีบวิ่งเข้ามาท่าทางเหนื่อยหอบ
หลังจากตรวจชีพจรแล้วก็เหมือนกับที่ฮูหยินสองพูด เพียงแค่ตกใจเล็กน้อย จึงสั่งยาต้มสองอย่างเพื่อผ่อนคลายจิตใจ สืออีเหนียงกำชับให้หู่พั่วไปต้มยาโดยไม่ต้องให้ใครบอก สวีลิ่งอี๋เลือกวันที่ยี่สิบหกเดือนห้าเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองการแต่งตั้งจุนเกอเป็นซื่อจื่อ
เหล่าผู้ดูแลของสกุลสวีเริ่มยุ่งวุ่นวายมากขึ้น สืออีเหนียงไปหาสวีซื่ออวี้
เรือนลี่จิ่งเซวียน ต้นชบาจีน ต้นทับทิม ต้นยี่เข่ง…ต่างเบ่งบานตระการตา เหวินจู๋ที่กำลังกำชับสาวใช้น้อยทำความสะอาดที่ลาน เมื่อเห็นสืออีเหนียงก็ตกใจ รีบกระซิบสั่งสาวใช้น้อยให้ไปรายงานสวีซื่ออวี้ ส่วนตัวเองก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ
“คุณชายน้อยสองอยู่ที่ไหน” สืออีเหนียงถามนางด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายน้อยสองตื่นตั้งแต่ยามเหม่า หลังจากทานอาหารเช้าก็เริ่มฝึกเขียนตัวอักษรจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดพักเจ้าค่ะ” ท่าทางเหมือนกลัวว่าสืออีเหนียงจะตำหนิเขา
แม้ว่าเหวินจู๋และคนอื่นๆ จะเป็นคนที่นางเลือก แต่คนที่อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนกลับเป็นสวีซื่ออวี้ หากเขาไม่สามารถแม้แต่จะทำให้คนรอบข้างอยู่ใต้อำนาจเขาได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะพึ่งพาตัวเองได้อย่างไร
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย เห็นชิ่นเซียงเดินมากับสวีซื่ออวี้อย่างไม่รีบร้อน
“ท่านแม่!” ท่าทางของเขาดูเคร่งขรึม แม้ว่ากฎในเรือนจะผ่อนผันลง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขานั้นระแวดระวังตัวอยู่ไม่น้อย
“ข้าตั้งใจมาเยี่ยมเจ้า” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ได้ยินว่าเจ้าตื่นแต่เช้ามาฝึกคัดอักษร ข้าคงไม่ได้รบกวนเจ้าใช่หรือไม่”
สวีซื่ออวี้ได้ฟังก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก้มตัวลงเล็กน้อยกำลังจะตอบคำถามอย่างนอบน้อม แต่สืออีเหนียงกลับเดินผ่านเข้าไปในห้องของเขาแล้ว
เขาทำได้เพียงเดินตามไปพลางพูดเสียงเบาว่า “ข้าฝึกจนเหนื่อยพอดีจึงอยากจะพักสักหน่อยขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเขา
ข้างในมีสามห้อง ทางฝั่งตะวันออกเป็นห้องนอน ทางฝั่งตะวันตกเป็นห้องหนังสือ
พวกเขาไปที่ห้องหนังสือ
บนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่มีกระดาษเสวียนจื่อวางอยู่ครึ่งโต๊ะ พู่กันแขวนห้อยอยู่บนชั้นวางพู่กัน มีหมึกหยดลงมา เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะเขียนจดหมายบางฉบับขึ้นมา
สืออีเหนียงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินไปที่โต๊ะแล้วเอ่ยชมการเขียนอักษรของเขา
“ยังเขียนได้ไม่ดีเท่าไรขอรับ” สวีซื่ออวี้รู้สึกอายเล็กน้อย
“ไม่หรอก” ตัวหนังสือของสวีซื่ออวี้นั้นงดงามมาก สืออีเหนียงพูดตามความจริงว่า “ข้ารู้สึกว่าลายเส้นของเจ้าประณีต ปลายพู่กันโค้งมนแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความสง่างาม เพียงแต่ว่าขาดความมั่นคงไปเล็กน้อย หากเขียนเช่นนี้ต่อไปจะทำให้เคยชินได้”
สวีซื่ออวี้ตาเป็นประกาย “เช่นนั้นตามความหมายของท่านแม่แล้ว ต้องเขียนอย่างไรถึงจะดูมั่นคง?”
