ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 312 งานเลี้ยงวันเกิด(ต้น)
ออกมาจากเรือนของไท่ฮูหยิน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
สวีลิ่งควนและฮูหยินห้าอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เดินไปทางเหนือ สืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋ ฮูหยินสอง เจินเจี่ยเอ๋อร์ สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ยเดินไปทางสวนดอกไม้หลังจวน
สวีลิ่งอี๋และสวีซื่ออวี้เดินอยู่ข้างหน้าสุด ฮูหยินสองและสืออีเหนียงเดินอยู่ข้างๆ กัน เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินอยู่ข้างหลัง สะใภ้หนานหย่งอุ้มสวีซื่อเจี้ยเดินอยู่ข้างหลังเจินเจี่ยเอ๋อร์
จู่ๆ ฮูหยินสองก็หันมาพูดกับสะใภ้หนานหย่ง “ทานข้าวเสร็จก็ควรเดินย่อย เจ้าปล่อยให้คุณชายน้อยห้าเดินเองเถิด ให้เขาได้เดินเสียบ้าง”
สวีลิ่งอี๋ สวีซื่ออวี้และเจินเจี่ยเอ๋อร์ล้วนมองไปที่สะใภ้หนานหย่ง
แต่สะใภ้หนานหย่งกลับมองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
สะใภ้หนานหย่งยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ปล่อยสวีซื่อเจี้ยลงเดิน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วจับมือเขา
ฮูหยินสองเห็นว่าสวีซื่อเจี้ยเดินอยู่ข้างสืออีเหนียงอย่างรู้ความ สายตาของนางก็มีความแปลกใจ “คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะรู้ความเช่นนี้”
สะใภ้หนานหย่งที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม
ฮูหยินสี่ใช้ความพยายามไปไม่น้อยในการทำให้คุณชายน้อยห้าเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ เมื่อก่อนของตัวเอง
สืออีเหนียงลูบหัวสวีซื่อเจี้ยแล้วพูดว่า “แค่ทานอิ่มก็รู้ความแล้ว” นางพูดด้วยน้ำเสียงรักใคร่เอ็นดู
ฮูหยินสองพยักหน้า จากนั้นก็พูดถึงเรื่องงานเลี้ยงวันเกิดของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงเบาๆ “…จัดการแล้วหรือยัง”
“จัดการตามธรรมเนียมปีก่อนๆ เจ้าค่ะ รอให้จัดการรายชื่อแขกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สามารถดำเนินการได้แล้ว”
“รายชื่อแขกยังไม่ได้จัดการหรือ มันจะสายเกินไปหรือไม่”
“น่าจะไม่สายเกินไป” สืออีเหนียงยิ้ม “เรื่องอื่นข้าจัดการหมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าจัดการรายชื่อแขก ส่งเทียบเชิญ เตรียมอาหาร ติดต่อคณะงิ้ว ใช้เวลาแค่ช่วงบ่ายก็พอเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็ทำท่าทีตกใจ
สืออีเหนียงอธิบาย “แขกที่เชิญมางานเลี้ยงล้วนแต่อยู่ที่เยี่ยนจิง แล้วก็มีแค่ไม่กี่สกุล แค่ช่วงบ่ายฝ่ายรายงานก็คงจะจัดการเรียบร้อย ร้านอาหารก็ล้วนแต่เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง หากพวกเขาไม่มีอาหาร ที่อื่นก็คงจะไม่มีแล้ว ถึงตอนนั้นร่างรายการอาหารไปให้พวกเขาก็พอ สำหรับคณะงิ้ว มีคุณชายห้าเป็นคนดูแล ที่จวนก็มีเวทีอยู่แล้ว ให้คณะงิ้วมาถึงก่อนสักครึ่งชั่วโมง มีเวลาเตรียมการแค่สองวันก็เพียงพอแล้ว”
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็ชื่นชม
นางพูดกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ “เจ้าพาน้องห้าของเจ้าไปเล่นข้างหน้าเถิด เขาจะได้ไม่วุ่นวายท่านแม่ของเจ้า”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตอบรับ จากนั้นก็เดินเข้าไปจับมือสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยยังเด็ก เดินอยู่กับผู้ใหญ่เช่นนี้คงจะรู้สึกเบื่อหน่าย เจินเจี่ยเอ๋อร์จะพาเขาไปเล่น จึงรีบเดินไปจับมือเจินเจี่ยเอ๋อร์ กระโดดโลดเต้นไปข้างหน้า แล้วยังยื่นมือออกไปตบกิ่งไม้เล็กๆ นอกทางเดินเป็นครั้งคราว ท่าทีสนุกสนาน
สะใภ้หนานหย่ง เสี่ยวหลีและคนอื่นๆ รีบตามไป ความสนใจของสวีลิ่งอี๋และสวีซื่ออวี้ต่างก็ถูกเขาดึงดูด
