ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 317 เลือกสรร (ปลาย)
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามขึ้นว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าฮูหยินสองเองมีเงินก้นถุงอยู่ก้อนหนึ่งด้วย”
ป้าซ่งชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “บ่าวเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ดูเหมือนกำลังหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างอยู่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่ได้ถามอะไรต่อ
อย่างไรเสียป้าซ่งก็เป็นบ่าวรับใช้ที่มีอายุแล้ว เรื่องบางเรื่องหากพูดออกมาก็จะถือว่าเป็นการล่วงเกินเจ้านาย
สืออีเหนียงจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว พรุ่งนี้ฝ่ายรายงานจะไปส่งของขวัญวันไหว้บ๊ะจ่างที่เรือนของบัณฑิตเจียงสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนตั้งแต่เช้าตรู่ ถึงเวลานั้นเจ้าก็พาสาวใช้น้อยติดตามไปด้วยสองคน นำเครื่องหอม ถุงผ้าและอื่นๆ อย่างละนิดอย่างละหน่อยไปให้เจียงฮูหยินด้วย จากนั้นก็ลองหยั่งเชิงภรรยาของใต้เท้าเจียงดูว่าคุณหนูจะมาที่เมืองหลวงเมื่อไร”
เรื่องหมั้นหมายของจุนเกอทุกคนต่างก็รู้อยู่ในใจเพียงแต่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้น แต่พอสืออีเหนียงพูดมาเช่นนี้ แน่นอนว่าป้าซ่งจะต้องเข้าใจความหมายอย่างแน่นอน จึงรีบขานรับด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าค่ะ”
จากนั้นสืออีเหนียงก็ไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋ออกเดินทางอย่างเงียบๆ เขาบอกกับไท่ฮูหยินแค่ว่าจะไปทำธุระต่างเมืองหลายวันเท่านั้น จึงไม่ให้ภรรยาและอนุรวมไปถึงลูกหลานส่งเขาออกเดินทาง
ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลใจ “เจ้าหนูสี่จะไปไหนหรือ วันห้าค่ำเดือนห้าเป็นวันงานพิธีบรรลุนิติภาวะของเจ้า อีกทั้งยังเป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างอีกด้วย เหตุใดถึงยังเดินทางไปทั่วอีก!”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน แน่นอนว่าเขาจะต้องมีเหตุผลของเขา สืออีเหนียงพูดอะไรมากไม่ได้ นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านโหวปฏิบัติหน้าที่ล้วนมั่นคงและน่าเชื่อถือเสมอมา คงจะวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนจะออกเดินทางยังกำชับให้ข้าไปสืบถามภรรยาของใต้เท้าเจียงว่าคุณหนูจะเข้าเมืองหลวงตอนไหน และให้จัดเตรียมถุงเดินทางข้าวของเครื่องใช้ให้อวี้เกอเอ๋อร์ด้วย” จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องที่ป้าซ่งจะไปสืบถามข่าวคุณหนูที่จวนสกุลเจียงให้ไท่ฮูหยินฟัง และได้ปรึกษาหารือกับไท่ฮูหยินว่า “ใต้เท้าเจียงไม่สนใจชีวิตการเป็นขุนนาง คิดว่านิสัยจิตใจคงมีคุณธรรมสูงส่งไม่น้อย อวี้เกอเองก็เป็นคนไปขอร่ำเรียน ข้าคิดว่าหากเอิกเกริกจนเกินไป เกรงว่าใต้เท้าเจียงจะมองว่าฝั่งเราตัดใจให้บุตรชายลำบากไม่ลง ให้อวี้เกอมาลำบากไม่ได้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงถามขึ้นว่า “แล้วความคิดของเจ้าเล่า”
“ข้าคิดว่าในบรรดาสาวใช้เหวินจู๋ตั้งใจทำการทำงานที่สุด ส่วนในบรรดาบ่าวรับใช้ชายเสี่ยวลู่จื่อขยันทำงานที่สุด สู้ลองให้สองคนนี้ติดตามไปปรนนิบัติ เพิ่มคนที่อายุมากหน่อยหนึ่งคนและคนที่อายุยังหนุ่มอีกสองคนติดตามอวี้เกอไปที่เล่ออานด้วย ท่านเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“อืม!” ไท่ฮูหยินตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นก็เอาเป็นว่าจัดการตามนี้ก็แล้วกัน ให้พ่อบ้านไป๋มาช่วยเจ้าเลือกคนที่หนุ่มและค่อนข้างมีความรู้ประสบการณ์สักคน เกิดเรื่องอันใดขึ้นจะได้รู้ว่าควรรับมือและแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไร จัดเตรียมบ่าวรับใช้ชายที่ร่างกายกำยำแข็งแรงอีกสักสองคน จะได้มีคนทำงานใช้แรง” จากนั้นก็ได้ถามสืออีเหนียงว่า “ข้าวของเครื่องใช้ทางฝั่งอวี้เกอเริ่มจัดเตรียมแล้วหรือยัง”
“ยังไม่ได้เริ่มจัดเตรียมเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ท่านโหวบอกว่ารอให้เขากลับมาก่อนค่อยตกลงเรื่องกำหนดวันเดินทางอีกทีเจ้าค่ะ”
“ไปถึงเล่ออานแล้วก็จะไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ได้พูดขึ้น “เช่นนั้นก็จะต้องตั้งใจขยันหมั่นเพียรเล่าเรียนแล้ว ช่วงนี้ก็ให้เขาหยุดทบทวนหนังสือตำราก่อน พักผ่อนเสียหน่อย!”