“เจ้าจับพู่กันได้ลื่นไหลเหมือนก้อนเมฆและสายน้ำ ช่างหาได้ยากยิ่ง แต่เวลาเขียนพู่กันกลับไร้เรี่ยวแรง กระทั่งแสดงความลังเลออกมาให้เห็นหลายส่วน…”
สืออีเหนียงกับสวีซื่ออวี้คุยกันเรื่องการเขียนตัวอักษรนานกว่าครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็ไปหาสวีซื่อเจี้ย อยู่ที่นั่นพักหนึ่งก่อนจะกลับเรือนตัวเอง
วันต่อมานางไปหาสวีซื่ออวี้อีกครั้ง
สวีซื่ออวี้มองสืออีเหนียงด้วยความประหลาดใจ
สืออีเหนียงเพียงแค่สนทนากับเขาเรื่องการเขียนตัวอักษร
ตอนแรกสวีซื่ออวี้ยังใจลอยอยู่บ้าง ต่อมาเห็นว่าสืออีเหนียงพูดได้น่าสนใจเขาจึงค่อยๆ คล้อยตาม แล้วเริ่มสนทนาเรื่องตัวอักษรในภาพวาดกับสืออีเหนียง
วันที่สามสืออีเหนียงก็ไปอีกครั้ง…สวีซื่ออวี้หยิบผลงานเก่าๆ ออกมาให้สืออีเหนียงดู ทั้งสองคนช่วยกันวิจารณ์อีกรอบ จนกระทั่งทานข้าวเสร็จสืออีเหนียงจึงได้ขอตัวลา
สวีซื่ออวี้ไปส่งสืออีเหนียงที่หน้าประตู เงยหน้ามองสืออีเหนียงแล้วพูดเสียงเบาว่า “…ข้าจะตั้งใจฝึกเขียนตัวอักษรให้มากขอรับ” เหมือนกำลังแสดงให้เห็นอะไรบางอย่าง แล้วก็เหมือนกับกำลังอธิบายอะไรบางอย่าง
ความเฉลียวฉลาดเช่นนี้…
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “เช่นนั้นข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว พรุ่งนี้ในจวนจะเชิญเหล่าญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมงานเลี้ยงแต่งตั้งน้องสี่ของเจ้าเป็นซื่อจื่อ”
สวีซื่ออวี้ยกมือขึ้นคารวะ มองสืออีเหนียงเดินจากไป
พึ่งจะหันกลับมาก็มีสาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงเข้มวิ่งออกมาจากทางเล็กๆ ด้านข้าง “คุณชายน้อยสอง อี๋เหนียงให้บ่าวมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
สวีซื่ออวี้ตัวแข็งทื่อโดยทันที พยักหน้าเบาๆ “อืม”
สาวใช้ผู้นั้นยิ้มกว้างพลางเดินเข้าไปคำนับสวีซื่ออวี้
******
หลังจากงานเลี้ยงผ่านไป สกุลสวีและสกุลเจียงก็ได้เริ่มเจรจาเรื่องการหมั้นหมาย
สกุลสวีเชิญซุ่นอ๋องมาเป็นพ่อสื่อ และแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิด ส่วนสืออีเหนียงก็ทำสร้อยคอจี้ทองคำแดง แหวนคู่ลายดอกบัวสีแดง ต่างหูที่ทำจากไข่มุกของทางใต้ขนาดเท่าเม็ดบัวหนึ่งคู่ที่มีอยู่ในกล่องเครื่องประดับของตน แล้วยังมีต่างหูประดับทับทิมทองแดงหนึ่งคู่ กำไลข้อมือทองชุบสีหนึ่งคู่ กำไลทองแดงสลักลายหนึ่งคู่ กำไลเส้นด้ายสีแดงหนึ่งคู่ แหวนสลักลายลูกท้อหนึ่งวง แหวนสลักลายดอกทับทิมหนึ่งวง แหวนฝังหยกลายน้ำเต้าหนึ่งวง แหวนทองแดงประดับหยกอีกหนึ่งวง กล่องใบชาหนึ่งกล่อง และกล่องสุราหนึ่งกล่องส่งไปที่สกุลเจียงเพื่อเป็นของหมั้นเล็กๆ น้อยๆ ทั้งสองตระกูลปรึกษาหารือกันว่าจะกำหนดวันแต่งงานให้เป็นวันที่หลังจากคุณหนูเก้าสกุลเจียงทำพิธีปักปิ่นแล้ว
