ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 32 แขก (กลาง)
คุณหนูเฉียวอายุเพียงแค่สิบห้าสิบหกปี ผิวขาว ดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากอวบอิ่ม รอยยิ้มอ่อนโยน นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ งดงามและนุ่มนวลราวกับดอกไม้บาน
รู้สึกถึงสายตาของสืออีเหนียง นางค่อยๆ หันหน้ามายิ้มหวาน
สืออีเหนียงพยักหน้าให้นางเบาๆ ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร
ทุกคนฟังเฉียวฮูหยินพูดอยู่นาน จากนั้นก็พูดคุยกันสองสามประโยค ไท่ฮูหยินบอกให้ทุกคนอยู่ทานข้าวแต่นายหญิงใหญ่กลับปฏิเสธ “ข้าพึ่งจะมาถึง เรื่องที่บ้านยังวุ่นวาย ยังต้องไปจวนของท่านลุงอีกสองคน ข้าไม่ค่อยได้มาที่เยี่ยนจิง ยังคงไม่กลับเร็วๆ นี้ ผ่านไปสองสามวันจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยมาหาท่านใหม่”
ไท่ฮูหยินคิดว่านางไม่ได้เจอกับลูกสะใภ้ตั้งสิบกว่าปี แน่นอนว่าจะต้องมีอะไรพูดคุยกัน วันนี้จึงไม่รั้งนางไว้ “วันนี้ขึ้นสิบสี่ค่ำ ขึ้นสิบหกค่ำ เจ้ากลับมา ข้าเลี้ยงข้าวเจ้าสักมื้อ”
“ได้เลยเจ้าค่ะ!” นายหญิงใหญ่ยังไม่ได้พูดอะไร เฉียวฉูหยินก็พูดออกมาก่อนว่า “เช่นนี้ ถึงตอนนั้นข้าก็ขอมาร่วมสนุกด้วยนะเจ้าคะ” นางพูดพร้อมกับดึงแขนเสื้อของไท่ฮูหยิน “พี่หญิงอย่าปฏิเสธข้านะเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินเหลือบไปมองนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็ยิ้มและพูดกับเฉียวฮูหยิน “เจ้ามาช่วยข้าอยู่เป็นเพื่อนนายหญิงใหญ่ ข้ายังไม่รู้จะขอบคุณเช่นไร จะปฏิเสธเจ้าได้อย่างไรกันเล่า”
เฉียวฮูหยินยิ้มกว้างราวกับดอกไม้บาน “เช่นนั้นก็ถือว่ารับปากแล้วนะเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินเดินไปส่งนายหญิงใหญ่ อู่เหนียงและสืออีเหนียง แต่เฉียวฮูหยินกับคุณหนูเฉียวยังคงอยู่ต่อ
นายหญิงใหญ่มองดูแผ่นหลังของเฉียวฮูหยิน จากนั้นก็ยิ้มและพูดกับเหวินอี๋เหนียง ที่พาพวกนางกลับไปบอกลาหยวนเหนียง “เฉียวฮูหยินท่านนี้ช่างเป็นกันเองเสียจริง”
เหวินอี๋เหนียงกรอกสายตาไปๆ มาๆ ยิ้มและพูดว่า “คนในจวนของพวกเขาล้วนแต่พูดจาเก่งกันทั้งนั้น เรื่องนี้ทั้งเยี่ยนจิงก็รู้กันหมด ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะมีฉายาว่าตุ๊กตาล้มลุก ได้เช่นไร”
นายหญิงใหญ่เลิกคิ้ว
เหวินอี๋เหนียงยิ้มและพูดว่า “จวนของข้าก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่จวนเฉิงกั๋วกงกลับราบรื่นมาโดยตลอด ผ่านมาหกราชวงศ์ก็ไม่เคยโค่นล้ม โดยเฉพาะกั๋วกงสมัยนี้ ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจี้ยนอู่สี่สิบเอ็ดปี รับตำแหน่งนายพลกานซู่ นายพลหลิงซย่า นางพลเป่าติ้ง นายพลเซวียนฝู่และนายพลต้าถง มีรากฐานมั่นคงในกองทัพทหารซีเป่ย ไม่ต้องพูดถึงท่านโหวของข้า แม้แต่ฮ้องเต้ก็ยังให้ความสำคัญ”
นายหญิงใหญ่ครุ่นคิด
เหวินอี๋เหนียงยิ้มและพยุงนายหญิงใหญ่ขึ้นเกวียน “เกรงว่าฮูหยินคงจะเป็นห่วงเรื่องที่นี่ พวกเรากลับไปพูดให้ฮูหยินฟัง ให้พี่หญิงได้คลายความเบื่อหน่ายเสียบ้าง”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าและขึ้นเกวียนไปกับเหวินอี๋เหนียง แต่อู่เหนียงกลับมองประตูเรือนของไท่ฮูหยินอย่างเหม่อลอย
มาถึงที่หยวนเหนียง นายหญิงใหญ่ก็ถามถึงเฉียวฮูหยินขึ้นมาทันที “…สนิทกับเจ้าหรือ?”