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของฮูหยินสองดังขึ้นมาข้างหู “เจินเจี่ยเอ๋อร์ควรจะแต่งงานได้แล้วกระมัง”
สืออีเหนียงตกใจ
ที่แท้แล้วฮูหยินสองบอกให้สวีซื่อเจี้ยลงเดินเอง บอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์พาน้องชายไปเดินเล่น ก็เพราะว่าอยากจะพูดเรื่องที่ไม่อยากให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินกับตัวเอง
นางมองไปที่ฮูหยินสองด้วยความตกใจ
ภายใต้แสงจันทร์ สีหน้าของฮูหยินสองซีดขาวราวกับดอกเบญจมาศสีขาว
“หลังจากสิ้นสุดพิธีไว้ทุกข์แล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์คงจะต้องแต่งงานแล้วใช่หรือไม่!” นางพูดเบาๆ “ข้าคิดว่า หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดของไท่ฮูหยิน ข้าจะหยุดเรียนชั่วคราว ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ตั้งใจเรียนเย็บปักถักร้อยกับเจ้าเสียดีกว่า!”
สืออีเหนียงก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่นางเห็นว่าฮูหยินสองตั้งใจสอนเจินเจี่ยเอ๋อร์ขนาดนี้ กลัวว่าหากตัวเองพูดออกมาฮูหยินสองจะเข้าใจผิด กำลังคิดว่าจะลองไปถามไท่ฮูหยินก่อนดีหรือไม่…แต่ในเมื่อนางเป็นคนพูดเอง แน่นอนว่าสืออีเหนียงต้องตอบตกลง “ครั้งก่อนที่หลานถิงแต่งงาน พี่หญิงโจวก็บอกข้าว่าอยากจะเป็นแม่สื่อ แต่ว่ายังไม่สิ้นสุดพิธีไว้ทุกข์ เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกที่จะพูด ข้าก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ไม่รู้ว่าต่อไปเจินเจี่ยเอ๋อร์จะมีแม่สามีเช่นไร แต่อย่างไรก็ตาม เรียนรู้การเย็บปักถักร้อยเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่ดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองพยักหน้า “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ให้นางมาฝึกเขียนตัวหนังสือกับข้าทุกๆ สิบวัน ส่วนวันอื่นก็ไปเรียนเย็บปักถักร้อยกับเจ้า”
“ทำตามที่พี่สะใภ้สองเถิดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงก็คิดว่าเช่นนี้ไม่เลว นั่งเย็บปักถักร้อยทุกวันก็คงไม่ไหว
ฮูหยินสองตอบรับ “อืม” จากนั้นก็เดินไปอยู่ข้างเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ดึกมากแล้ว เรารีบกลับกันเถิด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบพาสวีซื่อเจี้ยไปหาสะใภ้หนานหย่ง
ฮูหยินสองทักทายสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็พาเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้าไปในประตูเรือนเสาหวาในสวนดอกไม้หลังจวน
สวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียง สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ยเดินไปทางทิศตะวันออกของสวนดอกไม้หลังจวน สวีลิ่งอี๋เดินกลับไปที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน สืออีเหนียงไปส่งสวีซื่อเจี้ยกลับห้องลี่จิ่งเซวียน จากนั้นก็กลับไปที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
ทันทีที่เดินเข้ามา สวีลิ่งอี๋ก็ถามว่า “เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นอะไร”
สืออีเหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋พูด “เจ้าและพี่สะใภ้สองบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปแล้วพูดคุยกันเอง แสดงว่าต้องพูดเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เป็นคนช่างสังเกตจริงๆ!
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเล่าเจตนาของฮูหยินสองให้เขาฟัง
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็อยากจะพูดเรื่องนี้กับเจ้า” จากนั้นก็จับมือนางไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างห้องข้างใน “วันนี้ใต้เท้าหวังมา บอกว่าอยากเป็นแม่สื่อให้เจินเจี่ยเอ๋อร์”
“หวังลี่ ใต้เท้าหวัง?”
