ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 316 เลือกสรร (กลาง)
กลางคืนเมื่อได้เจอหน้ากับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ดูค่อนข้างผิดหวัง “ในตอนแรกความสัมพันธ์ของเหล่าจัวและข้าแตกต่างกันค่อนข้างมาก หากว่าสามารถสำเร็จลุล่วงได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่น้อย ข้าเห็นว่าเด็กคนนั้นดูสง่าผ่าเผยมีความมุ่งมั่น แต่การกระทำกลับไม่เด็ดขาดพอ หากคู่กับเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเราแล้ว ดูค่อนข้างด้อยไปหน่อย”
“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี” สืออีเหนียงถามขึ้น
“ข้าเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “ในงานเลี้ยงมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ข้าเพียงบอกไปว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ถูกเลี้ยงดูจนเติบโตโดยท่านแม่ เรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ต้องให้ท่านแม่ยอมตกลงถึงจะได้”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็พูดขึ้นว่า “พูดเช่นนี้ดีที่สุด เราจะได้พอมีทางหนีทีไล่บ้าง” จากนั้นก็ได้เล่าถึงคำพูดของไท่ฮูหยินให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “คุณชายจวนสกุลหวังผู้นั้น จะต้องดูให้ละเอียดถี่ถ้วนหน่อยถึงจะดี”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “บ่ายวันนี้ก็สั่งให้คนไปสืบถามเรื่องนี้เลย คาดว่าพรุ่งนี้คงจะได้ข่าวอะไรมาบ้าง อีกสองวันบุตรชายคนเล็กของเฉินเก๋อเหล่าจะแต่งงาน ทางตระกูลซุ่นอ๋องก็ได้ส่งเทียบเชิญพิธีเต็มเดือนของบุตรชายมาด้วย ตอนเจ้าไปก็อย่าลืมเตรียมของขวัญด้วย”
สืออีเหนียงขานรับ จากนั้นก็เกิดสงสัยเรื่องบุตรชายคนเล็กของเฉินเก๋อเหล่าแต่งงานขึ้นมา “…หมั้นกับบุตรสาวของตระกูลไหนหรือ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มขึ้นบางๆ พร้อมกับจ้องมองไปยังใบหน้าของนาง “หมั้นกับบุตรสาวคนโตของผู้ว่าการมณฑลกานซู่สกุลว่านชุน”
สืออีเหนียงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็นึกถึงตอนที่ตนได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก…ใบหน้าของนางจึงชาไปชั่วขณะ
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็รีบขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่รู้ว่าบุตรสาวคนโตของขุนนางข้าหลวงประจำการเขตจินหวาหมั้นกับผู้ใดอย่างนั้นหรือ”
สืออีเหนียงถลึงตาใส่เขาพร้อมก็พูดขึ้นว่า “เรื่องของบ้านคนอื่นเขา เกี่ยวอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังพลางอุ้มนางขึ้นมา พร้อมกับกระซิบข้างหูเสียงแผ่วเบาว่า “ตอนนี้ว่างไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นเรามาหาอะไรทำดีหรือไม่”
จู่ๆ ที่นอกประตูก็มีเสียงสาวใช้น้อยพูดขึ้นว่า “ท่านโหว ฮูหยิน หลินปัวมาเจ้าค่ะ!”
“ให้เขาค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน!” สวีลิ่งอี๋สาวเท้ามุ่งตรงไปยังเตียง
สืออีเหนียงผลักแผ่นอกของเขาเบาๆ “ดึกขนาดนี้แล้ว หลินปัวมาหาท่านคงเพราะมีเรื่องด่วนเป็นแน่ ท่านออกไปเจอเสียหน่อยดีกว่ากระมัง!”