ความคืบหน้าของเรื่องนี้ทำให้ทั้งสองตระกูลนั้นพอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องที่สวีซื่อจุนถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ ใต้เท้าเจียงเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยถึงเรื่องที่สวีซื่ออวี้จะไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาจิ่นสี
“…แม้ว่าการเดินทางในฤดูร้อนจะทำให้อ่อนเพลียเป็นพิเศษ แต่ว่าเวลานั้นเป็นสิ่งมีค่า หากเดินทางในตอนนี้ ปลายเดือนหกจะไปถึงเล่ออาน หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี คุณชายสองก็จะไปทันการสอบของรุ่นเด็กในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าได้”
แต่เดิมสวีซื่ออวี้ปลายปีจะกลับเยี่ยนจิง แต่หากจะเข้าร่วมการสอบของรุ่นเด็ก ปลายปีก็ต้องไม่กลับเยี่ยนจิง นอกจากเวลาในการเดินทางไปกลับแล้ว สวีซื่ออวี้ยังเหลือเวลาในการเรียนอีกห้าเดือน และอีกอย่างเจียงซงก็ไม่เคยได้พบสวีซื่ออวี้มาก่อน
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้า
สกุลเจียงรีบร้อนเกินไป หรือว่าใต้เท้าเจียงกระตือรือร้นเกินไป? หรือว่าสกุลเจียงนั้นมีความตั้งใจมุ่งมั่นในเรื่องนี้?
“…แม้อวี้เกอจะร่ำเรียนหนังสือกับอาจารย์ในตระกูลมาหลายปีแล้ว” สวีลิ่งอี๋เอ่ยอย่างยินดีปรีดา “แต่หากมีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคอยชี้แนะเพิ่มเติม การขยายเวลาเล่าเรียนศึกษาก็เป็นเรื่องเหมาะสมอย่างยิ่ง”
ขยายเวลาออกไปตามคำพูดของเจียงไป่
หลังจากทำการตัดสินใจคร่าวๆ แล้ว ทั้งสองคนต่างก็เห้นพ้องต้องกัน
เช่นนั้นก็ดี เมื่อไปเล่ออานแล้ว บางเรื่องที่วางไม่ลงก็คงต้องวางลงแล้ว!
สืออีเหนียงนึกถึงคำที่หู่พั่วพูดกับนาง “…หลังจากที่ท่านไป เสี่ยวอวี้บ่าวรับใช้คนสนิทข้างกายฉินอี๋เหนียงก็ไปพบคุณชายน้อยสองหลังจากนั้น คุณชายน้อยสองให้บ่าวรับใช้ของตัวเองออกไป พูดอะไรบ้างก็ไม่อาจรู้ได้ แต่พอตกกลางคืนก็พลิกตัวไปมาทั้งคืนไม่ยอมหลับ วันรุ่งขึ้นตาของเขาช้ำเป็นสีเขียว เหวินจู๋ตกใจรีบวิ่งไปที่ท่าน้ำหลิวฟังเพื่อตักน้ำแร่มาประคบตาให้คุณชายน้อยสอง” นางพูดแล้วชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ท่านว่าเราเปลี่ยนคนที่ติดตามคุณชายน้อยสองไปเล่ออานดีหรือไม่เจ้าคะ!”
“ไม่ต้องหรอก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มีใครบ้างที่ข้างกายไม่มีคนสนิท มีใครบ้างที่ข้างกายไม่มีคนที่ทำให้ไม่สบายใจ แม้จัดการตรงนี้ไปก็จะมีเรื่องแบบนี้ผุดขึ้นมาใหม่อยู่ดี ไม่สู้เลือกเหวินจู๋ไปเลย อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่พวกเราเลือก ในเมื่อนางเห็นแก่ความดีของคุณชายน้อยสอง ก็ต้องเห็นแก่ความดีของข้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ไม่ได้ต้องการจะทำร้ายคุณชายน้อยสอง”
เมื่อคิดได้เช่นนั้นสืออีเหนียงก็พูดต่ออีกว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะช่วยอวี้เกอเก็บสัมภาระ!”