หลังจากที่สวีลิ่งอี๋คุยกับสวีซื่ออวี้แล้ว สวีซื่ออวี้ไม่ได้ไปที่สำนักศึกษาชาติวงศ์อีก เพราะจะเริ่มเตรียมตัวเดินทางไปที่เล่ออานตามเจตนาของสวีลิ่งอี๋
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เพียงแต่ว่าอวี้เกอเอ๋อร์เป็นคนที่ตั้งใจเล่าเรียนมาโดยตลอด ท่านให้เขาอยู่ว่างเฉยๆ จะพลอยทำให้เขาไม่สบายใจเสียมากกว่า คิดว่าควรปล่อยเขาไปดีกว่าเจ้าค่ะ”
ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น ไท่ฮูหยินก็นึกถึงจุนเกอขึ้นมา “…วันนี้เป็นวันเข้าเรียนวันแรก ประเดี๋ยวเราไปแอบดูเขาเสียหน่อยดีกว่า!”
สวีลิ่งอี๋วางแผนจัดการเรื่องของจุนเกอเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยออกเดินทาง เขาได้มอบหมายเรื่องการต้อนรับอาจารย์จ้าวให้สวีลิ่งควนแทน ด้วยเหตุนี้สวีลิ่งควนเชิญหลัวเจิ้นซิ่งมาอยู่เป็นเพื่อนไม่พอ ยังลางานอยู่จวนหนึ่งวันเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะอีกด้วย
“ช่วงบ่ายค่อยไปดีกว่ากระมังเจ้าคะ!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ช่วงเช้าอาจารย์พูดอธิบายถึงกฎระเบียบต่างๆ ก็ถึงเวลาทานมื้อเที่ยงพอดี”
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้หันไปสั่งกับเว่ยจื่อให้ไปที่ประตูฉุยฮวา “หากคุณชายน้อยสี่เลิกเรียนแล้ว พามาที่เรือนข้าที”
เว่ยจื่อขานรับพร้อมกับถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นสืออีเหนียงก็อยู่คุยเป็นเพื่อนไท่ฮูหยินต่อ พอถึงตอนบ่าย เว่ยจื่อก็ได้ช่วยจุนเกอถือเบาะที่นั่งผ้าสักหลาดสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามา
“ท่านย่า!” จุนเกอวิ่งเข้าไปซบในอ้อมกอดของไท่ฮูหยิน โอบกอดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยยืนตัวตรงขึ้นมาทำความเคารพไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเห็นว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ จึงเรียกเหยาหวงรีบไปตักน้ำมาให้เขาล้างหน้าล้างตา เมื่อรอให้เขาชำระล้างสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยดึงเขาเข้ามาในอ้อมกอดพร้อมกับไถ่ถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียนของเขา
“วันนี้อาจารย์สอนอะไรเจ้าบ้าง”
“ช่วงบ่ายค่อยเริ่มเรียนบทเรียนขอรับ” จุนเกอตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ช่วงเช้าอาจารย์บอกแค่เวลาเข้าเรียน เวลาเลิกเรียนและวันหยุดพักผ่อนขอรับ”
“วันหยุดพักผ่อน!” ไท่ฮูหยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ “ยังห่างจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างอีกตั้งครึ่งเดือนนี่นา!”