สวีลิ่งอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
สืออีเหนียงก็พยายามดิ้นจะลง “ท่านโหวควรจะไปดูเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋จึงวางนางลงบนเตียงพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เจ้ารอข้าประเดี๋ยว”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย มองแผ่นหลังของสวีลิ่งอี๋ที่ค่อยๆ เดินออกจากห้องชั้นในไป นึกถึงสีหน้าหยอกเย้าของเขาเมื่อครู่นี้ขึ้นมา
ความรักใคร่ที่ไร้ซึ่งความสงสัยของเมื่อวานนี้ สวีลิ่งอี๋คงจะรับรู้ได้กระมัง
ประสบการณ์การใช้ชีวิตสอนนางว่า จะต้องมานะพยายามเท่านั้น เวลาที่มีโอกาสเข้ามาเราจึงจะสามารถคว้ามันมาได้ ดังนั้น นางจึงไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ และแล้วผลนั้นก็ตอบกลับมา ดังนั้น เมื่อถึงห้วงเวลาโดดเดี่ยวที่นางต้องอยู่ตัวคนเดียวตามลำพัง นางจึงปฏิบัติเหมือนความสำเร็จที่ตนได้เคยผ่านมาก่อนหน้านี้ มุ่งมั่นและพยายามที่จะรักษาฟื้นฟูร่างกายให้หายดีเป็นปกติ พยายามจะกลายเป็นหมากรุกที่นายหญิงใหญ่ต้องการใช้ พยายามที่จะอยู่อย่างสงบในจวนหย่งผิงโหว พยายามที่จะเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของไท่ฮูหยิน พยายามที่จะได้รับความไว้วางใจจากสวีลิ่งอี๋ พยายามที่จะเป็นภรรยาและมารดาที่ดี เพื่อที่จะสอดคล้องกับกระแสหลักของสังคม!
แต่นางกลับลืมไปเสียสนิทว่าแต่เดิมนั้นหัวใจมีความคิดเป็นของตัวเอง
สืออีเหนียงจะต้องพยายามและตั้งใจทำทุกอย่างอย่างหนักเพื่อที่จะสามารถเข้าสู่สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ เป็นดอกไม้ที่เงียบสงบในตอนกลางวัน และเมื่อนางต้องเปิดรับผู้ชายคนหนึ่งที่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตนเข้ามาในชีวิต กลายเป็นเรื่องลำบากและยากที่จะรับมือ! นางเริ่มดิ้นรนโดยสัญชาตญาณ…หวังเพียงว่าคนที่อุ้มและกอดนางอยู่นั้นจะให้เกียรตินางบ้าง
สืออีเหนียงจ้องมองม่านมุ้งที่เนียนละเอียดราวกับหมอกควันก็ไม่ปาน
เมื่อวานนี้ เพราะว่าตนรับรู้ถึงการให้เกียรติ นางจึงสามารถยอมรับได้อย่างไร้ซึ่งความกังวล
แล้วสวีลิ่งอี๋เล่า
สองวันก่อนเขายังหยอกล้อตนราวกับว่ากำลังเล่นกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาพอดี
สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีเท่าไรนัก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงรีบดึงสติกลับพร้อมกับถามสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋หย่อนตัวนั่งลงข้างเตียง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “สืออีเหนียง พรุ่งนี้ข้าต้องไปจังชิวสักหน่อย!”
“จังชิว?” สืออีเหนียงจ้องมองไปยังสวีลิ่งอี๋ด้วยความแปลกใจ
จังชิวเป็นอำเภอหนึ่งในเขตซานตง นางเคยอ่านเจอในตำรา ‘เก้าแคว้นแห่งต้าโจว’
เขาไปทำอะไรที่จังชิวกันนะ
สีหน้าท่าทีของสวีลิ่งอี๋ดูเหมือนพูดไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงจึงไม่ได้ซักไซ้ไต่ถามต่อ เปลี่ยนไปถามอย่างอื่นแทน “ท่านจะไปกี่วันหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ท่านถูก”
“ประมาณเจ็ดแปดวันกระมัง!” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้พูดต่อไปว่า “ข้าจะกลับมาให้ทันก่อนงานพิธีบรรลุนิติภาวะของเจ้า!”
ที่ผ่านมาสืออีเหนียงรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงหรือพิธีวันเกิดล้วนแล้วแต่ไม่จำเป็นที่จะต้องจัดให้โอ่อ่าใหญ่โตมากมาย นางเองกลับให้ความสำคัญกับมิตรภาพที่หยิบยื่นให้ในเวลาที่ต้องการความช่วยเหลือเสียมากกว่า
“ท่านโหวไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับงานพิธีบรรลุนิติภาวะของข้าเลย ท่านควรที่จะให้ความสำคัญกับธุระของท่านเป็นหลัก” พูดจบนางก็หันไปเรียกลี่ว์อวิ๋นเข้ามา เพื่อมาช่วยเตรียมเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ให้สวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็ได้เปิดกล่องยาขึ้นมา “อากาศยิ่งอยู่ก็ยิ่งร้อน เอายาลูกกลอนฮั่วชี่เจิ้งเซียงกับยาน้ำซังจวี๋ติดไปด้วยสักหน่อย” จากนั้นก็เริ่มกำชับด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่าระหว่างเดินทางนั้นให้รักษาตัวเองดีๆ อากาศยามเช้าและยามค่ำคืนค่อนข้างหนาวเย็น อย่ารู้สึกว่าเป็นการยุ่งยากลำบาก จำไว้ว่าต้องสวมเสื้อผ้าเพิ่มตอนอากาศหนาวและลดเสื้อผ้าลงยามอากาศร้อน
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ แต่จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “จังชิวเป็นจวนสกุลเดิมของพี่สะใภ้สอง!” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเป็นกังวล
จวนสกุลเดิมของพี่สะใภ้สอง สวีลิ่งอี๋จะไปที่นั่นทำไมกัน ถึงแม้ว่าบ้านญาติฝั่งสกุลเดิมของพี่สะใภ้สองเกิดเรื่องขึ้นก็ควรจะให้ผู้หลักผู้ใหญ่ออกหน้าถึงจะถูก ดึงสวีลิ่งอี๋เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเช่นนี้ คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่แท้!
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ให้คนรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องถอยออกไปก่อน แล้วจึงค่อยถามสวีลิ่งอี๋ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ ท่านโหวควรจะบอกให้ข้ารู้เรื่องด้วย ข้าเองจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ และเตรียมรับมือให้ทันการ!”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงตื่นตระหนกราวกับว่ากำลังเจอกับสถานการณ์ที่ร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรมากนัก…” น้ำเสียงของเขาชะงักไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยฝืนพูดขึ้นว่า “ตอนที่พี่สะใภ้สองแต่งงานเข้ามานั้น เคยมีที่นาที่เป็นสมบัติก้นหีบอยู่ด้วย เป็นสินเดิมของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเซี่ยงที่มอบให้พี่สะใภ้สองเก็บไว้เป็นสมบัติติดตัว มีช่วงหนึ่งในจวนเกิดลำบากขัดสนขึ้นมา พี่สะใภ้สองก็ได้นำที่นาไปขายเองส่วนตัวเพื่อที่จะนำเงินมาจุนเจือในครอบครัว…” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็ค่อนข้างกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา “ต่อมาถึงแม้ว่าข้าจะคืนที่ดินในราคานั้นให้กับพี่สะใภ้สองแล้ว แต่พอมานึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยงเป็นคนมอบสวนไร่นาผืนนั้นให้กับพี่สะใภ้สองเพื่อเป็นสินเดิม และพี่สะใภ้สองก็แอบเอาไปขายเองเงียบๆ คนเดียว เมื่อนำมาขายกะทันหันเช่นนี้ ราคาจึงค่อนข้างต่ำเป็นอย่างมาก ยังต่ำกว่าสามถึงห้าส่วนของราคาท้องตลาดเสียด้วยซ้ำ ในใจข้าจึงรู้สึกแย่มาก จึงอยากจะซื้อสวนไร่นาผืนนั้นกลับมาสักส่วน เพื่อชดเชยทรัพย์สินของพี่สะใภ้สองที่สูญเสียไป จึงให้คนที่อยู่ใกล้เคียงแถวนั้นช่วยเป็นหูเป็นตามาโดยตลอด การไปที่จังชิวในครั้งนี้ ก็เพราะได้ยินมาว่าหนึ่งในผู้คนที่ซื้อที่ดินไปนั้น ต้องการจะขายที่ดินผืนนั้น…”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
ป้าเถาเคยบอกว่าสินเดิมของฮูหยินสองนั้นน้อยนิดมากไม่ใช่หรือ ทำไมจู่ๆ ก็มีที่ดินโผล่ออกมาได้ อีกอย่างฟังจากน้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋แล้ว นอกจากจะไหว้วานผู้อื่นช่วยเป็นหูเป็นตา ยังเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเองอีกต่างหาก…เป็นเพราะคนที่จะขายที่ดินนั้นไม่ได้ยำเกรงสวีลิ่งอี๋หรืออย่างไรกัน รู้ว่าสวีลิ่งอี๋รีบร้อนที่จะซื้อที่ดินผืนนั้นกลับ จึงตั้งใจจะโก่งราคาให้สูงขึ้นงั้นหรือ หรือว่าผู้ดีตระกูลอื่นก็ถูกใจในที่ดินผืนนี้เช่นกัน หากให้พ่อบ้านออกหน้าแทนก็อาจจะไม่สามารถนำที่ดินผืนนี้กลับมาได้อย่างราบรื่นเช่นนั้นหรือ