สวีลิ่งอี๋พานางไปดูเรือนหลักที่ซ่อมแซมแล้ว “…พึ่งทาสีน้ำมัน กลัวว่าเจ้าจะทนไม่ไหว ทิ้งไว้ก่อนสักครึ่งเดือนก็ย้ายเข้าอยู่อาศัยได้แล้ว”
ประตูหน้าลานสีดำขลับ มีระเบียงทางเดินที่มีราวจับ เสาสูงตั้งแต่หลังคาจรดพื้น และหน้าต่างไม้แกะสลัก ต่างก็ทาสีใหม่ทั้งหมด ประตูทางเข้ามีกำแพงแกะสลักขนาดใหญ่ มุมประตูทางไปเรือนของอี๋เหนียงด้านตะวันออกกลายเป็นกำแพงสีเทาขาว
สืออีเหนียงประหลาดใจมาก เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋เดินผ่านกำแพงแกะสลักไปแล้ว นางจึงระงับความสับสนภายในใจแล้วก้าวเท้าเดินตามไป
ห้องปีกสามห้องทางด้านซ้ายและด้านขวาของกำแพงแกะสลักก็เพิ่มเข้ามาใหม่เหมือนกัน ทางเดินสู่ห้องโถงสามห้องเมื่อก่อน ถูกเปลี่ยนเป็นห้องโถงใหญ่ แล้วยังมีห้องย่อยซ้ายและขวาเพิ่มมาอีกอย่างละหนึ่งห้อง ด้านหลังห้องโถงใหญ่เป็นห้องหลัก แล้วยังมีห้องย่อยซ้ายและขวาเพิ่มมาอีกอย่างละหนึ่งห้อง ส่วนห้องแถวเจ็ดห้องด้านหลังได้สร้างห้องปีกเพิ่มมาอีกสามห้องทางทิศตะวันตก ส่วนทางด้านทิศตะวันออกได้สร้างทางเดินเชื่อมแต่ละห้อง
ขนาดใหญ่เกินกว่าที่สืออีเหนียงจินตนาการไว้ ส่วนทางเดินเชื่อมแต่ละห้องนั้น…
“นี่คือ?”
“คงยืมห้องโถงบุปผาของท่านแม่ตลอดไปไม่ได้หรอก” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเรียบว่า “ต่อไปนี้ก็จัดการเรื่องในเรือนที่ห้องโถงด้านหน้าเถิด!”
สืออีเหนียงเดินผ่านทางเดินเชื่อมระหว่างห้องด้วยความประหลาดใจ มองตรอกยาวระหว่างเรือนเล็กทางทิศตะวันออกกับเรือนหลัก
ห้องด้านหลังเป็นที่พำนักของสาวใช้ ประตูเดิมที่บรรดาอี๋เหนียงเคยใช้เข้าออกที่อยู่ข้างประตูใหญ่ ตอนนี้กลับถูกสร้างไว้ที่ข้างห้องหลังจวน…
******
สืออีเหนียงรีบช่วยสวีซื่ออวี้เก็บสัมภาระให้เรียบร้อย นางไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋ได้บอกอะไรกับเขาไว้บ้าง นางแอบให้ถุงเงินสวีซื่ออวี้เป็นการส่วนตัว ในนั้นมีตั๋วเงินยี่สิบตำลึงห้าใบ “…เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน”
สวีซื่ออวี้ชะงักไปครู่ใหญ่ก่อนจะเรียกสติกลับมา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เหวินจู๋ก็รายงานผ่านผ้าม่านเข้ามาว่า “ฉินอี๋เหนียงมาเจ้าค่ะ”
เขาชะงักไปอีกครั้ง
“เจ้าจะไปแล้ว ข้าเลยให้ฉินอี๋เหนียงมาช่วยเจ้าเก็บข้าวของ” สืออีเหนียงพูดขึ้น ส่วนหู่พั่วก็ได้เปิดผ้าม่านขึ้น
เพียงแต่ว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาเดือนกว่าแล้ว ฉินอี๋เหนียงก็เหมือนกับดอกไม้ที่ไม่ได้ถูกแสงมานานเช่นเคย แม้ว่าใบหน้าจะขาวเนียนอวบอิ่ม แต่กลับไร้ซึ่งความสดใส
นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง แล้วเอ่ยเรียก “ฮูหยิน” เบาๆ น้ำเสียงฟังดูสะอึกสะอื้น
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย รีบพาสาวใช้ข้างกายออกจากเรือนลี่จิ่งเซวียน
นายหญิงเจียงพาบุตรสาวออกจากเยี่ยนจิงเมื่อวันที่สี่เดือนหก ผู้ติดตามไปด้วยคือสวีซื่ออวี้และบ่าวรับใช้