หยวนเหนียงยิ้มและพยักหน้า แต่กลับถามหาจุนเกอ “ไท่ฮูหยินให้เขาอยู่ที่นั่นหรือ?”
“อืม” นายหญิงใหญ่ตอบกลับอย่างเหม่อลอย “ข้าเห็นว่าเขาเล่นกับสาวใช้สองสามคนนั้นสนุก ไท่ฮูหยินก็จะให้เขาอยู่ที่นั่นต่อ จึงไม่ได้พาเขากลับมาด้วย”
คงจะมีเรื่องอะไรที่พูดต่อหน้าจุนเกอไม่ได้!
หยวนเหนียงยิ้ม
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิง ท่านลองเดาสิว่าที่เรือนของไท่ฮูหยิน พวกเราเจอกับคุณหนูที่เท่าไรของสกุลเฉียว”
หยวนเหนียงหัวเราะ “สกุลเจ้ากับสกุลกงเป็นคู่แข่งกัน บุตรสาวของสกุลกงแต่งเข้าไปอยู่ในสกุลเจี่ยง เรื่องของสกุลเฉียว ยังจะมีใครรู้ดีไปกว่าเจ้ากันเล่า”
เหวินอี๋เหนียงปิดปากและยิ้ม
แต่นายหญิงใหญ่และคนอื่นๆ กลับฟังไม่เข้าใจ
เหวินอี๋เหนียงจึงยิ้มและอธิบาย “สมัยท่านปู่ของข้า สกุลกงในปั้นถังของหยางโจวเป็นสกุลที่จับมือเดินเข้ามาพร้อมกับสกุลข้า ล้วนแต่เป็นตระกูลที่ทำกิจการเกลือ แข่งขันกันเองจนกลายมาเป็นศัตรู สกุลเราสู้กันมาตั้งหลายปี ถือได้ว่ารู้จักรากเหง้าของกันและกัน สกุลกงมีลูกสาวคนหนึ่งแต่งเข้าไปเป็นลูกสะใภ้ของสกุลเจี่ยงในเจี้ยนอาน และสกุลเจี่ยงในเจี้ยนอาน ก็คือสกุลของเฉียวฮูหยิน ดังนั้นพี่หญิงถึงได้พูดเช่นนี้”
นายหญิงใหญ่สั่นไหว “สกุลเจี่ยงในเจี้ยนอาน คือสกุลเจี่ยงในเจี้ยนอานที่มีบัณฑิตชั้นสูงสี่คน และเก๋อเหล่าสองคนเช่นนั้นหรือ”
เหวินอี๋เหนียงพยักหน้า สายตาของนางเย็นชาขึ้นมา “คือสกุลเจี่ยงในเจี้ยนอานที่มีเจี่ยงหรงและเจี่ยงอิ๋ง เก๋อเหล่าสองท่านเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ตกใจ
“สกุลของเหล่าขุนนาง ไม่ว่าบรรพบุรุษจะรุ่งโรจน์เพียงใด แต่หากลูกหลานไม่ได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง ความพ่ายแพ้ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม” หยวนเหนียงเหลือบมองไปที่เหวินอี๋เหนียง ยิ้มและพูดว่า “จะว่าไปแล้ว สกุลเจี่ยงไม่มีบัณฑิตชั้นสูงสองชั่วอายุคนแล้ว ยังสู้สกุลเราไม่ได้เลย”
นายหญิงใหญ่ยิ้มด้วยความพอใจ“น้องชายของเจ้าเป็นคนมีความสามารถ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” เหวินอี๋เหนียงยิ้มอย่างรู้สึกเป็นเกียรติ “บัณฑิตจู่เหริน[1]วัยยี่สิบสองปี ทั้งต้าโจวก็มีแค่ไม่กี่คน รอให้ปีหน้าเรียนจบ ป่าวประกาศรายชื่อ เช่นนั้นก็คือบัณฑิตชั้นสูงอายุน้อย นายหญิงใหญ่ ท่านช่างมีวาสนาเสียจริงเจ้าค่ะ!”