“วันหยุดพักผ่อนของเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างก็เป็นส่วนของเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง วันปกติก็มีวันพักผ่อนของวันปกติครับ” จุนเกอพูดขึ้น “วันสิบค่ำ วันยี่สิบค่ำและวันสามสิบค่ำของทุกๆ เดือนจะไม่เรียน เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลวันหกค่ำเดือนหก เทศกาลวันสารทจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลฉงหยาง เทศกาลฤดูหนาว เทศกาลตรุษจีน เทศกาลเช็งเม้ง…” จุนเกอนับนิ้วทีละนิ้ว “ล้วนแล้วแต่เป็นวันหยุดพักผ่อนทั้งสิ้นขอรับ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็อึ้งจนตาค้างพลางหันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “นี่…นี่มันเยอะเกินไปหรือเปล่า”
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกว่าค่อนข้างเยอะ
ใครจะไปรู้ จู่ๆ จุนเกอก็พูดขึ้นว่า “ไม่เยอะ ไม่เยอะขอรับ ท่านอาจารย์บอกแล้วว่าวันสิบค่ำ วันยี่สิบค่ำและวันสามสิบค่ำของทุกๆ เดือนจะต้องล้างหน้าสระผมให้สะอาดสะอ้าน เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างจะต้องดูเรือมังกร เทศกาลวันหกค่ำเดือนหกจะต้องเอาหนังสือตำราออกมาตากแดด เทศกาลวันสารทจีนก็กราบไหว้บรรพบุรุษ เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก็เชยชมดวงจันทร์ เทศกาลฉงหยางจะต้องขึ้นที่สูง เทศกาลฤดูหนาวก็ทานหม้อไฟ เทศกาลตรุษจีนก็พักผ่อนหย่อนใจ ส่วนเทศกาลเช็งเม้งก็ท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติฤดูใบไม้ผลิ” จุนเกอแหงนหน้าจ้องมองไท่ฮูหยิน สีหน้าและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข “ท่านอาจารย์ยังถามข้าว่าในเมืองเยี่ยนจิงสามารถดูการแข่งเรือมังกรที่ไหนได้บ้าง ถึงเวลาจะพาข้าไปดูด้วยขอรับ”
สืออีเหนียงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “เช่นนั้นอาจารย์จะพาเจ้าไปขึ้นเขาและท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติด้วยหรือ”
“แน่นอนขอรับ!” จุนเกอยืดอกเชิดหน้าขึ้นสูง “ท่านอาจารย์บอกแล้ว เวลามีเรื่องอันใด ลูกศิษย์ก็ต้องช่วยแบ่งเบา ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยท่านอาจารย์แบกตะกร้าหนังสือตำรา” จากนั้นก็ได้ถามขึ้นว่า “ท่านย่า ในเมืองเยี่ยนจิงนี้ ที่ไหนสามารถดูการแข่งเรือมังกรได้บ้างขอรับ”
ไท่ฮูหยินจึงยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ที่แม่น้ำซีย่วนอวิ้นเหอมีแข่งเรือมังกร”
จุนเกอได้ยินแล้วก็รีบพยักหน้าอย่างจริงจัง “ประเดี๋ยวข้าจะบอกท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จะได้ไปถูก”
ก่อนหน้านี้อาจารย์จ้าวเคยเป็นอาจารย์อยู่ที่จวนจงซานโหว เหตุใดจะไม่รู้เล่าว่าวันขึ้นห้าค่ำเดือนห้าของทุกๆ ปีจะมีการแข่งเรือมังกรที่แม่น้ำซีย่วนอวิ้นเหอ
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์เป็นคนให้เจ้ามาถามหรือ”
จุนเกอได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ขอรับ เป็นเพราะข้าคิดว่าท่านอาจารย์ไม่ใช่คนเยี่ยนจิง ถึงเวลาตอนที่พวกข้าจะไปดูการแข่งเรือมังกร หากไปผิดที่ขึ้นมาแล้วจะทำเช่นไรเล่า” น้ำเสียงฟังดูปกป้องเป็นอย่างมาก
เมื่อไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงได้ยินก็พากันหัวเราะออกมา
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาถามว่าให้จัดโต๊ะอาหารที่ไหน ทุกคนจึงหยุดพูดถึงเรื่องนี้และพากันไปทานอาหารที่ห้องปีกทิศตะวันออก
จากนั้นไท่ฮูหยินก็ได้ให้เหยาหวงพาจุนเกอไปนอนพักช่วงกลางวัน แต่จุนเกอกลับจะไปที่เรือนซวงฝูแทน “…ตอนนี้ท่านอาจารย์กำลังทำขลุ่ยไม้ไผ่อยู่ ท่านอาจารย์บอกว่าจะทำให้ข้าขอรับ”
จุนเกอดึงแขนเสื้อของไท่ฮูหยินบิดตัวไปมา สีหน้าท่าทางจะไปให้ได้อย่างไรอย่างนั้น
ไท่ฮูหยินจึงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับรับปากอนุญาตให้เขาไป จากนั้นก็ได้กำชับกับสาวใช้และแม่เฒ่าที่ติดตามจุนเกอให้ปรนนิบัติดูแลจุนเกอดีๆ แล้วจึงค่อยให้เหยาหวงออกไปส่งที่หน้าประตู พอหันหน้ากลับมารอยยิ้มเมื่อครู่นี้ก็ได้หายไป พูดกับสืออีเหนียงว่า “ตอนเย็นเราไปดูเสียหน่อย!”
