ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 340 ต้อนรับแขก(กลาง)
ไท่ฮูหยินจูงมือคุณหนูเก้าสกุลเจียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
คุณหนูเก้าสกุลเจียงยืนตัวตรง น้ำเสียงใสกังวานราวเม็ดไข่มุกร่วงหล่นบนจานหยก “…พึ่งเรียนถึงบทเรียนกุลสตรี อุปกรณ์เครื่องใช้ในเรือน และความแตกต่างระหว่างความยากจนกับความร่ำรวย ส่วนเรื่องอื่นๆ ท่านพ่อบอกว่ารอโตกว่านี้แล้วค่อยศึกษาอย่างละเอียดเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า ยิ้มให้นายหญิงเจียงที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “สมกับเป็นบุตรสาวของอาจารย์เจียงที่เป็นผู้มีความรู้”
นายหญิงเจียงยิ้มเล็กน้อย เผยให้เห็นลักยิ้มที่มุมปาก “ไท่ฮูหยินชมกันเกินไปแล้ว บุตรสาวข้ายังไม่รู้ความจึงทำได้เพียงสอนเรื่องง่ายๆ เท่านั้น”
คุณหนูเก้าสกุลเจียงได้ยินเช่นนี้ก็ก้มหน้ายิ้ม ใบหน้าของนางเผยให้เห็นถึงความเขินอายเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็หัวเราะ “คุณหนูเก้าช่างน่ารักน่าเอ็นดู นายหญิงเจียงถ่อมตัวเกินไปแล้ว” จากนั้นก็มองจุนเกอที่ยืนอยู่ข้างหลังที่เอาแต่จ้องมองคุณหนูเก้าสกุลเจียงด้วยสีหน้าสงสัย “นี่คือน้องหญิงสกุลเจียงของเจ้า!”
จุนเกอเดินไปคำนับอย่างนอบน้อม “น้องหญิงเจียง”
คุณหนูเก้าสกุลเจียงเงยหน้ามอง แล้วคำนับกลับท่วงท่าอ่อนช้อย
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็ยิ้มหน้าบานยิ่งกว่าเดิม เงยหน้าขึ้นมาเห็นป้าซ่งยืนกุมมืออยู่ข้างผ้าม่าน รู้ว่างานเลี้ยงได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “นานๆ ทีนายหญิงเจียงจะมาเป็นแขก พวกเราได้จัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับ ขอนายหญิงเจียงอย่าได้ปฏิเสธ” พูดจบป้าตู้ก็เข้ามาพยุงไท่ฮูหยินลุกขึ้น
คนในห้องต่างก็พากันลุกขึ้นตาม นายหญิงเจียงพูดด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็เดินตามหลังไท่ฮูหยินไปที่ห้องโถงบุปผาที่อยู่ข้างๆ โถงเตี่ยนชุน
ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อน ดอกทับทิมกำลังเบ่งบานสะพรั่ง
ไท่ฮูหยินและนายหญิงเจียงกำลังพูดคุยกันเรื่องดอกไม้
ขณะที่กำลังคุยกัน หางตานายหญิงเจียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสืออีเหนียงที่เดินตามหลังนาง
นางสวมเสื้อสีเขียว กระโปรงสีขาวนวลจันทร์ ใบหน้างดงามมีรอยยิ้มจางๆ ดูสง่างามและเงียบสงบ คุณชายน้อยห้าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั้นถูกแม่นมกอดไว้ในอ้อมแขน เขาบิดตัวไปมาอยากให้สืออีเหนียงเข้าไปอุ้ม สืออีเหนียงเดินเข้าไปกอดเด็กน้อย กระซิบเสียงเบาอย่างอ่อนโยนเพียงไม่กี่คำ เด็กน้อยก็เงียบสงบลง หมอบอยู่ในอ้อมแขนของแม่นมโดยไม่ขยับไปไหน นางลูบศีรษะเด็กน้อย จากนั้นก็รีบเดินตามมา
นายหญิงเจียงแอบพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้องโถงบุปผากับไท่ฮูหยิน
ผลไม้แห้งสี่อย่าง ผักดองสี่อย่าง อาหารเย็นสี่จาน อาหารรองท้องสี่จาน อาหารหลักหกจาน…เต็มโต๊ะไปหมด มีทั้งไก่สามรสที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของเจียงซี มีทั้งหมูทอดดอกเบญจมาศที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของเยี่ยนจิง นอกจากนี้ยังมีกระจับแดงที่ถูกจัดใส่จานแก้ว
นายหญิงเจียงประหลาดใจเล็กน้อย
กระจับแดงขึ้นชื่อว่าเป็น ‘น้ำแปดเซียน’ ของหนานจิง พึ่งออกสู่ตลาดในเดือนหก ต่อให้ใช้ม้าเร็วมาส่งที่เยี่ยนจิงก็จะถึงในกลางเดือน แต่นี่พึ่งจะกลางเดือนห้า…เห็นได้ว่าสกุลสวีให้ความสำคัญกับการพบหน้ากันครั้งนี้มาก จึงทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อต้อนรับตัวเอง
สายตาของนางลอบสำรวจมองจุนเกอที่อยู่โต๊ะข้างๆ
เด็กคนนั้นรูปร่างหน้าตาดี หว่างคิ้วดูอ่อนโยนและสง่างาม มีมารยาทและรู้จักดูแลน้องชายที่อยู่ข้างๆ แต่น่าเสียดายที่เขาดูอ่อนแอกว่าเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกัน ได้ยินมาว่าเขาคลอดก่อนกำหนด…หากสามีมีสุขภาพไม่ดี ระหว่างสามีภรรยาก็อาจจะมีข้อบกพร่องอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้นายหญิงเจียงก็แอบถอนหายใจ
กระจับแดงรสหวานจางๆ เมื่อทานเข้าไปทำให้รู้สึกสดชื่น
บอกว่าเป็นการดูตัว ในความจริงแล้วจะเป็นการดูตัวหรือไม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องนี้ถูกตัดสินตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาสามีภรรยายังไม่วางใจ บุตรเขยในอนาคตอย่างไรก็ต้องไปดูสักหน่อยถึงจะวางใจได้
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว นางก็แอบโทษตัวเองที่ไม่รู้จักพอ
อย่างไรก็รู้อยู่แล้วว่าในใต้หล้านี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ก่อนที่นางจะมายังกลัวว่าการที่มารดาของเด็กคนนี้จากไปเร็วจะทำให้ทุกคนออกห่างจากเขา หรือว่าเขาอาจจะดื้อรั้นจนต้องถูกเลี้ยงดูในเรือนของท่านย่า หรือไม่ก็ถูกคนดูแคลนจนหัวหด กลายเป็นคนขี้ขลาด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไท่ฮูหยินจะเป็นคนมีจิตใจเมตตา สืออีเหนียงก็ใจกว้างและอ่อนโยน บรรดาพี่น้องก็เคารพรักและเอ็นดูซึ่งกันและกัน…นายหญิงเจียงครุ่นคิดอยู่ในใจ สายตาจับจ้องไปที่ฮูหยินห้าที่อยู่ข้างๆ
สตรีผู้นี้คงเป็นสะใภ้คนเล็ก ดูเป็นคนใจกว้างและสง่างาม ดีกว่าที่คิดเอาไว้อยู่ไม่น้อย
บางทีอาจเป็นเพราะชาติกำเนิดที่แตกต่างกัน สืออีเหนียงใจร้อนมากเกี่ยวกับเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ แต่พอเป็นเรื่องของจุนเกอนางกลับดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ประการแรกเรื่องนี้ได้ถูกตัดสินไว้นานแล้ว วันนี้ก็เหมือนเป็นเพียงแค่การซักซ้อมเท่านั้น ประการที่สองนางรู้สึกว่าสังคมนี้เข้มงวดกับผู้หญิงมากกว่า เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วความทุกข์สุขของนางก็จะอยู่ในกำมือผู้อื่น ถ้าหากบุตรสาวบ้านอื่นแต่งเข้าจวนตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยตนก็จะไม่จงใจวางท่าแม่สามีทำให้พวกนางลำบากอย่างแน่นอน