ในใจของนางค่อนข้างฟุ้งซ่าน จึงพูดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจว่า “ที่ดินผืนนี้เป็นของใครหรือเจ้าคะ สามารถหาคนรู้จักที่ใกล้ชิดกับทางนั้นเข้าไปตีสนิทได้หรือไม่ ถึงเวลานั้นจะได้คุยกับเขาดีๆ เพิ่มจำนวนเงินให้มากขึ้นหน่อย หากทางนั้นต้องการจะขายจริงๆ ก็คงจะไม่ลำบากยากเย็นเท่าไรนัก”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็ยิ้มเจื่อนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ง่ายดายอย่างนั้นเสียที่ไหนกัน!”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
สวีลิ่งอี๋จึงพูดขึ้นว่า “สวนไร่นาผืนนั้นกว้างประมาณหกพันกว่าหมู่ ล้วนแล้วแต่เป็นนาดีที่อุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้น อีกอย่างยังเป็นที่นาผืนใหญ่ที่ติดเป็นผืนเดียวกัน ปีนั้นพี่สะใภ้สองลงทุนลงแรงไปมากมายจึงจะสามารถยืนหยัดในอุตสาหะนี้ได้ ตอนขายไปพูดง่าย แต่พอตอนซื้อกลับยากเย็นเช่นวันนี้…” เขาทอดถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ “ผ่านหลายปีแล้ว แต่ละคนที่ซื้อไปนั้นโชคชะตาก็แตกต่างกันไป พอเวลาผ่านไปบางคนยิ่งอยู่ก็ยิ่งร่ำรวยมั่งคั่ง แต่บางคนยิ่งอยู่กลับยิ่งตกอับ คนที่ตกอับเหล่านั้นเราคุยได้ง่าย แต่คนที่มีชีวิตที่ดีเหล่านั้นจะยอมขายที่นาที่อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไรกันเล่า เป็นปัญหาที่มีเงินก็ไม่สามารถจัดการได้”
ในหัวของสืออีเหนียงมีเพียงคำพูดที่ว่า ‘สวนไร่นาผืนนั้นกว้างหกพันกว่าหมู่’ วนเวียนไปมาไม่หยุด
“ทำไมถึงมากขนาดนั้น” สืออีเหนียงได้ยินเสียงของตนค่อนข้างตะกุกตะกัก
สวีลิ่งอี๋จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “มันเป็นเรื่องในครอบครัวของพี่สะใภ้สอง เราเองก็ไม่สะดวกที่จะถามมากไป!”
สืออีเหนียงจึงนึกถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างตึงเครียดระหว่างฮูหยินสองและนายหญิงเซี่ยงขึ้นมา…เกรงว่าระหว่างความสัมพันธ์นี้คงจะมีเรื่องราวความเป็นมาอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่สะดวกจะถามอะไรมาก นางจึงถามเพียงว่า “เช่นนั้นตอนนี้สามารถซื้อที่ดินกลับมาได้สักหน่อยแล้วหรือยังเจ้าคะ”
“ซื้อกลับมาได้ราวแปดร้อยกว่าหมู่” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “แต่พี่สะใภ้สองไม่ยอมรับไป บอกเพียงว่าตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้ตนมานั้นก็คิดแค่ว่าสักวันจะสามารถนำมาใช้ช่วยในยามลำบากคับขันได้ เฉกเช่นยามนั้นที่นางสามารถนำออกมาช่วยให้จวนสกุลสวีพ้นจากวิกฤตครั้งนั้นได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แม้แต่ตอนที่ข้านำที่ดินที่ข้าซื้อกลับมาเพื่อชดเชยที่ดินส่วนนั้นให้กับนาง ไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับที่ดินส่วนนั้นไป โฉนดที่ดินส่วนนั้นยังอยู่ที่ท่านแม่อยู่เลย ครั้งนี้ที่ดินที่จะซื้อนั้นทั้งหมดกว้างราวสี่ร้อยหมู่ คนจังชิวส่วนใหญ่รู้ว่าข้าต้องการจะซื้อที่นาผืนนั้นกลับมา นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนที่เข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวจิตใจของเจ้าของเหล่านั้นให้ยอมขายที่นาโดยเฉพาะ ดังนั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะรีบเดินทางไปที่จังชิว ตอนที่ซื้อยังไม่สำเร็จ ชื่อเสียงที่บีบบังคับเจ้าของขายที่จะได้ไม่ถดถอย”
นี่เป็นเหมือนเช่นคำพูดที่ว่า ‘รู้ทั้งรู้ว่าบนเขามีเสือ แต่ก็ยังดั้นด้นจะใช้เส้นทางภูเขา!’ หรือไม่นะ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านโหวก็ควรจะคิดพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนจะดีกว่า” สืออีเหนียงพยายามโน้มน้าวเขา “หากถูกทางตุลาการฟ้องร้องขึ้นมา เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ผู้คนจะพากันติฉินนินทาว่าจวนสกุลสวีขายสมบัติของลูกสะใภ้กิน จะยิ่งไม่น่าฟังเข้าไปใหญ่!”