คงเพราะรู้สึกว่าจุนเกอสนิทสนมกับอาจารย์มากเกินไปกระมัง
คงเป็นห่วงว่าวันข้างหน้าอาจารย์จ้าวจะอาศัยจุนเกอเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในของจวนสกุลสวี อีกทั้งยังกลัวว่านานวันไปสวีลิ่งอี๋จะสูญเสียความน่าเกรงขามของความเป็นบิดาจากใจของจุนเกอไป
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นอย่างมีนัยแอบแฝงว่า “ท่านโหวเป็นบิดา ย่อมมีความน่าเกรงขามเฉกเช่นบิดาอยู่แล้ว แต่จุนเกอยังเด็กมาก เป็นวัยที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา มีคนเช่นอาจารย์จ้าวมาเป็นสหายอยู่ข้างกาย ข้าคิดว่าอารมณ์และนิสัยของจุนเกอคงจะร่าเริงกว่าเดิม ผ่านไปสักสองสามปี พอรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ก็คงจะดูออกว่าใครใช่หรือไม่ใช่”
ไท่ฮูหยินยังคงเป็นกังวลใจ “ข้าไปดูเสียหน่อยดีกว่า!”
หลังจากที่ไท่ฮูหยินได้พักผ่อนช่วงบ่ายแล้ว สืออีเหนียงก็มาพาไท่ฮูหยินไปยังเรือนซวงฝู
ทุกคนพากันเดินอ้อมเรือนที่อยู่ลานนอกของสวีลิ่งอี๋ตรงไปยังเรือนซวงฝู
ประตูเก๋อซ่านสีดำเงาสลักลายใบปาล์มเปิดออกครึ่งบาน จุนเกอกำลังเอียงศีรษะน้อยๆ ฝึกคัดอักษรอยู่ มีเสียงอ่อนโยนที่คอยเตือนเขาว่า “นั่งตัวให้ตรง มิเช่นนั้นหลังจะค่อมเอาได้ เดินไปที่ไหนตัวก็จะเตี้ยแคระกว่าคนอื่น”
จุนเกอได้ยินแล้วก็หัวเราะคิกคักชอบใจ จากนั้นก็ยืดตัวนั่งตรง
สืออีเหนียงประคองไท่ฮูหยินเดินเรียบขอบกำแพงของห้องราวสองสามก้าว ก็เห็นแผ่นหลังที่สวมเสื้อหังโฉวแขนยาวสีเขียวกำลังยืนมองจุนเกออยู่ เมื่อเห็นว่าจุนเกอคัดอักษรอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาจึงยิ้มพร้อมกับเดินกลับไปยังโต๊ะหนังสือของตนเอง จึงทำให้คนที่อยู่ด้านนอกสามารถเห็นหน้าตาของเขาได้อย่างชัดเจน
อายุราวสามสิบปี ผิวพรรณสะอาดหมดจด หน้าตาหล่อเหลาคมคาย สีหน้าท่าทางดูอ่อนโยนและใจดี บุคลิกสุภาพเรียบร้อย
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็กลับไปยังเรือนชั้นในพร้อมสืออีเหนียง
“ดูแล้วไม่เลวทีเดียว”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้นพร้อมกับรินน้ำชามาให้ไท่ฮูหยิน
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ฮูหยินของรองเจ้ากรมจัวมามอบของขวัญเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”!