“สมพรปากเจ้า” นายหญิงใหญ่ไม่สามารถซ่อนความสุขเอาไว้ได้ “หวังว่าซิ่งเกอจะเป็นหน้าเป็นตาให้สกุล”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ!” เหวินอี๋เหนียงยิ้มยกยอ แต่จู่ๆ หยวนเหนียงกลับถามขึ้นมา “คุณหนูหกของสกุลเฉียวเป็นลูกสาวของเรือนที่เท่าใด?”
เหวินอี๋เหนียงตกใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่
ตัวเองไม่ได้บอกว่าคุณหนูสกุลเฉียวที่มาเป็นคุณหนูที่เท่าไหร่ แต่หยวนเหนียงกลับรู้ว่าเป็นคุณหนูหก…
นางไม่กล้าคิดอะไรไปมากกว่านี้ นางรีบยิ้มแล้วตอบกลับ “เป็นลูกสาวคนโตของเรือนที่สามเจ้าค่ะ แต่ว่า นางก็มีลูกสาวเพียงคนเดียว ท่านพ่อของนางเป็นพี่น้องแม่เดียวกันกับกั๋วกง”
หยวนเหนียงพยักหน้า
ใบหน้าของเหวินอี๋เหนียงมีความลังเล
หยวนเหนียงเห็นเช่นนี้ นางก็ยกมุมปากขึ้นเบาๆ ทำท่าทีเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกๆ ของเหวินอี๋เหนียง นางยิ้มแล้วมองไปที่อู่เหนียงและสืออีเหนียง “ข้าลุกขึ้นไปต้อนรับแขกไม่ได้ น้องหญิงทั้งสองก็กำลังอยู่ในวัยที่ชอบเล่นสนุก นั่งฟังพวกข้าพูดคุยกันก็คงจะเบื่อหน่าย เหวินอี๋เหนียง เจ้าพาอู่เหนียงและสืออีเหนียงไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ข้างหลังแทนข้าเถิด ดอกกล้วยไม้ผีเสื้อราตรีที่ฮองเฮามอบให้มาเมื่อปีก่อนคงจะบานแล้ว!”
อู่เหนียงรีบพูดขึ้นมา “พี่หญิงไม่ต้องสนใจข้า ข้าฟังท่านแม่กับพี่หญิงพูดคุยกัน รู้สึกสนุกดีเจ้าค่ะ ปกติอยู่ที่เรือนข้าก็มักจะไปพูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่อยู่บ่อยๆ แล้วอีกอย่างข้าเป็นคนชอบอยู่เฉยๆ ไม่ชอบขยับ!”
ตอนที่นางพูดสืออีเหนียงก็ยืนขึ้นแล้ว เมื่อเห็นว่าอู่เหนียงยังนั่งอยู่ที่เดิม นางก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เหวินอี๋เหนียงจึงหัวเราะเบาๆ และพูดอย่างขยันขันแข็งว่า “คุณหนูทั้งสอง ท่านก็คิดซะว่าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าเถิด ว่ากันว่าดอกกล้วยไม้ผีเสื้อราตรีสองกระถางที่ฮองเฮามอบให้นั้นเป็นเครื่องบรรณาการจากฝูเจี้ยน ทั้งหมดมีเพียงสามสิบดอก พระราชวังกานชิง พระราชวังฉือหนิงและพระราชวังคุนหนิง มีพระราชวังละสิบกระถาง สกุลของเราฮ่องเต้มอบให้ท่านโหวหนึ่งกระถาง ไท่เฮามอบให้ไท่ฮูหยินหนึ่งกระถาง ฮองเฮามอบให้ฮูหยินสองหนึ่งกระถาง มอบให้ฮูหยินสามหนึ่งกระถาง มอบให้ฮูหยินของเราอีกสองกระถาง มอบให้ฮูหยินห้าอีกหนึ่งกระถาง นับดูแล้วมีทั้งหมดเจ็ดกระถาง… ล้วนแต่ปลูกอยู่ในห้องกระจกในสวนดอกไม้ข้างหลัง ข้ายังไม่เคยเห็นเลยเจ้าค่ะ!”
