ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 342 หมั้นหมาย(ต้น)
เมื่อรู้ว่าป้าเถาจะไปเยี่ยมนายหญิงใหญ่ที่ตรอกกงเสียน สืออีเหนียงไม่เพียงตอบตกลงอย่างทันที ซ้ำยังให้รถม้าไปส่งนางอีกด้วย
ชีเหนียงนำดอกพุดตานมาด้วย
“หลายวันมานี้ได้รับการดูแลจากท่านโหว พวกเราเป็นพี่น้องกันข้าคงไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่ทางด้านไท่ฮูหยินกับฮูหยินห้าอย่างไรก็ต้องไปขอบคุณสักหน่อย จูอานผิงกับข้าได้ปรึกษากันว่าจะให้พ่อครัวของหอชุนซีมาจัดงานเลี้ยง เชิญไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้าและเด็กๆ ไปร่วมงานที่เรือนฉงเซียงในวันพรุ่งนี้ ก็นับว่าสมความตั้งใจของข้าแล้ว”
ชีเหนียงกับจูอานผิงมักจะไปเยี่ยมญาติสนิทมิตรสหายและเข้าวัดกราบไหว้บูชาพระ สืออีเหนียงมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับนายหญิงเจียง ก่อนหน้านี้ชีเหนียงจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะเชิญไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าไปร่วมงานเลี้ยงที่เรือนฉงเซียง แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องหาหมอจะจบลงเร็วเช่นนี้ ตอนนี้นางต้องเริ่มใช้ยาแล้ว ไม่สามารถอยู่ในจวนสวีได้อีกต่อไป การคิดที่จะซื้อจวนอยู่บริเวณใกล้เคียงกับจวนสวีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เพียงแค่มีเงินก็สามารถทำได้ เรื่องของชีเหนียงนั้นไม่สามารถรอได้อีกแล้ว จูอานผิงคิดไปคิดมาจึงได้ซื้อจวนใหญ่ที่มีทางเข้าถึงสามประตู เตรียมจะย้ายเข้าไปอยู่ในอีกสองสามวันนี้ ส่วนชีเหนียงก็คิดหาวิธีพาไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าไปรวมตัวกันที่เรือนฉงเซียง
สืออีเหนียงรู้ถึงความต้องการของนางจึงพานางไปหาไท่ฮูหยิน
อากาศเริ่มร้อนขึ้น ผู้คนล้วนเซื่องซึม ชีเหนียงสามารถรับรู้ได้ ไท่ฮูหยินยิ้มพลางตอบตกลง วันรุ่งขึ้นก็ไปที่เรือนฉงเซียงพร้อมกับสืออีเหนียง ฮูหยินห้าและเด็กๆ
เรือนฉงเซียงนั้นมีความหมายตามชื่อ ปลูกต้นไม้และดอกไม้มากมาย อาหารของหอชุนซีมีซื่อเสียงไปทั่วเยี่ยนจิง ชีเหนียงจัดงานเลี้ยงในห้องโถง ประตูแกะสลักลายหิมะถูกเปิดกว้าง นอกห้องเต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ภายในห้องมีสายลมพัดผ่านเข้ามาเบาๆ ทุกคนพากันดื่มสุราจินหวา พูดไปหัวเราะไป มีความสุขกันเป็นอย่างมาก
หลังจากทานอาหารกลางวันแล้วพวกเขาก็ย้ายไปเล่นไพ่ที่ห้องปีกทิศตะวันออก
มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามารายงานว่า “คุณนายใหญ่จากตรอกกงเสียนมาเจ้าค่ะ”
“มาเร็วก็ไม่สู้บังเอิญมาเจอพอดี” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วรีบกำชับสาวใช้ให้ไปเชิญนางเข้ามา
คุณนายใหญ่สกุลหลัวคิดไม่ถึงว่าชีเหนียงจะจัดงานเลี้ยงให้เหล่าสตรีสกุลสวี สีหน้าดูลังเลใจเล็กน้อย นางยิ้มพลางคำนับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินเอ่ยชวนนางมาเล่นไพ่ด้วยกัน “…สืออีเหนียงเล่นไม่เก่ง เวลาจะออกไพ่ก็เอาแต่ลังเลทำพวกเราเสียเวลา ข้าว่าเจ้ามาเล่นแทนเถิด!”