เดิมทีทั้งสองคนนั้นมีความคิดที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่หลังจากทานอาหารด้วยกันหนึ่งมื้อก็สนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม
ทุกคนย้ายไปดื่มชาที่ห้องโถงบุปผาทิศตะวันตก ป้าตู้ ป้าซ่ง และคนอื่นๆ พาเหล่าเด็กๆ ไปเล่นกันที่สวนหลังจวน
สวีซื่ออวี้เห็นว่าตัวเองเป็นพี่คนโตสุดจึงเพียงแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ เจินเจี่ยเอ๋อร์นั้นมีนิสัยอ่อนโยน มักจะตามใจผู้อื่นอยู่เสมอ ส่วนคุณหนูเก้าสกุลเจียงยังคงไร้เดียงสาตามอายุ ไม่นานก็เข้ากันได้ดีกับจุนเกอและสวีซื่อเจี้ย
นางมองดอกไม้บานสะพรั่งที่สวนหลังจวนแล้วเอ่ยด้วยความชื่นชมว่า “ทิวทัศน์สวยกว่าวัดต้าฝูของเราอีก!”
แขกส่วนมากที่มาที่เรือน น้อยนักที่จะมีเด็กผู้หญิงอายุไล่เลี่ยกับจุนเกอ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กผู้หญิงผู้นี้ยังงดงามและอ่อนโยนอีกด้วย เขาจึงพูดชักชวนขึ้นมาว่า “เจ้าจะไปไหว้พระหรือไม่ ที่จวนของเราก็มี!”
คุณหนูเก้าสกุลเจียงเบิกตากว้าง “ในจวนของเจ้ามีวัดด้วยหรือ”
จุนเกอกำลังจะตอบ ก็เห็นเจี๋ยเซียงพาบรรดาสาวใช้น้อยเดินเข้ามา
พวกนางถือตะกร้าดอกไม้ ในตะกร้าดอกไม้มีดอกทับทิม ดอกซ่อนกลิ่น ดอกมะลิ และดอกพุดซ้อนจำนวนมาก
พวกนางรีบย่อเข่าคำนับจุนเกอและคนอื่นๆ
จุนเกอชี้ไปที่เจี๋ยเซียงแล้วพูดกับคุณหนูเก้าสกุลเจียงว่า “นี่คือคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่านป้าสองของข้า นามว่าเจี๋ยเซียง”
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่านายหญิงเจียงและคุณหนูเจียงจะมาเป็นแขก เจี๋ยเซียงย่อเข่าคำนับคุณหนูเก้าสกุลเจียง
คุณหนูเก้าสกุลเจียงเอ่ยเรียกนาง “พี่เจี๋ยเซียง” ใบหน้าเต็มไปด้วยความสนใจพลางมองไปยังดอกพุดซ้อนสีขาวหอมกรุ่นที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง “นี่คือดอกอะไรหรือ ช่างสวยงามจริงๆ”
“นี่คือดอกพุดซ้อนเจ้าค่ะ” เมื่อเจี๋ยเซียงได้ยินเช่นนั้นก็รีบเลือกดอกใหญ่ๆ สองสามดอกให้คุณหนูเก้าสกุลเจียง “ปลูกไว้ที่เรือนหน่วนฝังในจวนของพวกเรา พบได้ทั่วไปในแถบทางใต้ แต่ในทางเหนือนั้นหายากมากเจ้าค่ะ”
คุณหนูเก้าสกุลเจียงรับดอกไม้มาอย่างเบิกบานใจ ดมกลิ่นดอกไม้ ยิ้มแล้วพูดว่า “มิน่าล่ะข้าถึงไม่รู้จัก” นางพูดเสียงดังทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ
ป้าตู้ยิ้มแล้วถามเจี๋ยเซียงว่า “เก็บดอกไม้มาเยอะขนาดนี้จะเอาไปทำอะไรหรือ”
เจี๋ยเซียงตอบ “ฮูหยินสองจะนำไปทำน้ำอบเจ้าค่ะ”