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นอย่างจนใจ “ฉะนั้นหลายปีมานี้ข้าจึงซื้อๆ หยุดๆ ไปแปดร้อยกว่าหมู่ ครั้งนี้ข้าเองก็ได้พิจารณาสถานการณ์แล้ว หากซื้อได้ก็จะซื้อ หากไม่สำเร็จ ก็คงทำได้แค่รอโอกาสอื่น เพียงแต่ว่าหากยิ่งปล่อยเวลาผ่านนานไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงของที่นาผืนนี้ยิ่งอยู่ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เกรงว่าถึงเวลานั้นจะซื้อกลับมากจะเป็นการยาก” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเข้าใจถึงความรู้สึกของสวีลิ่งอี๋ แต่นางเป็นห่วงความสัมพันธ์ของสินเดิมสามสิบหกยกและที่นาหกพันกว่าหมู่เสียมากกว่า
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ส่งสวีลิ่งอี๋เดินทางเรียบร้อยแล้ว นางก็รีบเรียกตัวป้าซ่งมาถามทันที
“ข้าได้ยินป้าเถาเล่าว่าตอนที่ฮูหยินสองแต่งงานเข้ามานั้น ไท่ฮูหยินเองก็ได้สมทบสินเดิมให้นางด้วย มีเรื่องนี้หรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ!” ป้าซ่งตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็ขยับเข้ามากระซิบข้างหูของสืออีเหนียงว่า “ใต้เท้าเซี่ยงเป็นทายาทผู้สืบสกุล” จากนั้นนางก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนที่ฮูหยินสองแต่งเข้ามานั้น ได้ขนหนังสือตำราเข้ามาตั้งหลายลำรถ ฮูหยินผู้เฒ่าบอกแล้วว่าเพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต ของเหล่านี้ก็ไม่ต้องขึ้นรายการแล้ว แต่ไท่ฮูหยินรู้สึกไม่สบายใจ จึงได้นำคทาหยกขาวหรูอี้ยาวประมาณหนึ่งฉื่อจำนวนหนึ่งคู่และเครื่องประดับราคาแพงที่เดิมทีเป็นสินเดิมของไท่ฮูหยินเอง นำไปสมทบเป็นสินเดิมให้กับฮูหยินสอง นายหญิงเซี่ยงผู้เฒ่าชื่นชอบเป็นอย่างมาก บอกว่าไท่ฮูหยินของเราชัดเจนและตรงไปตรงมา ดังนั้นตอนที่ฮูหยินสองแต่งงานเข้ามาจึงใช้คทาหยกขาวหรูอี้เป็นยกที่หนึ่งนำหน้าขบวน ฉะนั้นตอนที่ฮูหยินสามพึ่งแต่งงานเข้าจวนมา ก็เคยโวยวายเรื่องนี้กับคุณชายสามด้วยเจ้าค่ะ!”
ไม่ขึ้นรายการสินสอดทองหมั้น เช่นนั้นก็แสดงว่าคงตั้งใจจะมอบหนังสือตำราเหล่านี้ให้กับจวนสกุลสวีตั้งแต่แรกสินะ!
“แล้วพี่หญิงของข้ารู้เรื่องนี้หรือไม่” สืออีเหนียงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“คงจะทราบกระมังเจ้าคะ!” ป้าซ่งไม่ค่อยมั่นใจนัก “หนังสือตำราที่ฮูหยินสองขนย้ายเข้ามานั้นถูกเก็บไว้ที่เรือนเสาหวา ตอนที่ฮูหยินคนก่อนสี่พึ่งย้ายเข้ามา ยังเคยไปยืมหนังสือตำรากับฮูหยินสองอยู่เลยเจ้าค่ะ!”