สืออีเหนียงและไท่ฮูหยินต่างก็หันมาสบตากัน
“คงจะมาเพราะเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์กระมัง!” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นเสียงเบา
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ขอตัวลากับไท่ฮูหยิน แล้วจึงค่อยไปเจอจัวฮูหยินที่โถงบุปผา
จัวฮูหยินได้นำพัดกลมแบบใหม่มาหลายเล่ม พร้อมด้วยผลท้อสดและลูกพลัมสดจำนวนหนึ่งมาเป็นของฝาก
“ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”
สืออีเหนียงรับมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
จัวฮูหยินก็ได้ถามขึ้นว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นคุณหนูใหญ่เล่า”
“เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังเย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือน!”
จัวฮูหยินจึงเอ่ยปากว่าอยากเจอหน้าทักทายสักหน่อย “มาถึงเยี่ยนจิงก็ได้ยินผู้คนพูดถึงฝีไม้ลายมือของฮูหยิน คุณหนูใหญ่ติดตามท่านมา ดูแล้วฝีมือการเย็บปักถักร้อยคงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” น้ำเสียงฟังดูค่อนข้างหนักแน่นและไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับเชื้อเชิญนางไปยังเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
ระหว่างทาง จัวฮูหยินก็ได้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นายท่านจวนข้าเคารพและเลื่อมใสท่านโหวเป็นที่สุด เขามักจะพูดกับข้าอยู่เสมอ หากไม่ใช่เพราะท่านโหว ตระกูลข้าก็คงจะไม่มีวันนี้ จึงให้ข้าคอยไปมาหาสู่กับฮูหยินให้มาก เพียงแต่ว่าข้านั้นด้อยประสบการณ์ขาดความรู้ มีตรงไหนที่กระทำไม่เหมาะควร ขอฮูหยินโปรดชี้แนะด้วย”
นางวางอากัปกิริยาค่อนข้างนอบน้อมเป็นอย่างมาก
“ฮูหยินเกรงใจไปแล้ว!” สืออีเหนียงตอบกลับอย่างถ่อมตัว “ข้าอายุยังน้อย ต้องขอคำแนะนำจากฮูหยินถึงจะถูก”
“ข้าก็แค่อายุมากกว่าฮูหยินไม่กี่ปี แต่ความรู้และประสบการณ์ยังด้อยกว่ามากนัก” จัวฮูหยินยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดต่อไปว่า “นายท่านจวนข้ามักจะตำหนิติติงข้าอยู่เสมอ ว่าข้านั้นทำงานใจร้อน หุนหันพลันแล่นขาดความสุขุมน่าเชื่อถือ เมื่อก่อนเวลาได้ยินข้ายังไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แต่หลังจากมาอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิงแล้วจึงเพิ่งรู้ว่าข้านั้นเป็นเหมือนเช่นกบในกะลา สายตาคับแคบยิ่งนัก ยังเป็นนายท่านของข้าที่พูดมีเหตุผล ข้าหวังเพียงว่าคุณชายน้อยใหญ่จวนข้าจะสามารถสู่ขอสะใภ้ที่มีความรู้ความสามารถกลับมาได้สักคน ข้าจะได้วางภาระหน้าที่ที่แบกอยู่บนบ่าลงได้ จะได้ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงดูบุตรเล็กทั้งสองให้เติบใหญ่” น้ำเสียงฟังดูจริงใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเชื่อแต่ข้อตกลงที่เป็นอักษรดำบนกระดาษขาวเท่านั้น นางไม่เชื่อคำมั่นสัญญาที่พูดปากเปล่า
“จัวฮูหยินช่างเป็นคนมีบุญวาสนาโดยแท้” สืออีเหนียงพูดคุยกับนาง “อีกสักสองสามปีก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบและสบายได้แล้ว”
ทั้งสองสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้เข้าสู่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังปักผ้าม่านประตูอยู่ที่ห้องทิศตะวันออกของเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงพาแขกมา นางก็รีบลุกขึ้นพร้อมเดินออกมาต้อนรับทันที
เมื่อจัวฮูหยินเห็นฝีไม้ลายมือการปักของเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วก็เอาแต่ชมอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นค่อยไปคารวะไท่ฮูหยินพร้อมสืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินเชื้อเชิญให้นางอยู่ทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน แต่จัวฮูหยินได้ปฏิเสธไปหลายหน แล้วจึงกลับจวนไปในที่สุด
ไท่ฮูหยินจึงถามสืออีเหนียงขึ้นว่า “คุยอะไรกันบ้างหรือ”
สืออีเหนียงจึงเล่าคำพูดของจัวฮูหยินให้ไท่ฮูหยินฟัง
ไท่ฮูหยินเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าว่าจัวฮูหยินจริงใจแค่ไหน”