ป้าตู้ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่คุณหนูเก้าสกุลเจียงได้ยินเช่นนี้ก็สนใจเป็นอย่างมาก ถามจุนเกอว่า “ข้าไปดูการทำน้ำอบได้หรือไม่ ตอนที่ข้ามา พี่หญิงสี่ของข้ากำลังทำน้ำอบตามหนังสือของท่านพ่อ…ข้ายังไม่ทันได้ไปดูก็ต้องมาที่นี่แล้ว” มองจุนเกอตาปริบๆ ท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก
จุนเกอรีบพูดขึ้นมาว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ท่านป้าสองของข้ามักจะทำน้ำอบที่จวน และมักจะทำน้ำอบแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ท่านป้าสองยังทำธูปหอมเป็นอีกด้วย” พาคุณหนูเก้าสกุลเจียงไปยังเรือนเสาหวา
ป้าตู้และคนอื่นๆ เดิมทีก็พาเด็กๆ มาเล่นอยู่แล้ว จะไปเล่นที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
หลายวันมานี้สวีซื่ออวี้เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในเรือน ไม่ได้เจอท่านป้าสองมาหลายวันแล้ว จึงอยากจะไปนั่งเล่นที่เรือนท่านป้าสองสักหน่อยเช่นกัน
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็เหมือนกับเป็นเจ้าเรือนครึ่งหนึ่ง นางต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น
พวกเขาพากันหัวเราะคิกคักพลางเดินไปที่เรือนของฮูหยินสอง
เรือนเสาหวาไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้มานานมากแล้ว
ฮูหยินสองยกน้ำผลไม้และขนมที่ทำเองมาต้อนรับพวกเขา
ขนมเปี๊ยะดอกเบญจมาศสีเหลืองสดใส ขนมซ่อนกลิ่นสีขาวนวล ขนมทับทิมสีแดง แอปเปิ้ลเชื่อม ขนมหนังวัว ขนมใบหลิว…แล้วยังมีชาหลงจิ่งที่ได้มาจากทะเลสาบซีหูเขียวชอุ่ม
คุณหนูเก้าสกุลเจียงยิ้มตาหยี
แต่สวีซื่ออวี้กลับอาศัยโอกาสนี้ขอคำชี้แนะจากฮูหยินสอง เจินเจี่ยเอ๋อร์กลัวว่าสวีซื่อเจี้ยจะเสียงดัง จึงกระซิบกับจุนเกอและคุณหนูเก้าสกุลเจียงว่า “พวกเราไปเล่นที่ป่าไผ่กันเถิด”
ปกติแล้วคุณหนูเก้าสกุลเจียงก็มักจะเจอคนมาพบท่านพ่อของตนเพื่อขอคำชี้แนะที่จวนอยู่บ่อยๆ รู้ว่าไม่ควรทำเสียงดังจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เจินเจี่ยเอ๋อร์ให้เสี่ยวหลีนำขนมมาด้วยสองสามอย่าง ให้ถือภาพดอกไห่ถังที่วาดด้วยสีแดงทองไว้แล้วจูงมือสวีซื่อเจี้ยไปที่ป่าไผ่
ทุกคนนั่งลงบนโต๊ะหินในป่าไผ่ ทานของว่างและดื่มชา คุณหนูเก้าสกุลเจียงเล่าเรื่องในเรือนของตัวเองให้ฟัง จุนเกอพูดถึงอาจารย์จ้าว ทุกคนต่างผลัดกันพูด สนุกสนานเป็นอย่างมาก
ป้าตู้ยืนมองอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ
สุดท้ายคุณหนูเก้าสกุลเจียงก็ไม่ได้เห็นว่าน้ำอบนั้นทำอย่างไร แต่กลับได้น้ำอบดอกกุหลาบผสมดอกไป่เหอหนึ่งขวดและน้ำอบดอกโบตั๋นผสมดอกหอมหมื่นลี้หนึ่งขวดจากฮูหยินสอง
นายหญิงเจียงที่นั่งรถม้ากลับจวนแล้วได้กลิ่นก็กล่าวคำชมเชย “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ายังมีคนทำน้ำอบที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้ ตอนดมแรกๆ เป็นกลิ่นดอกกุหลาบ แต่พอดมไปเรื่อยๆ กลับเป็นกลิ่นหอมของดอกไป่เหอ”