แน่นอนว่าสมความปรารถนาของสืออีเหนียง จึงรีบหลีกทางให้คุณนายใหญ่สกุลหลัว ส่วนตัวเองคอยนั่งดูอยู่ข้างๆ
ชีเหนียงยกน้ำถั่วเขียวต้มมาให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวดับกระหาย พวกนางเล่นไพ่กันอย่างเบิกบานใจ คุณนายใหญ่สกุลหลัวอยู่ทานข้าวเย็นก่อนลุกขึ้นกล่าวลา พึ่งจะมีโอกาสได้พูดคุยกับสืออีเหนียงตอนที่พานางออกมาส่ง
“ได้ยินว่าหลายวันมานี้ท่านโหวกำลังวิ่งเต้นเพื่อแต่งตั้งให้จุนเกอเป็นซื่อจื่อหรือ”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวตั้งใจมาพบนางโดยเฉพาะ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อมาเล่นไพ่กับไท่ฮูหยิน
เมื่อนึกถึงวันที่ป้าเถาไปตรอกกงเสียน เดิมทีสืออีเหนียงก็พอคาดเดาได้คร่าวๆ อยู่แล้ว เมื่อได้ยินคุณนายใหญ่สกุลหลัวพูดเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ทุกคนรู้กันหมดแล้วหรือเจ้าคะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวยิ้มพลางพยักหน้า ถามอย่างอ้อมค้อมว่า “เช่นนั้นคุณหนูสิบเอ็ดมีแผนอย่างไร”
ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มา หากไม่ถามให้ชัดเจนก็ไม่อาจกลับไปตอบคำถามได้
สืออีเหนียงแสดงจุดยืนของตัวเอง “จุนเกอเดิมก็เป็นบุตรชายของภรรยาเอก ตามกฎแล้วควรได้สืบทอดกิจการของตระกูล ตอนนี้ได้แต่งตั้งเป็นซื่อจื่อก็นับว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวได้ยินเช่นนี้ก็มีท่าทางอึดอัดใจ “ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าตามกฎแล้วเมื่อจุนเกอถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อก็ต้องแยกเรือนออกไปอยู่ตามลำพัง ไม่ทราบว่าคุณหนูสิบเอ็ดมีแผนอย่างไร”
แม้จะยอมรับว่าเหตุผลดั้งเดิมที่แต่งเข้าสกุลสวีมาก็เพื่อดูแลจุนเกอ แต่ตอนที่สืออีเหนียงได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจยังคงรู้สึกเจ็บแปลบ ราวกับถูกมดกัดก็ไม่ปาน
นางยืดตัวตรงแล้วเอ่ยว่า “จุนเกอโตมาภายใต้การดูแลของไท่ฮูหยิน ถ้าหากตำแหน่งซื่อจื่อถูกตัดสินไว้แล้ว ข้าคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นไท่ฮูหยินหรือท่านโหวต่างก็คงวางแผนไว้แล้วกระมัง ส่วนข้าเอง แน่นอนว่าข้าหวังว่าป้าเถาจะเข้าไปเป็นผู้ดูแลในเรือนของจุนเกอ นางเป็นแม่นมของพี่หญิงใหญ่ อีกทั้งยังเป็นคนที่เห็นจุนเกอเติบโตมา เพียงแต่ว่าราชโองการที่ขอแต่งตั้งยังไม่ได้มีมา การที่พูดเรื่องนี้ในตอนนี้ยังเร็วเกินไป!”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของสืออีเหนียงก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ “ที่คุณหนูสิบเอ็ดพูดก็มีเหตุผล มันเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้” จากนั้นก็รีบกล่าวลาสืออีเหนียง
หู่พั่วมองรถม้าสกุลหลัวที่จากไปไกลแล้วก็อดรู้สึกโกรธไม่ได้
“ป้าเถาผู้นี้ทำเกินไปแล้ว บ่าวว่าต้องสั่งสอนนางสักหน่อยจึงจะถูก”
“ไม่จำเป็นหรอก” สืออีเหนียงพูดเสียงเรียบว่า “เดิมทีนางก็เป็นคนที่พี่หญิงใหญ่ให้คอยดูแลจุนเกอ หากจุนเกอแยกเรือนไปอยู่ตามลำพัง การที่นางจะตามไปด้วยนั้นก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นป้าเถาก็เป็นคนฉลาด หากมีนางอยู่ข้างๆ จุนเกอก็จะช่วยแบ่งเบาภาระให้พวกเราได้บ้าง”
หู่พั่วรู้ว่าสืออีเหนียงพูดถูก แต่พอนึกถึงเรื่องที่ป้าเถาสร้างเรื่องของตงชิง แล้วตอนนี้ยังยุยงให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวมาเตือนสืออีเหนียง ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นบ่าวรับใช้ห้อมล้อมสวีลิ่งอี๋ที่สวมชุดราชสำนักเดินมาทางนี้
วันนี้เขาเข้าวังเพื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
หู่พั่วรีบหยุดบทสนทนาทันที คำนับสวีลิ่งอี๋อยู่ข้างหลังสืออีเหนียง
“ทำไมมายืนคุยกันอยู่ตรงนี้” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้าพึ่งออกมาส่งพี่สะใภ้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าวันนี้ชีเหนียงจัดงานเลี้ยง เลยไม่ได้สงสัยว่ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เขากลับไปที่เรือนริมน้ำกับสืออีเหนียง
“เรื่องของจุนเกอมีวี่แววบ้างหรือไม่” ระหว่างทาง สืออีเหนียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ฮ่องเต้ทรงอนุญาตแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “เพียงแค่รอฎีกาของกรมพิธีการลงตราประทับสีแดงก็พอแล้ว”
“เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ!” สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ข้านึกว่าจะทำการล่าช้าเสียอีก”
“จะช้าหรือเร็วล้วนขึ้นอยู่กับรับสั่งฮ่องเต้” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “คำสั่งของฝ่าบาท กรมพิธีการย่อมต้องทำให้เร็ว แต่หากไม่ใช่รับสั่งของฝ่าบาทกรมพิธีการก็จะจัดการให้ช้า ยิ่งไปกว่านั้นจุนเกอก็เป็นบุตรชายของภรรยาเอกที่คู่ควรจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราก็ต้องเริ่มเตรียมเรื่องการหมั้นหมายของจุนเกอแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ทางด้านของเรา ข้าเตรียมจะเชิญซุ่นอ๋องมาเป็นพ่อสื่อ เจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
“ถ้าหากซุ่นอ๋องรับปาก แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดี”
สืออีเหนียงนั่งลงบนเตียงเตาริมหน้าต่างแล้วอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างละเอียด
บนกระดาษเขียนไว้ว่า แต่ไหนแต่ไรมา บุรุษในตระกูลของเซ่าจ้งหรานนั้นมีไม่เยอะ ทั้งท่านปู่ทวดและท่านปู่ต่างก็เป็นบุตรชายคนเดียว เมื่อมาถึงรุ่นบิดาของเขาก็มีพี่ชายน้องชายเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อมาถึงรุ่นของเซ่าจ้งหราน หากนับรวมกับบุตรชายของท่านลุงแล้วก็มีพี่ชายน้องชายเพียงสามคน เซ่าจ้งหรานเป็นคนที่หนึ่ง มีน้องชายร่วมมารดาหนึ่งคน และมีน้องชายลูกพี่ลูกน้องหนึ่งคน บิดาเป็นคนมีชื่อเสียงด้านวรยุทธ เชี่ยวชาญด้านกิจการทั่วไป ฐานะทางบ้านร่ำรวย มารดาเกิดในสกุลใหญ่ที่ชังโจว
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าบิดาของเซ่าจ้งหรานจะจัดการเรื่องเงินทองได้ดีมาก
เมื่อสวีลิ่งอี๋จัดการธุระเสร็จสืออีเหนียงก็ปรึกษากับเขาว่า “ข้าว่าเรื่องนี้ก็ควรจะบอกกับเหวินอี๋เหนียงด้วย นางเป็นห่วงเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์มาตลอด”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าลังเลเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “จะเล่าให้นางฟังก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าจะใจอ่อนให้นางสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการหมั้นหมายของเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนสกุลเหวิน”
ดังนั้นคราวที่แล้วถึงได้รีบร้อนถามว่าเหวินอี๋เหนียงพูดอะไรบ้างใช่หรือไม่
สืออีเหนียงรับคำ พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็เรียกเหวินอี๋เหนียงมา
เมื่อเหวินอี๋เหนียงรับรู้เรื่องราวแล้วก็มีท่าทางดีใจ พูดขึ้นมาว่า “บิดาของคุณชายเซ่าปีนี้พึ่งจะอายุแค่สามสิบแปดปีเอง”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ฐานะยากจนทำให้สามีภรรยาต้องทุกข์ทรมาน บิดาของคุณชายเซ่าเชี่ยวชาญด้านสิ่งต่างๆ และอยู่ในช่วงที่มีพละกำลัง สกุลเซ่านั้นอย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพย์สินเงินทองไปอีกยี่สิบปี หากตัดสินใจเลือกคุณชายเซ่า ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”
สืออีเหนียงพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา
ต่อมาก็เล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟัง สวีลิ่งอี๋ส่งเสียง “เหอะ” อย่างเย็นชาแล้วพูดต่อว่า “ในใจนางก็คิดถึงแต่เรื่องพวกนี้!” แต่ก็ใช่ว่าคำพูดของเหวินอี๋เหนียงจะไม่มีเหตุผล แต่หากตัดสินใจเป็นดองกับสกุลเซ่าเช่นนี้ ในใจก็ยังรู้สึกเสียดายบุรุษมากความสามารถอย่างหลี่จี้
ขณะที่กำลังลังเล ทันใดนั้นราชโองการที่แต่งตั้งให้จุนเกอเป็นซื่อจื่อก็มาถึง
ตอนที่สวีลิ่งอี๋รับราชโองการ เขามีสีหน้าสงบนิ่งเป็นอย่างมาก กลับกันกับสวีลิ่งควนที่ดีอกดีใจออกนอกหน้า อุ้มจุนเกอแล้วโยนขึ้นตั้งสองรอบ “จุนเกอ ตอนนี้เจ้าเป็นซื่อจื่อแล้ว”
จุนเกอตกใจจนหน้าซีด คว้าแขนของสวีลิ่งควนไว้แน่นแล้วร้องสะอึกสะอื้น “ท่านอาห้า”
ฮูหยินห้าหยิกแขนสวีลิ่งควนที่อยู่ข้างๆ “เจ้าจะทำให้จุนเกอตกใจหรืออย่างไรกัน”
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็พูดด้วยความกังวลว่า “รีบวางลง รีบวางลง!”