ทันใดนั้นอู่เหนียงได้สติขึ้นมา
หยวนเหนียงพยายามเบี่ยงเบนพวกนางออกไปเพื่อที่จะพูดคุยกับนายหญิงใหญ่สองต่อสอง
ทันใดนั้น นางก็หน้าแดงขึ้นมา ลุกขึ้นยืนและคำนับหยวนเหนียงกับนายหญิงใหญ่พร้อมสืออีเหนียง จากนั้นก็เดินตามเหวินอี๋เหนียงไปที่เรือนกระจกสวนดอกไม้ข้างหลัง
สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้หยวนเหนียงอยู่ตลอดก็สะบัดมือให้สาวใช้ที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็พาบรรดาสาวใช้และเหล่าท่านป้า เดินออกมาเงียบๆ
นายหญิงใหญ่เห็นว่าในห้องเหลือแค่พวกนางสองแม่ลูก เบ้าตาของนางก็เปียกชื้นมาทันที นางจับมือบุตรสาวของตัวเองและพูดว่า “ท่านโหวดีกับเจ้าหรือไม่!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง
หยวนเหนียงยิ้มและพยักหน้า “ท่านโหวเป็นคนไม่ลืมมิตรภาพเก่าๆ เขาดีกับข้าเป็นอย่างมาก”
นายหญิงใหญ่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “เช่นนั้น เรื่องนั้น…”
หยวนเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเขา เหวินอี๋เหนียงจะยอมก้มหัวให้ข้าขนาดนี้ได้เช่นไร ท่านแม่ ท่านโหวเป็นคนดี ท่านไม่ต้องสงสัย แต่โชคชะตาของข้ามีแค่นี้ ข้าแก่ตายไปกับเขาไม่ได้…”
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็น้ำตาไหลราวกับสายฝน “อย่าพูดเช่นนี้ ฮองเฮาหาหมอพื้นบ้านให้เจ้าอยู่ไม่ไช่หรือ โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ มีคนมีความสามารถซ่อนอยู่ตั้งมากมาย เจ้าก็เป็นคนมีบุญวาสนา เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน เจอกับเรื่องอะไรก็จะต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน…” แต่นางกลับไม่ได้สนใจตอนที่ลูกสาวถอนหายใจที่ไม่ได้แก่ตายไปกับลูกเขย นางไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเลยสักนิด
หยวนเหนียงยิ้ม สีหน้าสงบนิ่งเป็นอย่างมาก “เป็นเหมือนที่ท่านแม่พูด ข้าจะต้องดีขึ้นแน่นอน ท่านแม่ท่านก็อย่าได้เสียใจไปเลยเจ้าค่ะ” ไม่รู้ว่านางกำลังปลอบใจตัวเองหรือปลอบใจท่านแม่
นายหญิงใหญ่ร้องไห้ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกสาวเสียใจ นางจึงกัดฟันเช็ดน้ำตา ยิ้มและพูดว่า “อืมใช่ เฉียวฮูหยินคนนั้นหมายความว่าเช่นไร ข้าได้ยินที่เหวินอี๋เหนียงพูด สกุลเฉียวไม่ธรรมดา ท่านโหว…ได้พูดอะไรหรือไม่”
หยวนเหนียงยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ ท่านไม่เชื่อข้า หรือว่าท่านก็ไม่เชื่อในสายตาของท่านปู่ ท่านโหวไม่ใช่คนเช่นนั้น ไม่อย่างนั้น ในจวนจะมีอนุภรรยาเพียงแค่นี้ได้เช่นไร! ”
นายหญิงใหญ่ก็แค่เป็นห่วงจนกระวนกระวาย ได้ยินที่บุตรสาวพูด นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มด้วยความลำบากใจ “เขาดีกับเจ้าข้าก็วางใจแล้ว”