คุณหนูเก้าสกุลเจียงได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยเรียก “ท่านแม่” นางเบิกตาโตจนเห็นดวงตาได้อย่างชัดเจน “ท่านป้าสองได้สอน ‘คัมภีร์วิจารณ์พจน์’ ให้กับพี่อวี้เกออีกด้วย”
นายหญิงเจียงได้ยินดังนั้นก็มองหน้าบุตรสาวแล้วหัวเราะเบาๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ “เซ่อเซ่อ ชอบจวนของพี่จุนเกอหรือไม่”
ชื่อเล่นของคุณหนูเก้าสกุลเจียงนามว่า เซ่อเซ่อ นางพยักหน้าพลางพูดว่า “ชอบเจ้าค่ะ!”
เจียงฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนั้นก็มองน้องสะใภ้แล้วหัวเราะ “นี่เรียกว่าลิขิตสวรรค์!”
นายหญิงเจียงไม่ได้พูดอะไร ลูบผมดำขลับของบุตรสาว ท่าทางอ่อนโยนแฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์
ทางด้านฮูหยินห้าถอดเสื้อสีฟ้าอ่อนด้วยความอ่อนเพลีย เผยให้เห็นผ้าคาดเอวสีเหลืองที่ปักลายดอกไม้สีแดง
“อากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกวันแล้ว” น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหงุดหงิด
ป้าสือยิ้มพลางรับเสื้อที่นางถอดออกแล้วส่งให้สาวใช้น้อยที่อยู่ด้านข้าง หยิบผ้าเช็ดหน้าที่บิดหมาดแล้วมาเช็ดตัวให้ฮูหยินห้า
“คืนนี้คุณชายห้าเข้าเวรในวัง ให้แม่นมอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์มาพักผ่อนที่ห้องข้าเถิด!”
ป้าสือยิ้มแล้วรับคำ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กำชับสาวใช้น้อยให้ไปบอกแม่นม
ฮูหยินห้านึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “คราวที่แล้วตอนที่ข้ากลับไปได้ยินท่านพ่อบอกว่าจะขอราชโองการให้แต่งตั้งเหวยเกอเป็นซื่อจื่อ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
“เร็วขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ” ป้าสือยิ้มแล้วพูดว่า “ตำแหน่งท่านโหวเป็นตำแหน่งที่สืบทอดกันมา หากอยากจะขอราชโองการจากฝ่าบาทและกรมพิธีการ เร็วที่สุดก็ต้องรอไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า” จากนั้นก็สวมเสื้อสีเงินให้ฮูหยินห้า
ฮูหยินห้ากลับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางเม้มปากแน่น
ป้าสือใจเต้นแรง ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ท่านโหวเองก็โปรดปรานคุณชายใหญ่เหวย เป็นเพราะคุณชายใหญ่เหวยเป็นคนตรงไปตรงมา อีกทั้งยังเข้ากับฮูหยินได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้คุณชายใหญ่เหวยก็กตัญญูต่อท่านโหวมาโดยตลอด…”
“ข้ารู้” ฮูหยินห้าตัดบทป้าสืออย่างไม่ได้สนใจ “ข้ากำลังคิดถึงจุนเกอ…ดูแล้วท่านโหวคงจะขอราชโองการแต่งตั้งจุนเกอเป็นซื่อจื่อ ไม่รู้ว่าหากสืออีเหนียงรู้แล้วในใจจะคิดอย่างไรบ้าง” พูดพลางเม้มปากแน่น