“อืม” สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
สืออีเหนียงรีบพูด “ฝั่งตรงข้ามคือใครเจ้าคะ”
“เจ้าก็รู้จัก” สวีลิ่งอี๋พูด “บุตรชายคนที่สองของตระกูลผู้บัญชาการหลี่”
ตระกูลผู้บัญชาการหลี่ที่ไม่ยอมแต่งอนุภรรยา?
สืออีเหนียงตกใจ
“ผู้บัญชาการหลี่เคยทำงานกับข้า เราสองสกุลก็ถือว่ารู้จักรากเหง้าของกันและกัน” สวีลิ่งอี๋พึมพำ “แต่ว่าเดิมทีบัญชาการหลี่พึ่งพาสกุลเดิมของตัวเองก่อร่างสร้างตัว แล้วข้าก็เคยได้ยินข่าวลือว่าเขากลัวภรรยา เรื่องนี้ เกรงว่าคงต้องคิดให้ดี”
ไม่แปลกที่สกุลหลี่ไม่แต่งอนุภรรยา!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รีบเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่โจวฮูหยินอยากจะเป็นแม่สื่อให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ “…เราค่อยๆ เลือกก็ได้”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ถามด้วยความแปลกใจ “ฟังจากที่เจ้าพูดแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ค่อยพอใจกับสกุลหลี่?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่แค่คิดว่ากฏเกณฑ์ของแม่สามีเข้มงวดเกินไป ลูกสะใภ้ก็คงจะอึดอัดไม่น้อย”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” จากนั้นก็พูดว่า “เช่นนั้นก็ดูก่อนว่าโจวฮูหยินเป็นแม่สื่อให้สกุลไหนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่เด็กแล้ว จะล่าช้าไม่ได้”
“แต่งเร็วก็อายุสิบสอง แต่งช้าก็อายุสิบสอง” สืออีเหนียงยิ้ม “หมั้นก่อนต้นปีนี้ก็ได้ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
เดิมทีสืออีเหนียงอยากจะถามเรื่องงานแต่งงานของสวีซื่ออวี้ แต่นึกถึงวันที่พวกเขากลับมาจากจวนสกุลเซี่ยง ไม่ว่าจะเป็นสวีลิ่งอี๋หรือว่าไท่ฮูหยิน ล้วนแต่ไม่พูดถึงเรื่องของสกุลเซี่ยง ราวกับว่าพวกเขาแค่ไปร่วมงานเลี้ยงครอบครัวแค่นั้น นางจึงกลืนคำนั้นลงไป
วันต่อมา สืออีเหนียงไปที่เรือนของไท่ฮูหยินแต่เช้า นำรายชื่อแขกที่จะเชิญมาในงานเลี้ยงให้ไท่ฮูหยินดู
ไท่ฮูหยินมองดูชื่อของนายหญิงเซี่ยงแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็นำรายชื่อยื่นกลับมาให้สืออีเหนียงเหมือนเดิม “ส่งเทียบเชิญตามรายชื่อนี้เถิด”
สืออีเหนียงตอบรับแล้วเดินออกไป จากนั้นก็บอกให้ป้าซ่งนำรายชื่อไปที่ฝ่ายรายงานทันที
ฝ่ายรายงานดำเนินการเร็วกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
ทานข้าวเที่ยงเสร็จก็มีรายงาน บอกว่าส่งเทียบเชิญไปหมดแล้ว บ่าวรับใช้ของคุณชายห้าก็มารายงาน “…เกิงฉังเซิงของคณะฉังเซิงปานมาร้องงิ้วด้วยตัวเองขอรับ” จากนั้นป้าหลีก็ส่งรายการอาหารมา เมื่อถึงยามเซิน ทุกอย่างก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงไม่มีอะไรทำ ก็ไปนั่งปักลมหุบเขาที่ยังปักไม่เสร็จบนเตียงเตา
เยี่ยนหรงคอยแบ่งด้ายอยู่ข้างๆ จากนั้นก็พูดถึงฉินอี๋เหนียง “บอกให้สาวใช้มาวัดรองเท้าของท่าน แล้วยังเลือกลายปักไปสองสามลาย บอกว่าจะทำรองเท้าให้ท่านเจ้าค่ะ”
“ช่างเถิด” สืออีเหนียงยิ้ม “ฝีมือธรรมดาข้าไม่สนใจ”
เยี่ยนหรงหัวเราะแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนบ่าวเคยได้ยินว่าฮูหยินมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อย แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้แบ่งด้ายให้ท่านถึงได้รู้ว่า แค่สีขาวยังมีถึงสิบสามประเภท ด้ายและเข็มในจวนของเรามีสีขาวเพียงสามประเภท ช่างพิถีพิถันเสียจริงเจ้าค่ะ ต่อไปหากท่านเย็บปักถักร้อย ท่านให้บ่าวคอยรับใช้นะเจ้าคะ บ่าวจะได้เรียนรู้ไปด้วย ต่อไปออกเรือนไปแล้วจะได้มีความสามารถไปอวดคนอื่นเขา”
สืออีเหนียงเห็นว่านางพึ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ปี แต่กลับพูดคำว่าออกเรือนก็รู้สึกแปลกใจ
เยี่ยนหรงหน้าแดง “บ่าวหมั้นกับลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่เด็กแล้วเจ้าคะ ตกลงกันแล้วว่าจะออกเรือนเมื่อตอนอายุยี่สิบ” ราวกับกำลังอธิบาย
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที มองดูใบหน้าที่งดงามของนาง ยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าทำงานอยู่ที่จวนหรือ”
เยี่ยนหรงรีบพูดว่า “ลูกพี่ลูกน้องของบ่าวมีชื่อว่าเฉาอาน ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ห้องเก็บของเจ้าค่ะ ทำธุระให้ผู้ดูเเลฝานที่ดูแลของขวัญจากจวนต่างๆ เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
สายตาของเยี่ยนหรงเป็นประกาย
สืออีเหนียงมองแล้วก็นึกถึงปินจวี๋ขึ้นมา จากนั้นก็เรียกจู๋เซียงมาถาม “…รู้หรือไม่ว่านางกำลังทำอะไรอยู่”
จู๋เซียงยิ้มแล้วพูดว่า “เย็บปักถักร้อยอยู่ที่เรือนทั้งวันเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพึมพำ “ไม่มาหาข้าเลย”
จู๋เซียงยิ้ม “ฮูหยินยุ่งขนาดนี้ ถึงแม้ว่าพี่ปินจวี๋จะมาก็คงไม่มีเวลาพูดกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูด “หากถึงเดือนหกเร็วๆ ก็คงดี ที่จวนจะได้กลับคืนสู่สภาพเดิม” จากนั้นก็บอกให้เยี่ยนหรงนำห่อด้ายที่ผู้ดูแลลานข้างนอกซื้อกลับมาเมื่อสองวันก่อนให้จู๋เซียง “…ล้วนแต่เป็นของดี ถึงแม้ว่าจะเทียบกับของร้านขายไหมปักและหอเซียนหลิงไม่ได้ แต่งานที่ปักออกมาก็งดงามกว่างานทั่วไป ตอนนี้นางพึ่งจะเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับเขา คงต้องเสียเปรียบเล็กน้อย คงต้องใช้ความพยายามเล็กน้อย”
เยี่ยนหรงถึงได้รู้ว่า ที่แท้แล้วห่อด้ายนี้สืออีเหนียงซื้อมาให้ปินจวี๋โดยเฉพาะ
“ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ จะได้อ้างชื่อฮูหยินไปทานข้าวที่ห้องของพี่ปินจวี๋!” จู๋เซียงยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็หยิบห่อด้ายไปยังที่พักของปินจวี๋
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ ป้าวังผู้ดูแลอุปกรณ์ในห้องเก็บของมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไปที่ศาลาริมน้ำ
“ฮูหยินเจ้าคะ” ป้าวังเห็นนางก็ย่อตัวลง “ม่านกันลมดอกโบตั๋นที่ท่านสั่งเมื่อวานยังหาไม่เจอเลยเจ้าค่ะ บ่าวเห็นว่าในห้องเก็บของมีม่านกันลมงาช้างแกะสลักที่มีขนาดเท่ากันกับม่านกันลมดอกโบตั๋น หรือว่าเราจะใช้ม่านกันลมงาช้างแกะสลักตัวนั้นก่อนชั่วคราว หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดไท่ฮูหยินเสร็จสิ้นแล้วเราค่อยหาอีกครั้งเจ้าคะ?”