“ท่านแม่” หยวนหเนียงเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้ “ทำไมท่านถึงพาสืออีเหนียงมาด้วย ปีนี้นางยังเด็กเกินไป”
นายหญิงใหญ่จึงนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ขึ้นมาได้
นางทำสีหน้าเคร่งขรึมและพูดว่า “เจ้าเขียนจดหมายมาบอกว่า ให้เจ้าพาน้องสาวสองคนมาหาเจ้าที่เยี่ยนจิง ถึงแม้ว่าคำพูดในจดหมายจะคลุมเครือ แต่ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าจะสื่อ แต่เรื่องบางเรื่อง เจ้ารู้ดีไม่เท่าข้า ลูกสาวในสกุลเราที่มีอายุเหมาะสม ก็มีแค่อู่เหนียงกับสืออีเหนียง สกุลหยางคนนั้นเป็นคนไม่รู้จักกฎระเบียบ อาจจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ หากสกุลสวีเลือกนาง แขวนคอ ดื่มยาพิษ นางทำได้ทุกอย่าง ถึงตอนนั้น เราจะไม่ใช่แค่เสียเปรียบอย่างเดียว แต่ยังสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเพิ่มอีกด้วย…เจ้าอย่าลืมเชียวนะ หาก… นางจะต้องเป็นท่านแม่ที่ชอบธรรมของจุนเกอ!”
หยวนเนียงไม่ได้พูดอะไร นางก้มหน้าก้มตา
“อู่เหนียงเป็นตัวเลือกที่ดี แล้วอีกอย่างนางยังมีน้องสี่ สองสามปีมานี้ ข้าเสียเงินให้เขาตั้งมากมาย ก่อนที่ข้าจะจากมา ยังหางานให้เขาทำ ข้าคิดว่ามันพอสมควรแล้ว ถึงแม้ว่าต่อไปนางอยากจะช่วยหลือ ก็ต้องช่วยได้ถึงจะดี สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพาน้องชายของเจ้า สืออีเหนียงไม่มีพี่น้อง ชิงถงก็เป็นคนขี้ขลาด ถึงแม้จะบอกว่ายังอายุน้อย แต่เจ้าดูหน้าตานางสิ งดงามเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น อายุน้อยก็มีข้อดีของอายุน้อย…” จากนั้นนายหญิงใหญ่ก็พูดต่อเบาๆ “ร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่ มีลูกยากเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากกลายเป็นความเคยชิน เช่นนั้นก็คงจะลำบาก…คิดไปคิดมา ข้าคิดว่าสืออีเหนียงดีกว่าอู่เหนียง ข้าจึงพาอู่เหนียงกับสืออีเหนียงมา” นายหญิงใหญ่ยิ้ม “แน่นอนว่า เรื่องนี้เจ้าต้องเป็นคนตัดสินใจ สกุลสวีจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นอุปสรรคเช่นกัน!”
“ข้าเชื่อในสายตาของท่านแม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ” หยวนเหนียงเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้ม “แล้วข้าก็ไม่ค่อยสนิทกับน้องๆ ที่จวน เรื่องนี้ ต้องโทษข้าที่ไม่ได้อธิบายให้ท่านแม่เข้าใจ แต่เกรงว่าเช่นนี้คงจะดีกว่า!”
นายหญิงใหญ่ตกใจ
หยวนเหนียงก็เริ่มพูดกับท่านแม่ของนางเบาๆ
[1] จู่เหริน การสอบรอบที่สองของระบบการสอบเข้ารับราชการของจีน เป็นการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค (มณฑลหรือภาคถ้าเทียบกับประเทศไทย) จัดสอบทุกสามปี โดยระบบการสอบเข้ารับราชการของจีนนั้นจะประกอบด้วยการสอบทั้งหมดสามรอบ