สวีลิ่งควนยิ้มเจื่อนๆ พลางวางจุนเกอลง
เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบเข้าไปถามเขา “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
จุนเกอหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้าให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
สืออีเหนียงตามหาสวีซื่ออวี้
เขายืนอยู่ใต้ต้นการบูรตรงมุมสวนตามลำพัง ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ทำให้ร่างเล็กๆ ของเขาดูผอมบางและโดดเดี่ยวขึ้นมา
ขณะที่นางกำลังลังเลว่าจะเรียกเขาดีหรือไม่ เสียงเรียกที่ร้อนรนของเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ดังขึ้น “จุนเกอ จุนเกอ!”
สืออีเหนียงหันไปดู เห็นจุนเกอกำลังนั่งยองๆ อาเจียนอยู่ที่พื้น
แย่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะตกใจ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สืออีเหนียงก็รีบวิ่งไปหาจุนเกอ
แต่สวีลิ่งอี๋กลับเร็วกว่า นางยังไม่ทันเข้าไปใกล้จุนเกอ เขาก็เข้าไปอุ้มจุนเกอแล้วเรียกหาหมอแล้ว
ทุกคนที่ลานต่างพากันตื่นตระหนก
สวีลิ่งควนกล่าวด้วยความหวาดกลัวว่า “พี่สี่ ข้าไม่รู้…”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้!” สวีลิ่งอี๋มองเขาอย่างใจเย็นแล้วกำชับสืออีเหนียงว่า “เรียกคนที่คอยปรนนิบัติจุนเกอมา พวกเราจะไปที่ห้องหนังสือเรือนนอก”
พวกเขารับราชโองการที่ห้องโถงหลักของสกุลสวี ที่นี่อยู่ใกล้กับห้องหนังสือเรือนนอก
ทุกคนตามสวีลิ่งอี๋ไปยังห้องหนังสือเรือนนอกอย่างรีบร้อน
สวีลิ่งอี๋วางจุนเกอไว้บนเตียงหลัวฮั่นในห้องนั่งรับแขก
ฮูหยินห้ายกเก้าอี้เล็กมาวางไว้ที่หัวเตียงแล้วเชิญไท่ฮูหยินมานั่ง แต่ไท่ฮูหยินกลับให้ฮูหยินสองนั่งแทน “เจ้าช่วยจับชีพจรดูที!”
ฮูหยินสองนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ นิ้วมือเรียวยาววางลงบนชีพจรข้อมือด้านซ้ายของจุนเกอ
“ข้าไม่เป็นไร” จุนเกอที่นอนอยู่บนเตียงพูดอย่างอ่อนแรง “ข้าไม่เป็นไร แค่เวียนหัวนิดหน่อยขอรับ”
สายตาของทุกคนมองไปที่ฮูหยินสอง
ในห้องเงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกได้
ฮูหยินสองวางมือซ้ายลง แล้วจับชีพจรมือขวา จากนั้นก็พยักหน้าให้คนในห้อง “ไม่มีอะไร อาจเป็นเพราะอาการตกใจเมื่อครู่”
ภายในห้องมีเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกดังขึ้น
ฮูหยินห้าหยิกแขนสวีลิ่งควน แล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋ว่า “พี่สี่เป็นเพราะสามีของข้าเล่นไม่รู้กาลเทศะ ข้าว่างานเลี้ยงฉลองตำแหน่งซื่อจื่อของจุนเกอให้เขาเป็นคนจัดการดีหรือไม่”
เมื่อสวีลิ่งควนได้ยินแล้วก็พยักหน้ารัว ราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร “ข้าจัดการเอง ข้าจัดการเอง”